สวัสดีค่ะ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ขอบอกไว้ก่อนว่าหนูเป็นแค่เด็กอายุ 18 หากเรื่องที่เล่ามาก่อผลกระทบหรือมีความผิดพลาดใดขออภัยต่อองค์กรที่พาดพิงด้วยนะคะ หนูเป็นแค่เด็ก อาจจะไม่ทราบถึงเบื้องลึกเบื้องหลังการทำงานที่แท้จริงของผู้ใหญ่ ที่ตั้งกระทู้นี้เพียงเพื่ออยากรู้ว่าจริงๆแล้วการทำงานของเจ้าหน้าที่ทำกันอย่างไร และอยากรู้ว่าสังคมไทยที่มีค่านิยมเรื่องหมอ จนเป็นเรื่องราวใหญ่โตในปัจจุบัน ให้ความสำคัญแค่สอบได้อย่างเดียวหรือเปล่าคะ ทำไมเรื่องที่เราให้ความสำคัญมากๆที่สุดในสังคมกลับมีความถอยลง หรือเป็นเพียงหนูคนเดียวที่เจอมา อย่างไรก็ตามขอโทษไว้ ณ โอกาสนี้เลยนะคะ
เข้าเรื่องเลยนะคะ วันนี้หนูพาคุณแม่ไปตรวจสุขภาพตามใบนัดของหมอที่ให้ไว้ ณ โรงพยาบาลรัฐชื่อดังแห่งหนึ่งในภาคใต้ เมื่อไปถึงก็ยื่นใบนัดตามปกติ แต่ติดตรงที่ว่าคุณหมอที่มีรายชื่อในใบนัดท่านบอกว่าให้โทรตามด้วย เพราะวันนี้ท่านไม่เข้ามาในแผนกคลินิก หนูกับคุณแม่ก็ติดต่อพยาบาลให้ช่วยโทรตามคุณหมอ รออยู่ชั่วโมง ปรากฏว่าคุณหมอบอกว่าไม่มีห้องตรวจให้ไปอีกอาคาร พอไปถึงคุณหมอก็ออกมาบอกว่าผลเลือดและทุกอย่างปกติดี โดยที่ไม่มีการตรวจอะไรเลยค่ะ ไม่ได้ตรวจร่างกาย ไม่ได้ตรวจใบวัดความดัน อัตราการเต้นหัวใจหรืออะไรเลย มีเพียงบอกว่าหมอดูจากผลในคอมพิวเตอร์แล้วทุกอย่างปกติและได้สั่งยาไปแล้ว ให้ไปที่การเงินและรับยาไปได้เลย พอไปที่การเงินเจ้าหน้าที่ก็ทำบิลให้ แม่หนูก็แปลกใจแล้วเพราะค่ายาจากปกติที่ประมาณพันกว่าบาททุกครั้งแต่กลับเหลือเพียง 300 กว่าบาท ก็ไม่ได้ติดใจจนไปรับยา ปรากฏว่าเหลือยาที่ทานอยู่ประจำเพียงตัวเดียว อีกตัวเป็นวิตามินบำรุงประสาท ซึ่งวิตามินไม่เคยรับประทานมาก่อน และที่หนูงงคือ แม่หนูไม่ได้มีความผิดปกติด้านประสาท ท่านมีโรคประจำตัวคือความดันโลหิตสูงและไขมัน ที่ต้องทานยาเป็นประจำ จนเอะใจเลยถามเภสัชกรที่เคาเตอร์ว่ายาเก่าหายไปไหน แล้วทำไมให้วิตามินมาแทน เภสัชกรก็ค้นประวัติแล้วพบว่ายาอีกตัวที่ทานประจำหายไปจริงๆ เลยพยายามติดต่อคุณหมอซึ่งไม่ว่าจะพยายามโทรตามเท่าไรก็ไม่ได้ซักที เพราะคุณหมอปิดโทรศัพท์ไม่สามารถติดต่อได้ จนต้องเดินกลับไปที่อาคารเดิมเพื่อพบคุณหมอ คุณแม่ก็ชี้แจงว่ายาเดิมหายไป ขอให้คุณหมอสั่งให้ใหม่ แต่หมอกลับบอกว่าคุณแม่ไม่เคยกินยาความดัน จะสั่งได้ยังไง คุณแม่ก็งงว่ากินมาเป็นปีๆแล้ว ทำไมจะสั่งไม่ได้ จนกลับไปดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์อีกที คุณหมอก็ออกมาบอกว่า หมอดูผิดมันมียาความดันอีกตัวมันอยู่ในตารางอีกช่อง หมอไม่ได้ดู แล้วที่ทำให้เสียความรู้สึกมากคือตอนที่หมอบอกว่า คุณจ่ายเงินสดใช่มั้ย "หมอไม่รู้ว่าคุณจ่ายเงินสดเลยสั่งยาไปงั้นๆ" หนูกับคุณแม่นี่เงิบเลยค่ะ "สั่งไปงั้นๆ" ตอนนั้นนี่โมโหมาก อยากจะตะโกนใส่หน้ามากเลยค่ะ "ถ้าตายก็คงจะงั้นๆมั้งคะหมอ" แต่ทำอะไรไม่ได้เลยต้องปล่อยผ่านไปแล้วกลับไปรับยาใหม่ ไปถึงก็อธิบายให้เข้าใจกับพี่ที่คิดเงิน แต่ตรงนี้ก็มีอีกเรื่องค่ะ คือตอนแรกที่สั่งยามาผิด มียาไขมันกับวิตามิน พี่เค้ายกเลิกไปแล้วสั่งมาเพียงยาความดันอย่างเดียว ก็ต้องท้วงอีกว่า ไม่ได้ ยามันไม่ครบ ยกเลิกวิตามินได้มั้ย เค้าก็บอกว่าไม่ได้ คุณแม่เลยว่างั้นเอามาทั้งหมด คงจ่ายเพิ่มแต่ยาความดันอีก 500 กว่าบาท แต่ปรากฏว่าต้องจ่ายที่ยกเลิกไปแล้ว 300 กว่าบาทอีกรอบ แล้วจ่ายยาความดันอีก 500 กว่าบาท แปลว่า คุณแม่จ่ายยาไขมันกับวิตามิน 2 ครั้งกับเพิ่มยาความดันอีกครั้งนึง ตรงนี้แหละค่ะที่สงสัย แล้วเงินที่จ่ายไปครั้งแรกที่ให้ยามาไม่ครบหายไปไหนคะ แล้วทำไมทำการยกเลิกเจ้าตัววิตามินไม่ได้ทั้งๆที่เราไม่ได้รับมาและเภสัชกรไม่ได้จัดให้เลยด้วยซ้ำ อยากให้คนที่มีความรู้มาอธิบายหน่อยค่ะ
อีกอย่างที่อยากรู้คือ ประเทศไทยมีค่านิยมแปลกๆที่หลายๆคนรู้ดี คือ หมอ ในความคิดของคนส่วนใหญ่ หมอคือคนที่น่าเคารพนับถือ อุทิศตนเพื่อคนไข้และผู้ตกทุกข์ได้ยาก ทุกๆคนเชื่อหมอ ทุกๆคนไว้ใจและเชื่อใจที่จะฝากชีวิตไว้เพียงถ้ารู้ว่าคนๆนั้นคือ หมอ แต่สิ่งที่เจอมาวันนี้ทำให้หนูรู้สึกว่า ค่านิยมและกระแสสังคมไม่ได้ช่วยให้สิ่งที่ทุกคนบอกว่า น่าเคารพนับถือและสำคัญมากที่สุดในสังคม พัฒนาขึ้นเลย ทุกคนดีใจปิดบ้าน ปิดซอยเลี้ยงฉลองหากรู้ว่าลูกหลานในตระกูลสอบติด หมอ ทุกโรงเรียนมีป้ายขึ้นแสดงถึงความภาคภูมิใจและประกาศให้รู้กันทั้งประเทศว่าสามารถส่งเด็กในโรงเรียนสอบติด หมอ กี่สิบกี่ร้อยคน แต่ทำไมสิ่งที่ประเทศไทยยกย่องกันถึงไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยคะ จริงแล้วบ้านหนูอยู่ในเขตชานเมืองของจังหวัด แต่ทุกคนในอำเภอนี้แทบไม่มีใครอยากไปโรงพยาบาลในอำเภอเลย เพราะไปถึงหมอไม่ทำงาน ไม่ตรวจ หากเซ้าซี้เค้ามากๆจะโดนหมอด่ามาทำให้คนในหมู่บ้านในอำเภอเล็กๆที่หนูอยู่ต้องดั้นด้นเข้าไปในอำเภอที่เจริญกว่า หรือรักษาตามสถานพยาบาลเอกชน "โรงพยาบาล" คือสถานที่ที่คนทุกคนคิดที่จะฝากชีวิตไว้ หมอคือคนที่ทุกๆคนไว้ใจและยอมฝากชีวิตไว้กับเขา ทุกวันนี้การแพทย์ก้าวหน้าค่ะ เทคโนโลยีเจริญไปตามยุคสมัยจนเราเองก็ตามไม่ทัน แต่ทำไมจริยธรรม จรรยาบรรณ และจิตใจของมนุษย์ถึงถอยลง เดี๋ยวนี้การพยาบาลและชีวิตคนถือเป็นเรื่องของธุรกิจแล้วหรือคะ การจ่ายเงินสดหรือใช้สิทธิเป็นตัววัดการอยู่รอดของเราแล้วใช่มั้ย สิ่งที่เสียใจคือคำพูดที่ได้ยินได้พบมาวันนี้ เพียงแค่ไม่รู้ว่าจ่าย "เงินสด" ก็สามารถทำเป็นเรื่อง "งั้นๆ" ชีวิตคนทำเป็นงั้นๆได้อย่างนั้นหรือ นี้หรือหมอสมัยนี้ และอีกอย่าง ถ้าคุณคิดจะเป็นหมอ คุณต้องเข้าใจและยอมรับได้ว่าอาชีพนี้คือการอุทิศตน คุณจะสูญเสียเวลาส่วนตัวและมีเพียงการทำงานเพื่อส่วนรวม การปิดโทรศัพท์ขณะทำงานเป็นเรื่องที่ไม่ควร เพราะเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นตลอดเวลา มันหมายถึงชีวิตหนึ่งชีวิตที่อยู่ในกำมือคุณ หนูขอโทษนะคะ อาจารย์หรือหมอท่านไหนที่เข้ามาอ่าน แต่หนูแค่อยากจะฝากและขอช่วยทุกท่านว่า การเรียนและความรู้นั้นสำคัญสำหรับคนเป็นหมอ แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้น คือจรรยาบรรณและจริยธรรม คนเราบนโลกนี้อยู่ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทุกคนมีคือ "คนสำคัญ" หนูเป็นคนนึงที่มีคนสำคัญคือ คุณแม่ หนูไม่มีพ่อ เพราะฉะนั้นแม่เป็นเหมือนทั้งชีวิต และสิ่งสุดท้ายที่หนูยอมแลกทุกอย่างในชีวิตเพื่อรักษาไว้ สิ่งที่จะบอกคือ หากอาจารย์หมอหรือคุณหมออาวุโสท่านใดได้เข้ามาอ่าน องค์กรใดก็ตาม อยากฝากท่านนำกลับไปพิจารณา หนูว่าสิ่งที่หมอต้องเรียนมากที่สุดคือจรรยาบรรณความเป็นหมอ และสิ่งที่หมอควรคำนึงมากที่สุด คือ ชีวิตทุกชีวิตที่มีค่า วันนี้ถ้าคุณแม่หนูเป็นเพียงชาวบ้านไม่ประสีประสาบ้านๆธรรมดาที่ไม่รู้เรื่อง ต่อไปคงมีความสูญเสียเกิดขึ้นและคนที่เสียใจที่สุดคงมีเพียงหนูคนเดียว สิ่งที่หนูภาวนาทุกวันคือขอให้หนูมีบุญได้อยู่กับแม่จนได้ตอบแทนบุญคุณท่านเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้ ขอร้องด้วยนะคะ อีกอย่างคุณหมอท่านนี้ที่ตรวจให้ เป็นเพียงนักศึกษาแพทย์ ยังไม่สายถ้าจะปรับเปลี่ยนและแก้ไขทุกอย่างใหม่ ไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับใครอีก #เด็กแอด'59 #หนูเองก็อยากเป็นหมอที่ดี
จริยธรรมหมอ มันถอยลงหรือเป็นหนูคนเดียวที่เจอมา หรือเป็นเพียงคุณหมอคนนี้คนเดียวที่เป็น? #ระบาย
เข้าเรื่องเลยนะคะ วันนี้หนูพาคุณแม่ไปตรวจสุขภาพตามใบนัดของหมอที่ให้ไว้ ณ โรงพยาบาลรัฐชื่อดังแห่งหนึ่งในภาคใต้ เมื่อไปถึงก็ยื่นใบนัดตามปกติ แต่ติดตรงที่ว่าคุณหมอที่มีรายชื่อในใบนัดท่านบอกว่าให้โทรตามด้วย เพราะวันนี้ท่านไม่เข้ามาในแผนกคลินิก หนูกับคุณแม่ก็ติดต่อพยาบาลให้ช่วยโทรตามคุณหมอ รออยู่ชั่วโมง ปรากฏว่าคุณหมอบอกว่าไม่มีห้องตรวจให้ไปอีกอาคาร พอไปถึงคุณหมอก็ออกมาบอกว่าผลเลือดและทุกอย่างปกติดี โดยที่ไม่มีการตรวจอะไรเลยค่ะ ไม่ได้ตรวจร่างกาย ไม่ได้ตรวจใบวัดความดัน อัตราการเต้นหัวใจหรืออะไรเลย มีเพียงบอกว่าหมอดูจากผลในคอมพิวเตอร์แล้วทุกอย่างปกติและได้สั่งยาไปแล้ว ให้ไปที่การเงินและรับยาไปได้เลย พอไปที่การเงินเจ้าหน้าที่ก็ทำบิลให้ แม่หนูก็แปลกใจแล้วเพราะค่ายาจากปกติที่ประมาณพันกว่าบาททุกครั้งแต่กลับเหลือเพียง 300 กว่าบาท ก็ไม่ได้ติดใจจนไปรับยา ปรากฏว่าเหลือยาที่ทานอยู่ประจำเพียงตัวเดียว อีกตัวเป็นวิตามินบำรุงประสาท ซึ่งวิตามินไม่เคยรับประทานมาก่อน และที่หนูงงคือ แม่หนูไม่ได้มีความผิดปกติด้านประสาท ท่านมีโรคประจำตัวคือความดันโลหิตสูงและไขมัน ที่ต้องทานยาเป็นประจำ จนเอะใจเลยถามเภสัชกรที่เคาเตอร์ว่ายาเก่าหายไปไหน แล้วทำไมให้วิตามินมาแทน เภสัชกรก็ค้นประวัติแล้วพบว่ายาอีกตัวที่ทานประจำหายไปจริงๆ เลยพยายามติดต่อคุณหมอซึ่งไม่ว่าจะพยายามโทรตามเท่าไรก็ไม่ได้ซักที เพราะคุณหมอปิดโทรศัพท์ไม่สามารถติดต่อได้ จนต้องเดินกลับไปที่อาคารเดิมเพื่อพบคุณหมอ คุณแม่ก็ชี้แจงว่ายาเดิมหายไป ขอให้คุณหมอสั่งให้ใหม่ แต่หมอกลับบอกว่าคุณแม่ไม่เคยกินยาความดัน จะสั่งได้ยังไง คุณแม่ก็งงว่ากินมาเป็นปีๆแล้ว ทำไมจะสั่งไม่ได้ จนกลับไปดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์อีกที คุณหมอก็ออกมาบอกว่า หมอดูผิดมันมียาความดันอีกตัวมันอยู่ในตารางอีกช่อง หมอไม่ได้ดู แล้วที่ทำให้เสียความรู้สึกมากคือตอนที่หมอบอกว่า คุณจ่ายเงินสดใช่มั้ย "หมอไม่รู้ว่าคุณจ่ายเงินสดเลยสั่งยาไปงั้นๆ" หนูกับคุณแม่นี่เงิบเลยค่ะ "สั่งไปงั้นๆ" ตอนนั้นนี่โมโหมาก อยากจะตะโกนใส่หน้ามากเลยค่ะ "ถ้าตายก็คงจะงั้นๆมั้งคะหมอ" แต่ทำอะไรไม่ได้เลยต้องปล่อยผ่านไปแล้วกลับไปรับยาใหม่ ไปถึงก็อธิบายให้เข้าใจกับพี่ที่คิดเงิน แต่ตรงนี้ก็มีอีกเรื่องค่ะ คือตอนแรกที่สั่งยามาผิด มียาไขมันกับวิตามิน พี่เค้ายกเลิกไปแล้วสั่งมาเพียงยาความดันอย่างเดียว ก็ต้องท้วงอีกว่า ไม่ได้ ยามันไม่ครบ ยกเลิกวิตามินได้มั้ย เค้าก็บอกว่าไม่ได้ คุณแม่เลยว่างั้นเอามาทั้งหมด คงจ่ายเพิ่มแต่ยาความดันอีก 500 กว่าบาท แต่ปรากฏว่าต้องจ่ายที่ยกเลิกไปแล้ว 300 กว่าบาทอีกรอบ แล้วจ่ายยาความดันอีก 500 กว่าบาท แปลว่า คุณแม่จ่ายยาไขมันกับวิตามิน 2 ครั้งกับเพิ่มยาความดันอีกครั้งนึง ตรงนี้แหละค่ะที่สงสัย แล้วเงินที่จ่ายไปครั้งแรกที่ให้ยามาไม่ครบหายไปไหนคะ แล้วทำไมทำการยกเลิกเจ้าตัววิตามินไม่ได้ทั้งๆที่เราไม่ได้รับมาและเภสัชกรไม่ได้จัดให้เลยด้วยซ้ำ อยากให้คนที่มีความรู้มาอธิบายหน่อยค่ะ
อีกอย่างที่อยากรู้คือ ประเทศไทยมีค่านิยมแปลกๆที่หลายๆคนรู้ดี คือ หมอ ในความคิดของคนส่วนใหญ่ หมอคือคนที่น่าเคารพนับถือ อุทิศตนเพื่อคนไข้และผู้ตกทุกข์ได้ยาก ทุกๆคนเชื่อหมอ ทุกๆคนไว้ใจและเชื่อใจที่จะฝากชีวิตไว้เพียงถ้ารู้ว่าคนๆนั้นคือ หมอ แต่สิ่งที่เจอมาวันนี้ทำให้หนูรู้สึกว่า ค่านิยมและกระแสสังคมไม่ได้ช่วยให้สิ่งที่ทุกคนบอกว่า น่าเคารพนับถือและสำคัญมากที่สุดในสังคม พัฒนาขึ้นเลย ทุกคนดีใจปิดบ้าน ปิดซอยเลี้ยงฉลองหากรู้ว่าลูกหลานในตระกูลสอบติด หมอ ทุกโรงเรียนมีป้ายขึ้นแสดงถึงความภาคภูมิใจและประกาศให้รู้กันทั้งประเทศว่าสามารถส่งเด็กในโรงเรียนสอบติด หมอ กี่สิบกี่ร้อยคน แต่ทำไมสิ่งที่ประเทศไทยยกย่องกันถึงไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยคะ จริงแล้วบ้านหนูอยู่ในเขตชานเมืองของจังหวัด แต่ทุกคนในอำเภอนี้แทบไม่มีใครอยากไปโรงพยาบาลในอำเภอเลย เพราะไปถึงหมอไม่ทำงาน ไม่ตรวจ หากเซ้าซี้เค้ามากๆจะโดนหมอด่ามาทำให้คนในหมู่บ้านในอำเภอเล็กๆที่หนูอยู่ต้องดั้นด้นเข้าไปในอำเภอที่เจริญกว่า หรือรักษาตามสถานพยาบาลเอกชน "โรงพยาบาล" คือสถานที่ที่คนทุกคนคิดที่จะฝากชีวิตไว้ หมอคือคนที่ทุกๆคนไว้ใจและยอมฝากชีวิตไว้กับเขา ทุกวันนี้การแพทย์ก้าวหน้าค่ะ เทคโนโลยีเจริญไปตามยุคสมัยจนเราเองก็ตามไม่ทัน แต่ทำไมจริยธรรม จรรยาบรรณ และจิตใจของมนุษย์ถึงถอยลง เดี๋ยวนี้การพยาบาลและชีวิตคนถือเป็นเรื่องของธุรกิจแล้วหรือคะ การจ่ายเงินสดหรือใช้สิทธิเป็นตัววัดการอยู่รอดของเราแล้วใช่มั้ย สิ่งที่เสียใจคือคำพูดที่ได้ยินได้พบมาวันนี้ เพียงแค่ไม่รู้ว่าจ่าย "เงินสด" ก็สามารถทำเป็นเรื่อง "งั้นๆ" ชีวิตคนทำเป็นงั้นๆได้อย่างนั้นหรือ นี้หรือหมอสมัยนี้ และอีกอย่าง ถ้าคุณคิดจะเป็นหมอ คุณต้องเข้าใจและยอมรับได้ว่าอาชีพนี้คือการอุทิศตน คุณจะสูญเสียเวลาส่วนตัวและมีเพียงการทำงานเพื่อส่วนรวม การปิดโทรศัพท์ขณะทำงานเป็นเรื่องที่ไม่ควร เพราะเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นตลอดเวลา มันหมายถึงชีวิตหนึ่งชีวิตที่อยู่ในกำมือคุณ หนูขอโทษนะคะ อาจารย์หรือหมอท่านไหนที่เข้ามาอ่าน แต่หนูแค่อยากจะฝากและขอช่วยทุกท่านว่า การเรียนและความรู้นั้นสำคัญสำหรับคนเป็นหมอ แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้น คือจรรยาบรรณและจริยธรรม คนเราบนโลกนี้อยู่ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทุกคนมีคือ "คนสำคัญ" หนูเป็นคนนึงที่มีคนสำคัญคือ คุณแม่ หนูไม่มีพ่อ เพราะฉะนั้นแม่เป็นเหมือนทั้งชีวิต และสิ่งสุดท้ายที่หนูยอมแลกทุกอย่างในชีวิตเพื่อรักษาไว้ สิ่งที่จะบอกคือ หากอาจารย์หมอหรือคุณหมออาวุโสท่านใดได้เข้ามาอ่าน องค์กรใดก็ตาม อยากฝากท่านนำกลับไปพิจารณา หนูว่าสิ่งที่หมอต้องเรียนมากที่สุดคือจรรยาบรรณความเป็นหมอ และสิ่งที่หมอควรคำนึงมากที่สุด คือ ชีวิตทุกชีวิตที่มีค่า วันนี้ถ้าคุณแม่หนูเป็นเพียงชาวบ้านไม่ประสีประสาบ้านๆธรรมดาที่ไม่รู้เรื่อง ต่อไปคงมีความสูญเสียเกิดขึ้นและคนที่เสียใจที่สุดคงมีเพียงหนูคนเดียว สิ่งที่หนูภาวนาทุกวันคือขอให้หนูมีบุญได้อยู่กับแม่จนได้ตอบแทนบุญคุณท่านเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้ ขอร้องด้วยนะคะ อีกอย่างคุณหมอท่านนี้ที่ตรวจให้ เป็นเพียงนักศึกษาแพทย์ ยังไม่สายถ้าจะปรับเปลี่ยนและแก้ไขทุกอย่างใหม่ ไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับใครอีก #เด็กแอด'59 #หนูเองก็อยากเป็นหมอที่ดี