👺👺--Rise of Ming Empire (จักรพรรดิ์จูหยวนจาง) "อีกหนึ่งความเชื่อเทศกาลไหว้พระจันทร์"--👺👺

กระทู้คำถาม
Credit : Wikipedia และ Google

Credit : http://weeminho.blogspot.com




การเริ่มต้นความล่มสลายของราชวงศ์หยวน

กลุ่มของชาวจีนผู้เลื่อมใสในลัทธิบัวขาวและมีแนวคิดต่อต้านการปกครองที่เอาเปรียบชาวฮั่นของชาวมองโกล ได้รวมตัวกันขึ้นเป็นกบฏโพกผ้าแดง กระจายไปทั่วประเทศ

ความเชื่อการในการโค่นมองโกลกับขนมไหว้พระจันทร์

สมัยราชวงศ์หยวน เทศกาลไหว้พระจันทร์มีความสำคัญยิ่งขึ้น ราชสำนักซึ่งเป็นชาวมองโกลก็รับเทศกาลนี้ไปจากชาวจีน แต่ห้ามเทศกาลชิวเส้อ ราษฎรจึงใช้วันไหว้พระจันทร์ชุมนุมนัดหมายกันแทน ดังมีตำนานเล่าว่าเขียนหนังสือนัดหมายลุกฮือฆ่ามองโกลสอดไปในไส้ขนมไหว้พระจันทร์ซึ่งแต่ละบ้านนำไปมอบให้ต่อๆ กัน ทำให้กู้ชาติพิฆาตมองโกลได้สำเร็จ ตำนานนี้แม้นักวิชาการจะบอกว่าเชื่อได้ไม่มากนัก

แต่ก็คงมีมูลความจริงอยู่บ้าง เพราะปัจจุบันเทศกาลไหว้พระจันทร์ในหลายถิ่นของจีน เช่น แต้จิ๋ว เจียงซี (กังไส) มีกิจกรรมรำลึกถึงการโค่นล้มมองโกลอยู่ด้วย และตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงเป็นต้นมา มีประเพณีมอบขนมไหว้พระจันทร์เป็นของขวัญประจำเทศกาล ทั้งถือว่าขนมนี้เป็นเครื่องหมายของการอยู่ชุมนุมพร้อมหน้ากันในครอบครัวด้วยความสมบูรณ์พูนสุข เทศกาลไหว้พระจันทร์ยิ่งคึกคักมีความสำคัญแข่งเคียงกับเทศกาลขนมจ้างและตรุษจีน เป็น ๑ ใน ๓ เทศกาลใหญ่ของจีน

กำเนิด จูหยวนจาง

หมิงไท่จู่ จูหยวนจาง ((朱元璋)) เป็นพระนามเดิมของ จักรพรรดิหงอู่ ผู้สถาปนาราชวงศ์หมิงของจีน เกิดในครอบครัวชาวนาที่หมู่บ้านกูจวง ตำบลจงหลี อำเภอเหาโจว มณฑลอันฮุย เมื่อ พ.ศ. 1871 (ค.ศ. 1328) บิดามีชื่อว่า จูซื่อเจิน มารดามีชื่อว่า เฉินสี ในวันที่เขาเกิดนั้นมีเรื่องเล่าว่าพ่อไปตักน้ำได้พบผ้าแพรแดงผืนหนึ่งซึ่งคนในหมู่บ้านต่างเห็นว่าเป็นมงคลนิมิต จูซื่อเจินจึงตั้งชื่อบุตรชายคนนี้ว่าจูหยวนจาง แปลว่า แผ่นหยกชั้นเลิศ

ในปี พ.ศ. 1881(ค.ศ. 1338) เกิดโรคระบาดซ้ำเติมความแห้งแล้งที่มีติดต่อกันนานหลายปี จูซื่อเจินกับนางเฉินสีและพี่ชายคนโตจูจ้งซื่อได้เสียชีวิตลง เพื่อนบ้านที่พอมีฐานะเกิดความสงสารจึงแบ่งที่ดินให้ใช้ฝังศพคนทั้งสาม จากนั้นบุตรที่เหลือจึงแยกย้ายเร่ร่อนไปรับจ้างหาเลี้ยงชีพ จูหยวนจางจำต้องไปบวชเป็นเณรที่วัดหวางเจวี๋ยซื่อ

แต่ภัยแล้งที่มีติดต่อกันอย่างยาวนานทำให้วัดเองประสบปัญหาไม่น้อย พระและเณรในวัดต่างต้องออกธุดงค์ไปเที่ยวภิกขาจารต่างถิ่นซึ่งรวมถึงเณรจูหยวนจางด้วยเช่นกัน จนถึง พ.ศ. 1891 จึงได้บวชเป็นพระแต่บวชได้เพียงสี่ปีก็สึกออกมาเนื่องจากในขณะนั้นเกิดขบวนการหลายกลุ่มขับไล่จักรวรรดิมองโกลออกไปจากแผ่นดินจีน จูหยวนจางจึงไปร่วมกับสาวกลัทธิบัวขาวก่อกบฏโพกผ้าแดงโค่นล้มราชวงศ์หยวนของกัวจื่อซิง (郭子兴) ซึ่งใช้เมืองเหาโจวเป็นที่มั่น

เริ่มการโจมตี

กัวจื่อซิงเห็นแววความสามารถของเขาจึงได้ยกหม่าชิวเซียงธิดาบุญธรรมให้เป็นภรรยา ในปี พ.ศ. 1895 จูหยวนจางปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งมีผลงานโดดเด่นกว่าผู้อื่นจึงได้รับเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วแต่ทำให้ถูกกัวจื่อซิงกับบุตรชายระแวงอยู่เสมอ

ครั้งหนึ่งกัวจื่อซิงจับเขาไปขังแต่หม่าชิงเซียงกับมารดาไปอ้อนวอนขอจึงได้รับการปล่อยตัว จูหยวนจางจึงตัดสินใจพาภรรยากลับไปอยู่ที่ตำบลจงหลีบ้านเกิดและได้ชักชวนเพื่อนในวัยเยาว์กับคนอื่นๆ จัดตั้งกองกำลังเป็นของตนเอง จาก 700 คนก็เพิ่มจำนวนมากกว่า 20,000 คนภายในระยะเวลา 2 ปี

พ.ศ. 1898 (ค.ศ. 1355) ฉีโจวหวางหรือกัวจื่อซิงพ่อตาของเขาสิ้นพระชนม์ลง บุตรชายทั้งสองไม่มีความสามารถพอ จูหยวนจางจึงได้ขึ้นเป็นผู้นำกองกำลังแทน
พ.ศ. 1899 (ค.ศ. 1356) จูหยวนจางยกกำลังบุกเมืองจี้ซิงเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองอิ้งเทียน ( ปัจจุบันคือเมืองหนานจิง ) ใช้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการทยอยกำจัดกลุ่มอำนาจอื่นๆ ที่ตั้งตัวเป็นอิสระเช่นกัน พร้อมกับใช้คำสั่ง สามไม่ คือ ไม่เผาบ้าน ไม่ฆ่าคน ไม่ปล้นชิง ทำให้ชาวเมืองอื่นๆ ต่างพากันยินยอมอย่างง่ายดาย
พ.ศ. 1907 (ค.ศ. 1364) สถาปนาตนเองขึ้นเป็นอู่หวาง ปกครองดินแดนแถบใต้แม่น้ำฉางเจียง

ขุมกำลังของจูหยวนจาง


ระดับบริหาร

อัครเสนบดีอย่าง หลี่ซั่นจ่าง , ประธานที่ปรึกษา หลิวป๋อเหวิน ที่รู้ไปเสียทุกศาสตร์

ระดับขุนศึก ก็อย่างเช่น

เชาหยง, สวีต้า(ในมังกรหยกภาค ๓ จะออกเสียง ฉื่อตั๊ก เพื่อนสมัยออกบวช ของ จูหยวนจาง มาก่อน และรอดจากการโดนเผาในงานเลี้ยง แต่สุดท้ายมาตายเพราะความซื่อของตัวเอง ), หูต้าไฮ่(อิสลามเผ่าหุย) ,และจอมบ้าดีเดือดอย่าง ฉางอวี่ฉุน (ตายอย่างสมศักดิ์ศรีในสนามรบ ขณะตามไล่ล่ามองโกลกลางทะเลทราย โดยโดนลูกธนูของฝ่ายมองโกลเสียบเข้าที่คอ )

เมื่อได้ที่ปรึกษาดี+ขุนศึกเยี่ยม ทำให้ จุหยวนจาง สามารถตั้งฐานกำลังของตัวเองได้ที่ นานจิง และ ด้วยการที่ จูหยวนจางเป็นก๊กเล็ก ๆ ทางใต้ จึงทำให้ไม่มีใครสนใจเขาในตอนแรก

การรวบรวมก๊กทั้งหลาย


ทุกคนมัวแต่สนใจที่จะรบให้ชนะมองโกล เพื่อที่จะได้อ้างความชอบธรรมในการสถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้ ทางเหนือมีกลุ่มใหญ่อย่าง หลิวฝู่ทง ทางตะวันตกมีกลุ่มของ จางจื้อเฉิง และ ตะวันออกมี เฉินโหย่วเหลียง

ทำให้จูหยวนจางสามารถค่อย ๆ สร้างฐานอำนาจตัวเองได้อย่างสบาย ๆ เพราะรอบตัวมีคนรบกับมองโกลให้หมดแล้ว ตัวเองเลยไม่ต้องเปลืองกำลังไปรบกับมองโกลให้เสียแรง กว่าทุกฝ่ายจะรู้ตัวว่า จูหยวนจาง กำลังเปล่งรัศมีขึ้นมาแล้วนั้น ก็สายไปเสียแล้ว

หลิวฝู่ทง ก็เริ่มจะเปลี้ยแล้วทั้งจากการรบกับมองโกล และ รบกับก๊กอื่น ๆ และที่สำคัญ จูหยวนจาง ใช้นโยบายตีสองหน้า แกล้งทำเป็นอ่อนน้อมกับ หลิวฝุ่ทง เนื่องจาก หลิวฝู่ทง เชิดฮ่องเต้หุ่นอยู่ จึงทำให้ หลิวฝู่ทง จะทำอะไร จูหยวนจาง ก็ไม่ได้

ส่วน จางจื้อเฉิง เข้ากับมองโกลไปแล้ว

เพราะฉะนั้นจึงเหลือแค่ เฉินโหย่วเหลียง ก๊กเดียวเท่านั้นที่น่ากลัวที่สุด สุดท้ายแล้วก็เลยรบกันอย่างแตกหักเกิดเป็นยุทธนาวีที่ทะเลสาปโผหยาง

ยุทธนาวีที่โผหยาง

นับเป็นศึกครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ และศึกนี้เป็นการชี้ชะตาว่าใครจะเป็นผู้ปกครองแผ่นดินจีนต่อไป ศึกนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จูหยวนจางเด็กชาวนายากจน กลายเป็นบุคคลหมายเลขหนึ่งปกครองแผ่นดินจีนและชาวฮั่น


การที่จูหยวนจาง เลือกทำศึกกับเฉินโหย่วเลี่ยงก่อนนั้น ก็เพราะเห็นว่า เฉินโหย่วเลี่ยงนั้นเป็นบุคคลอันตรายที่สุด เป็นผู้กระหายอำนาจ กลุ่มของเฉินโหย่วเลี่ยงนั้นมีกองทัพมากกว่าจูหยวนจางหลายเท่า นี้แสดงให้เห็นถึงความกล้าและความเด็ดขาดของจูหยวนจาง แม้จะตายก็ตายอย่างมีลายมีชื่อ

ก่อนจะเกิดศึกที่โผหยางนั้น จูหยวนจางก็เกือบจะสังหารเฉินโหย่ว-เลี่ยงได้สำเร็จ แต่พอดีเฉินโหย่วเลี่ยง ดวงแข็งรอดไปได้ แต่ก็เป็นไปแบบทุลักทุเล เพราะทัพของจูหยวนจางไล่ตะบี้ตะบันไปอย่างติดๆ สวีโซว่ฮุ่ย กษัตริย์หุ่นเชิดของเฉินโหย่วเลี่ยง จึงต้องรีบเจรจาและผูกมิตรกับจูหยวนจางเพื่อยุติศึกครั้งนั้น ทำให้เฉินโหย่วเลี่ยง ไม่พอใจ และปลดสวีโซว่ฮุ่ยจากตำแหน่ง และจูหยวนจางกับเฉินโหย่วเลี่ยง ก็มีการทำศึกกันมาตลอดๆ ซึ่งการที่จูหยวนจางติดพันศึกกับเฉินโหย่วเลี่ยงนี้เอง ก็ทำให้จางซื่อเฉิง โจรพ่อค้าเกลือ ฉวยโอกาสมาตีเมืองอานเฟิง จูหยวนจางจึงเบนเข็มมาสู้ศึกที่อานเฟิงด้วยตัวเอง

เมื่อเหตุการณ์เป็นไปดังนี้ ปี 1363 เฉินโหย่วเลี่ยง จึงได้โอกาสหมายทำสงครามขั้นแตกหักกับจูหยวนจาง จึงจัดทัพเรือครั้งใหญ่ที่สุด ก่อนออกศึกนั้น เฉินโหย่วเลี่ยงได้ ตัดหัว เจ้านายเก่าอย่างสวีโซว่ฮุ่ย เซนธงชัย แล้วเริ่มเคลื่อนทัพเรือตามลำน้ำโผหยาง มีเรือขนาดใหญ่กว่าร้อยลำ สูงใหญ่เท่ากับตึก 3 ชั้น และเรือขาดเล็กอีกกว่าพันลำ พร้อมกับกองกำลังพลถึง 6 แสนคน กองทัพเรือของเฉินโหย่วเลี่ยงนั้นยาวเหยียด สุดลูกหูลูกตา เสียงอึกกระทึกครึกโครมล่องลอยมาตามลำน้ำ การทำศึกครั้งนี้เฉินโหย่วเลี่ยงนั้นมีความมั่นใจว่าจะพิชิตกองทัพอันน้อยกว่าของจูหยวนจางได้ ถึงขั้นกับหอบลูกจูงเมียขึ้นเรือมาพร้อมด้วย หวังให้ลูกเมียเห็นถึงความยิ่งใหญ่และชัยชนะของตน

เฉินโหย่วเลี่ยงนั้นแทนที่จะไปตีเมืองยิ่งเทียนเลยทันที กลับยกทัพไปตีเมืองหงตู ซึ่งเป็นเมืองสำคัญรองจากเมืองยิ่งเทียน การพิชิตเมืองหงตูนั้นไม่สำเร็จ เฉินโหย่วเลี่ยงเอง ต้องทำศึกยืดเยื้อนานถึง 85 วัน ซึ่งขุนศึกคนสำคัญที่มีหน้าที่รักษาเมืองหงตูครั้งนี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหลานชายของจูหยวนจางเอง นั่นคือ จูเหวินเจิ้ง

เมื่อเฉินโหย่วเลี่ยงเห็นว่า การพิชิตเมืองหงตูนั้น ไม่ง่ายดังใจคิด จึงเบนหัวเรือมุ่งหน้าไปที่เมืองยิ่งเทียน เมืองสำคัญอันดับหนึ่งของจูหยวน-จาง และกองทัพเรือองเฉินโหย่วเลี่ยง ก็มาจ๊ะเอ๋ กับ กองทัพเรือของจู-หยวนจาง ที่ทะเลสาบโผหยาง โดยจูหยวนจางมีกำลังพล 2 แสนคน ยุทธนาวีที่โผหยางนี้ ทั้งสองฝ่ายต้องต่อสู้กันแบบเลือดนองน้ำนานถึง 36 วัน ก่อนหน้า 4 วันที่สงครามจะจบลง หลิวจี ยอดกุนซือยังได้เตรียมการวางกำลังซุ่มทางที่ศัตรูจะถอยกลับด้วย เอากันแบบว่า ไม่มีทางที่จะรอดกลับไปเลยทีเดียว

การศึกครั้งนี้ จูหยวนจางเองได้เตรียมการไว้อย่างรอบคอบ แบบไม่ชนะก็ตาย รบเร็วเลิกเร็ว ก็เหมือนของไทยที่ถึงกับทุบหมอข้าวหมอแกง ในสมัยที่จะไปตีเอาบ้านเอาเมืองคืน มีการเตรียมอาวุธต่างๆ ให้พร้อมเพรียงและใช้การได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับมีทีเด็ด ท่าไม้ตายหน่วยเรือพลีชีพ เหมือนอย่างที่เอาเครื่องบินเข้าชนตึก
จนในที่สุด เดือน 7 วันที่ 21 ขณะที่เฉินโหย่วเลี่ยง ชะล่าใจว่าจู-หยวนจางโดนปืนใหญ่ยิงร่างแหลกตายเป็นผีเฝ้าน้ำไปแล้ว จูหยวนจางซึ่งตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำมาได้ ได้เล็งปืนใหญ่ไปที่เรือธงชัยของเฉินโหย่วเลี่ยง ตูมเดียวเท่านั้น เฉินโหย่วเลี่ยงก็กลายเป็นผีเฝ้าทะเลสาบโผหยาง



ยุทธนาวีโผหยางครั้งนี้ ชาวฮั่นต้องเข่นฆ่ากันเอง ศพมากมายก่ายกองแทบจะถ่มลำน้ำได้ รวมกันทั้ง 2 ฝ่ายแล้วเกือบ 5 แสนศพที่สังเวยให้กับลำน้ำเลือด แต่ศึกครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญและจุดเปลี่ยนที่จะทำให้ยอดคนอย่างจูหยวนจาง จะก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้ ผู้ที่จะปกครองเผ่าพันธุ์ที่มีประชากรมากที่สุดในโลก

หลังจากศึกนี้ก็รวมก๊กของเฉินโหย่วเหลียงได้ จากนั้นก็ค่อย ๆ ไล่บี้ จางจื้อเฉิง ส่วนหลิวฝู่ทง นั้นแทบไม่ต้องออกกำลังเพราะ มองโกล บี้ให้แทนแล้ว

ในที่สุด จูหยวนจาง ก็เลยเป็นตาอยู่ ได้ทุกก๊กไปอยู่ในมือ ก่อนที่จะไล่มองโกลออกไปอีกที
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
อ่านเพลินเลย โอปป้าโอปป้าโอปป้า

เข้ามาแจม ที่ว่าจูหยวนจางประหารเสนา ที่ปรึกษา ขุนพล ผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นภัยไป 3-5 หมื่นคนน่ะ หลายคนสงสัยว่าทำไมเยอะนัก นั่นก็เพราะประหารคนนึงก็คือการประหารทั้งตระกูลรวมถึงผู้ใกล้ชิดด้วย จุดประสงค์ก็เพียงเพื่อรักษาอำนาจให้อยู่กับตัว ไม่ให้เกิดเหตุชิงอำนาจประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนราชวงศ์ก่อนหน้า

มีตัวอย่างหนึ่งคือกำจัดนายพลชื่อสูต๋า ซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกันและรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับจูหยวนจางมา จนได้อภิสิทธิ์คือตายได้ 3 ครั้ง แปลว่าหากฮ่องเต้สั่งให้ประหาร ก็ไม่ต้องถูกประหาร 3 ครั้ง ทีนี้จะกำจัดยังไงล่ะ มาดูกัน

สูต๋าป่วยเป็นฝีที่หลัง หมอหลวงบอกว่าจูหยวนจางว่าโรคแบบนี้ห้ามกิน "เนื้อห่าน" โดยเด็ดขาด คงเป็นของแสลงประมาณนั้น จูหยวนจางเรียกสูต๋าเข้าเฝ้าจัดงานเลี้ยงต้อนรับและบอกว่าเตรียมทีมหมอหลวงรักษาไว้ให้แล้ว แล้วก็รักษาอย่างดีจนแผลเริ่มจะหาย วันหนึ่งจูหยวนจางรับสั่งว่า "เพื่อให้หายไวๆ จะได้มาช่วยกันบริหารบ้านเมือง เลยให้พ่อครัววังหลวงปรุงห่านมาให้ทานบำรุงกำลัง" สูต๋าปลื้มใจมาก ทานห่านนั้นไป ผลก็คือฝีนั้นติดเชื้อ หมอก็บอกว่าหมดทางรักษา ปีต่อมาก็เสียชีวิต
       
ยุคไหน สมัยไหน อยู่ใกล้ผู้มีอำนาจล้วนไม่ปลอดภัยเลย แถมมีการตายที่พิสดารอีกต่างหาก
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
กำเนิดราชวงศ์หมิง

เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 1910 (ค.ศ. 1367) จูหยวนจางยกทัพบุกถึงนครต้าตูเมืองหลวงของราชวงศ์หยวน จักรพรรดิซุ่นตี้เห็นเหลือกำลังที่จะรับมือจึงพาเหล่าพระญาติพระวงศ์และชาวมองโกลหนีออกนอกด่านไปอยู่ที่เมืองซ่างตู วันที่ 2 เดือน 8 จึงได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเป่ยผิง ประกาศตั้งราชวงศ์ต้าหมิง สถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ทรงพระนามว่าหมิงไท่จู่ (明太祖)ใช้ศักราชประจำพระองค์ว่าหงอู่ หรือหงอู่(洪武)) เปลี่ยนชื่อเมืองอิ้งเทียนเป็นหนานจิงใช้เป็นเมืองหลวง


ในปี ค.ศ.1372 สวีต๋าได้ยกทัพใหญ่ข้ามทะเลทรายโกบี

เผาคาราคอลัม เมืองหลวงเดิมของเจงกิสข่านจนราบเป็นหน้ากลอง แล้วรุกคืบหน้าต่อไปจนถึงด้านเหนือของภูเขายาโบลน็อยในทรานไบกาเลีย จังหวัดสมัยใหม่ของไซบีเรีย ซึ่งยังไม่เคยมีกองทัพจีน ไม่ว่าจะของจักรพรรดิราชวงศ์ใดเคยรุกรบขึ้นไปทางเหนือได้ไกลถึงเพียงนี้

ในปี ค.ศ.1381 มองโกลก็ถูกกวาดล้างออกไปจากดินแดนทางด้านตะวันตกเฉียงใต้สุดอาณาจักร ต่อมาอีก 10 ปี กองทัพหมิงก็เข้ายึดครองฮามีในเอเชียกลางใต้

เป็นอันว่าปฐมจักรพรรดิราชวงศ์หมิงได้เข้าครอบครองอาณาจักร ที่จักรพรรดิราชวงศ์ซ่งทั้งเหนือและใต้เคยเสียให้แก่ชาวต่างชาติไปแล้วโดยสมบูรณ์ และก็พอจะกล่าวได้ว่า จักรพรรดิราชวงศ์หมิงองค์แรกผู้กอบกู้เอกราชของชาติ สามารถแผ่ขยายดินแดนของอาณาจักรออกไปทางเหนือได้กว้างไกลยิ่งกว่าในสมัยใดๆ นับแต่ราชวงศ์ถังสิ้นสุดลงเป็นต้นมา

เหลียวตงซึ่งอยู่ทางใต้ของแมนจูเรีย หรือตงเป่ยดินแดนภาคอีสานของจีนถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรภายในซานตง

ส่วนหยุนหนานกับกุ้ยโจว ดินแดนทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งในสมัยฮั่นและถังจีนเคยครอบครองได้บางส่วน ก็กลายมาเป็นมณฑลภายในอาณาจักรภายใต้การปกครองของจักรพรรดิราชวงศ์หมิง โดยชนชาติส่วนน้อยที่ยังด้อยพัฒนาใน 2 มณฑลนี้อยู่ในฐานะกึ่งปกครองตนเอง

ตามเมืองและที่ราบลุ่มหลายต่อหลายแห่งก็มีชาวฮั่นอพยพไปตั้งถิ่นฐานทำมาหากินกัน จนกลายมาเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรนิคมชาวฮั่น

กองทัพหมิงสมัยจักรพรรดิหงอู่มีแสนยานุภาพเกรียงไกรใหญ่ยิ่ง มีทหารประจำการทั้งสิ้น ณ ปี ค.ศ.1392 ถึง 1,200,000 คน

การแต่งแต่งเชื้อพระวงศ์และขุนนาง

ทรงโปรดให้โอรสให้เป็นหวาง (อ๋อง) ไปครองเมืองต่าง ๆ เพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ คือ ตั้งองค์ชายจูเพียวเป็นไท่จือ องค์ชายจูตี้เป็นเยียนหวางครองเมืองเป่ยผิง องค์ชายจูเฉวียนเป็นหนิงหวางครองเมืองต้าหนิง องค์ชายจูกุ้ยเป็นไต้หวางครองเมืองต้าถง องค์ชายจูกังเป็นจิ้นหวางครองเมืองไท่หยวน องค์ชายฝู่เป็นฉีหวางครองเมืองชิงโจว องค์ชายจูส่วงเป็นฉินหวางครองเมืองซีอาน องค์ชายจูอิงเป็นซู่หวางครองเมืองกานซู

หมิงไท่จู่ได้ดำเนินการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสังคม ด้วยความประหยัดมัธยัสถ์ ผ่อนปรน แก่ประชากรส่วนใหญ่ และทรงศึกษาถึงความล้มเหลวของราชวงศ์ต่างๆ ในอดีตเห็นว่าภัยสำคัญเกิดจากการที่ขันทีเข้าแทรกแซงการบริหารราชการ จึงมีพระราชโองการให้จารึกแผ่นเหล็กประกาศห้ามขันทีเข้ายุ่งเกี่ยวกับการบริหารราชการ ผู้ฝ่าฝืนกำหนดโทษประหารสถานเดียว

นอกจากนั้นยังได้ลดบทบาทของอัครเสนาบดีรวบอำนาจไว้ที่พระองค์ฎีกาและข้อราชการต่างๆ ต้องถวายถึงพระองค์โดยตรง อัครเสนาบดีเป็นเพียงผู้รับราชโองการไปดำเนินการ ในด้านทหารการเลื่อนลดปลดย้ายแม่ทัพนายกองก็ต้องผ่านการพิจารณาจากพระองค์โดยตรง นอกจากนั้นพระองค์ยังได้จัดตั้งจินอีเว่ย (กองกำลังทหารเกราะทอง)ให้เป็นกองกำลังพิเศษคอยถวายอารักขาและสอดแนมความเคลื่อนไหวของขุนนางและราษฎร เรียกได้ว่าพระองค์กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างแท้จริง

ในรัชกาลของพระองค์กล่าวกันว่าทรงประหารขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนรวมทั้งผู้เกี่ยวข้องหากสงสัยว่าจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์กว่าห้าหมื่นคน โดยเฉพาะปลายรัชกาลหลังจากที่สถาปนาองค์ชายจูหยุนเหวิน(朱 允文)พระราชนัดดาเป็นไท่จือแทนองค์ชายจูเพียว (朱標) พระบิดาที่สิ้นพระชนม์ไปก่อน แม่ทัพหลายคนต้องถูกประหารเนื่องจากเกรงจะเป็นภัยในอนาคต ไม่เว้นแม้แต่แม่ทัพสีต๋าหรือฉีต๊ะผู้เคยออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระองค์แต่การตัดสินพระทัยของพระองค์กลับส่งผลร้ายมาให้พระราชนัดดาอย่างแรง


สวรรคต

จักรพรรดิหงอู่ทรงครองราชย์นานถึง 30 ปี เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1941 (ค.ศ. 1398) พระชนม์ได้ 70 พรรษา พระศพได้รับการเชิญไปบรรจุไว้ที่สุสานเซี่ยวหลิง เชิงเขาจื่อจินซาน ชานกรุงหนานจิง ปิดฉากของมหาบุรุษที่มีชีวิตอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง จากลูกชาวนายากจนได้เป็นจักรพรรดิปกครองแผ่นดินจีนที่ยิ่งใหญ่ไพศาล



ในด้านการปกครอง

สำหรับการปกครองอาณาจักรนั้น แม้แต่เมื่อยังไม่สามารถกำจัดมองโกลออกไปได้ หงอู่ก็ตระหนักดีว่าจะมอบให้บรรดาแม่ทัพนายกองของพระองค์ปกครองอาณาจักรไม่ได้

ดังนั้นการปกครองอาณาจักรนั้นพระองค์ จำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากบัณฑิตหรือผู้รู้ทางหนังสือซึ่งตามปกติเป็นสาวกของลัทธิขงจื๊อ

นับแต่แรกเริ่มของการเป็นผู้นำทางทหารหงอู่ ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงสามัญชนชื่อจูหยวนจางก็นับได้ว่าเป็นผู้นำที่โชคดี เพราะมีผู้มีสติปัญญาและความรู้ในฐานะบัณฑิตลัทธิขงจื๊อหลายต่อหลายคนเป็นที่ปรึกษา

นี่น่าจะเป็นนโยบายการเมืองนำการทหารของยุคปัจจุบัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่