สำหรับชาวแบ็คแพคเกอร์ทั้งหลายที่กังวลเกี่ยวกับการเดินทางในคิวชู
ซึ่งอาจจะมองว่าอุปสรรคทางภาษาก่อให้เกิดความยากลำบากต่อการเดินทาง อ่านป้ายญี่ปุ่นไม่ออกกกก Y_Y
อาจจะหลงทาง สะบัดบ๊อบใส่ปัญหาเหล่านั้นได้เลยค่ะ เพราะที่คิวชูมีระบบคมนาคมการเดินทางที่สุดแสนสะดวกสบายและราคาน่าคบหา
ไม่แพงหูฉี่จนเกินไป แถมมีวิวสวยๆข้างทางให้ได้ชมกันเพลินๆอีกด้วย
บริการที่ว่า...นั่นคือ.... บริการรถไฟโดยสาร JR Kyushu (Japan Railway) นั่นเองค่ะ
ซึ่งการจะใช้บริการรถไฟของ JR ได้จะต้องมีการแลกบัตรที่เรียกว่า JR Kyushu Rail Pass นั่นเองค่ะ บัตรผ่านดังกล่าวจะเน้นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เหมาจ่ายเท่านั้นจ้า สามารถใช้บริการรถไฟโดยสาร JR แบบธรรมดาและขบวนพิเศษได้โดยไม่จำกัดเที่ยว ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและระยะเวลากำหนดที่เราทำการสั่งจองและซื้อค่ะ
ตั๋วมี 2 ประเภทด้วยกันตามข้างล่างนี้ค่ะ โดยจะกำหนดระยะเวลาเป็นแบบตั๋ว 3 วันและตั๋ว 5 วัน
1. Northern Kyushu Area : เที่ยวได้เฉพาะในแถบพื้นที่คิวชูตอนเหนือ
ก็จะมีจังหวัดฟุกูโอกะ, ซากะ, นางาซากิ, โออิตะและสิ้นสุดที่คุมาโมโต้ค่ะ
แพ็คเกจ 3 day pass = 7000 Yen
2. All Kyushu Area: สามารถท่องไปได้ทั่วภูมิภาคคิวชูเลยค่ะ
แพ็คเกจ 3 day pass =
14,000 yen
แพ็คเกจ 5 day pass =
17,000 yen
ด้วยวิธีการจองง่ายแสนง่ายค่ะ
1. เราต้องทำการซื้อ Voucher ที่เราสามารถซื้อได้จากเอเจนซี่ท่องเที่ยวในไทย มีหลายบริษัทด้วยกันสามารถไปตรวจสอบชื่อบริษัทที่น่าเชื่อถือได้จากอากู๋ค่ะ หรือจะไปซื้อที่สนามบินเลยก็ได้ค่ะราคาเท่ากัน แต่ก็ตรวจสอบอัตราค่าเงินช่วงนั้นให้ดีนะคะ
2. จากนั้นเราก็เอาไปแลกตั๋วจริงที่ห้องแลกตั๋วโดยสาร Ticket Office "Midori no Madoguchi" ซึ่งจะมีส่วน JR Travel Service Center อยู่ ไม่ต้องกลัวค่ะ สามารถสอบถามพนักงานแถวนั้นได้ เดี๋ยวนี้พนักงานญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษกันปร๋อบ้างแล้วค่ะ ถึงแม้ว่าจะไม่โปรเป็นประโยครัวๆ แต่รู้เรื่อง เข้าใจไปถูกแน่นอนค่ะ
Tips: ก่อนสอบถามก็ส่งสายตาวิงวอน พร้อมวาจาหวานๆด้วยคำว่า “ซูมิมาเซนนนน....” ประโยคหากินในญี่ปุ่น อารมณ์ประมาณแบบว่า ขอโทษนะคะ....รบกวนอยากจะถามบลาๆๆ เท่านี้ คนญี่ปุ่นเค้ายินดีจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ทุกสถานการณ์เลยทีเดียว
3. ซึ่งพอไปถึงออฟฟิศแลกตั๋ว เราต้องเตรียมพาสปอร์ตเพื่อยื่นให้พนักงานด้วยนะคะ ที่เคาน์เตอร์ก็จะมีเอกสารให้กรอก เช่น ชื่อสกุล หมายเลขพาสปอร์ต หมายเลขโทรศัพท์ ประมาณนี้ค่ะ แต่ที่สำคัญคือ เราต้องเน้นวินัยในการต่อคิวเพื่อให้พนักงานได้ออกตั๋วผ่านให้เรานะคะ อาจจะต้องรอนิดหน่อย การแซงคิวถือเป็นวิสัยที่ไม่น่าคบสุดๆสำหรับชาวญี่ปุ่นค่ะ พอเราได้บัตร Pass มาแล้วก็ถึงตาที่เราจะสามารถจองที่นั่งในแต่ละขบวนที่เราจะเดินทางได้ค่ะ รู้สึกพิเศษสุดๆ ข้อดีที่เราสามารถจองที่นั่งได้คือ ไม่ต้องเสี่ยงต่อการไม่มีที่นั่งเพราะที่นั่งเต็ม หรือต้องยืนห้อยแขนตลอดทางก็อาจจะออกแนวฮีโร่ไปนิดนึง
จากนั้นก็หาทางมาชานชาลาที่จะตรงสู่จุดหมายปลายทางของเราให้ได้ค่ะ โดยถามที่เจ้าหน้าที่ได้โดยใช้สูตร ซูมิมาเซนนน...
ซึ่งการจองที่นั่งล่วงหน้าจะช่วยให้การเดินทางของเราไม่หลุดง่ายค่ะ เดินทางได้ตรงเวลา เที่ยวกินได้ตามตาราง แถมไม่หงุดหงิดเพราะต้องแบกกระเป๋า กล้องหนักๆ มะรุมมะตุ้มกับข้าวกล่องที่อยากจะทานบนรถไฟอีก ก็จะเสียอรรถรสในการท่องเที่ยวไปโดยปริยาย
นี่คือตัวอย่างวิวข้างทางในขณะที่นั่งรถไฟ JR เพื่อข้ามจาก Nagasaki City --> Sasebo ค่ะ จะเห็นวิวของ Huis Ten Bosch ด้วย
[CR] เหินฟ้าครั้งแรกสู่คิวชู(2): ตอน JR Kyushu โรงแรมสุดหรู รถไฟสุดล้ำ!
ซึ่งอาจจะมองว่าอุปสรรคทางภาษาก่อให้เกิดความยากลำบากต่อการเดินทาง อ่านป้ายญี่ปุ่นไม่ออกกกก Y_Y
อาจจะหลงทาง สะบัดบ๊อบใส่ปัญหาเหล่านั้นได้เลยค่ะ เพราะที่คิวชูมีระบบคมนาคมการเดินทางที่สุดแสนสะดวกสบายและราคาน่าคบหา
ไม่แพงหูฉี่จนเกินไป แถมมีวิวสวยๆข้างทางให้ได้ชมกันเพลินๆอีกด้วย
บริการที่ว่า...นั่นคือ.... บริการรถไฟโดยสาร JR Kyushu (Japan Railway) นั่นเองค่ะ
1. Northern Kyushu Area : เที่ยวได้เฉพาะในแถบพื้นที่คิวชูตอนเหนือ
ก็จะมีจังหวัดฟุกูโอกะ, ซากะ, นางาซากิ, โออิตะและสิ้นสุดที่คุมาโมโต้ค่ะ
แพ็คเกจ 3 day pass = 7000 Yen
2. All Kyushu Area: สามารถท่องไปได้ทั่วภูมิภาคคิวชูเลยค่ะ
แพ็คเกจ 3 day pass = 14,000 yen
แพ็คเกจ 5 day pass = 17,000 yen
ด้วยวิธีการจองง่ายแสนง่ายค่ะ
1. เราต้องทำการซื้อ Voucher ที่เราสามารถซื้อได้จากเอเจนซี่ท่องเที่ยวในไทย มีหลายบริษัทด้วยกันสามารถไปตรวจสอบชื่อบริษัทที่น่าเชื่อถือได้จากอากู๋ค่ะ หรือจะไปซื้อที่สนามบินเลยก็ได้ค่ะราคาเท่ากัน แต่ก็ตรวจสอบอัตราค่าเงินช่วงนั้นให้ดีนะคะ
2. จากนั้นเราก็เอาไปแลกตั๋วจริงที่ห้องแลกตั๋วโดยสาร Ticket Office "Midori no Madoguchi" ซึ่งจะมีส่วน JR Travel Service Center อยู่ ไม่ต้องกลัวค่ะ สามารถสอบถามพนักงานแถวนั้นได้ เดี๋ยวนี้พนักงานญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษกันปร๋อบ้างแล้วค่ะ ถึงแม้ว่าจะไม่โปรเป็นประโยครัวๆ แต่รู้เรื่อง เข้าใจไปถูกแน่นอนค่ะ
Tips: ก่อนสอบถามก็ส่งสายตาวิงวอน พร้อมวาจาหวานๆด้วยคำว่า “ซูมิมาเซนนนน....” ประโยคหากินในญี่ปุ่น อารมณ์ประมาณแบบว่า ขอโทษนะคะ....รบกวนอยากจะถามบลาๆๆ เท่านี้ คนญี่ปุ่นเค้ายินดีจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ทุกสถานการณ์เลยทีเดียว
3. ซึ่งพอไปถึงออฟฟิศแลกตั๋ว เราต้องเตรียมพาสปอร์ตเพื่อยื่นให้พนักงานด้วยนะคะ ที่เคาน์เตอร์ก็จะมีเอกสารให้กรอก เช่น ชื่อสกุล หมายเลขพาสปอร์ต หมายเลขโทรศัพท์ ประมาณนี้ค่ะ แต่ที่สำคัญคือ เราต้องเน้นวินัยในการต่อคิวเพื่อให้พนักงานได้ออกตั๋วผ่านให้เรานะคะ อาจจะต้องรอนิดหน่อย การแซงคิวถือเป็นวิสัยที่ไม่น่าคบสุดๆสำหรับชาวญี่ปุ่นค่ะ พอเราได้บัตร Pass มาแล้วก็ถึงตาที่เราจะสามารถจองที่นั่งในแต่ละขบวนที่เราจะเดินทางได้ค่ะ รู้สึกพิเศษสุดๆ ข้อดีที่เราสามารถจองที่นั่งได้คือ ไม่ต้องเสี่ยงต่อการไม่มีที่นั่งเพราะที่นั่งเต็ม หรือต้องยืนห้อยแขนตลอดทางก็อาจจะออกแนวฮีโร่ไปนิดนึง
จากนั้นก็หาทางมาชานชาลาที่จะตรงสู่จุดหมายปลายทางของเราให้ได้ค่ะ โดยถามที่เจ้าหน้าที่ได้โดยใช้สูตร ซูมิมาเซนนน...
ซึ่งการจองที่นั่งล่วงหน้าจะช่วยให้การเดินทางของเราไม่หลุดง่ายค่ะ เดินทางได้ตรงเวลา เที่ยวกินได้ตามตาราง แถมไม่หงุดหงิดเพราะต้องแบกกระเป๋า กล้องหนักๆ มะรุมมะตุ้มกับข้าวกล่องที่อยากจะทานบนรถไฟอีก ก็จะเสียอรรถรสในการท่องเที่ยวไปโดยปริยาย
นี่คือตัวอย่างวิวข้างทางในขณะที่นั่งรถไฟ JR เพื่อข้ามจาก Nagasaki City --> Sasebo ค่ะ จะเห็นวิวของ Huis Ten Bosch ด้วย