ใครจะไปรู้ว่าชีวิตที่เคยหลงทางอย่างสุดขั้วก็สามารถกลับมาดีได้อย่างสุดขั้วเช่นกัน

สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิปทุกคน..

วันนี้ผมอยากมาถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตให้ฟังและฝากถึงใครหลายๆคนที่กำลังเดินหลงทางอยู่
เพราะช่วงสองสามวันนี้ผมเห็นทั้งเพื่อน รุ่นน้อง และคนรู้จักมากมายกำลังเดินหลงทางอยู่และคิดว่าตัวเองไม่สามารถกลับมาสู่ทางที่ถูกต้องได้อีกต่อไป
บางคนคิดว่าไหนๆตัวเองก็เลวแล้วก็ต้องเลวให้มันถึงที่สุด บางคนกลับตัวกลับใจได้เพียงแปปเดียวก็ต้องกลับมาวิ่งแล่นในถนนสายเดิมต่อไปเพียงเพราะใจไม่แข็งพอและท้อแท้กับการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่หากคุณได้อ่านเรื่องราวของผมวันนี้ ผมว่าอย่างน้อยที่สุดมันอาจจะช่วยให้คุณกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งก็ได้นะครับ อมยิ้ม04

เรื่องมีอยู่ว่าในสมัยม.1ผมเป็นนักเรียนประจำอยู่ที่โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งตอนนั้นผมค่อนข้างเป็นเด็กประเภทไม่ค่อยคุยกับใคร ชีวิตมีแต่เรียนกับเล่นดนตรี เพราะผมเป็นคนที่ชอบดนตรีมาตั้งแต่เล็กๆแล้ว และเมื่อจบมอหนึ่งผมจึงขอร้องทางบ้านให้ย้ายผมมาเรียนแถวบ้านเนื่องจากสภาพจิตใจผมช่วงนั้นค่อนข้างไม่สู้กับการมีชีวิตเป็นนักเรียนประจำบวกกับคิดถึงทางบ้านด้วย หลังจากนั้นเองเมื่อเข้าสู่ช่วงม.2 ผมได้ย้ายกลับมาเรียนแถวบ้านตามที่ใจต้องการซึ่ง รร.ที่อยู่นั้นเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดชื่อดัง (รร.รัฐบาล) ซึ่งแน่นอนว่าสภาพสังคมที่นั้นค่อนค้างเถื่อน แต่เด็กๆดีๆก็มีเยอะเช่นกันนะครับ โดยตัวผมเองนั้นย้ายเข้ามาในช่วงแรกก็ยังมีกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม คือ เล่นดนตรี กับเรียนหนังสือ แต่พอระยะหลังๆ ผมเริ่มมีเพื่อนมากขึ้น ไม่ว่าจะมาจากเพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกัน (ส่วนมากจะเป็นรุ่นพี่) หรือเพื่อนในชั้นเรียนเป็นต้น และในขณะนั้นผมเองก็เริ่มติดบุหรี่ มาโรงเรียนทุกเช้าต้องแอบดูดบุหรี่ในห้องน้ำ กลับบ้านไป ก็แอบดูดที่บ้านโดนจับได้บ้างไม่ได้บ้างกันตามภาษาครับ แต่แค่นั้นมันยังไม่รุนแรงมาก เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมาผมเริ่มทดลองเล่นยาเสพติดแต่ละชนิดเพิ่มเข้ามาในชีวิตเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ยาบ้า กัญชา ยาไอซ์ น้ำกระท่อม (แต่เกิดขึ้นจากความอยากรู้อยากลองและสภาพจิตใจที่อ่อนเกินไปของผมเองนะครับ อันนี้ไม่โทษเพื่อน สังคม หรือผู้ปกครอง) ตั้งแต่นั้นมาผมเริ่มไม่เข้าเรียนหนังสือ วันๆเอาแต่เล่นดนตรีกับเล่นยาเสพติด จนช่วงใกล้จบม.2 ก็มีปัญหาทะเลาะวิวาทกับเขาไปทั่วไม่หยุดหย่อน ก็อย่างว่าหละครับตามภาษาเด็กพึ่งหัดคลาน และก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกระทั้งม.3 อะครับ ความรุนแรงของพฤติกรรมของผมเริ่มก่อตัวมากขึ้นจนถึงขีดที่เกินจะรับไหว ผมเริ่มติดยาทุกๆประเภทที่กล่าวมา วันๆมาโรงเรียนไม่เคยเข้า โดดรั้วบ้างอยู่ตามห้องน้ำบ้าง มีเรื่องทะเลาะกับเขาได้ทุกวี่ทุกวัน จนกระทั้งช่วงม.3 ผมถูกเรียกผู้ปกครองบ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุหรี่ เรื่องชกต่อย และ โดดเรียน แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กผู้ชายวัยกำลังอยากรู้อยากลองอะครับ ส่วนเรื่องยาเสพติดอื่นๆผมไม่เคยถูกจับได้ และในที่สุดวันจบม.3 ผลที่ออกมาคือ ผมไม่สามารถเรียนต่อที่นั้นได้ ช่วงม.4 ก็เลยย้ายไปเรียนรร.เอกชนเล็กๆที่ต่างจังหวัด ช่วงแรกๆยังปรับตัวไม่ค่อยได้เพราะสภาพสังคมต่างกันมาก (ต่างกันในที่นี้ไม่ได้ว่าที่ไหนดีกว่าที่ไหนนะครับ) คือเด็กนักเรียนมีเพียง 3-4 ห้อง เด็กเกเรใน รร.ก็ไม่ค่อยแสดงตัวหรือมามั่วสุมตามห้องน้ำเหมือน รร.เก่าที่ผมเคยอยู่ ห้องเรียนก็ไม่สามารถโดดไปไหนได้เพราะจำนวนเด็กน้อยห้องน้อย อีกอย่างไม่รู้ว่าจะโดดไปที่ไหนครับ เพราะโรงเรียนอยู่กลางป่า ทำให้ช่วงแรกๆที่ผมไปอยู่ค่อนข้างปรับตัวเป็นอย่างมาก แต่ก็เปลี่ยนไปอย่างนึงนะครับ คือ ผมไม่โดดเรียน 55555 แต่ก็ไม่เรียนหนังสืออีกเช่นเคย และ ยังเล่นยาเสพติดอยู่เหมือนเดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงช่วงม.5 เทอมแรกผมเริ่มสังเกตเพื่อนหลายๆคนที่เขาเรียนหนังสือว่าทำไมเขาถึงสามารถโฟกัสไปที่กระดาน โฟกัสไปที่อาจารย์ได้เป็นวันๆ แต่ทำไมเราถึงหลับได้ทุกวัน งานไม่ทำ หนังสือไม่อ่าน หลังจากนั้นผมก็เลยหันกลับมามองในสิ่งที่ตัวเองเป็นและมองกลับไปยังอดีตที่เคยได้สร้างวีกรรมไว้มากมายให้คนรอบข้างทั้งพ่อแม่ เพื่อน และ ครูบาอาจารย์เสียใจ ผมจึงเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา ตั้งแต่ความรู้สึกนั้นบังเกิดขึ้นในหัวผม ผมจึ
พยายามฝืนเปลี่ยนตัวเองลองกลับมาเรียนหนังสือ แรกๆก็เหนื่อยหน่อยเพราะตามเพื่อนไม่ทัน อีกอย่างวิชาแต่ละวิชามักจะอิงฐานความรู้ตอนมอต้นเป็นหลักซึ่งผมไม่มีเลยครับ ผมต้องมานั่งนับ 0 ใหม่เพราะช่วงมอต้นผมแทบจะไม่มีอะไรในหัวเลย แต่แล้วความพยายามผมก็เริ่มดีขึ้นมาเรื่อยๆ คะแนนสอบเก็บคะแนนจากแย่กลายเป็นดี จนในที่สุดจบม.5 เทอมหนึ่งผมได้เกรดเฉลี่ยนเป็นอับดับ 1 ของห้อง ผมดีใจมาก และช่วงนั้นเองทำให้ผมเริ่มเปิดใจรับเพื่อนสังคมอื่นๆมากขึ้นจากช่วงม.ต้นที่คบเฉพาะเพื่อนที่เกเรด้วยกัน กลายมาเป็นเริ่มมีเพื่อนทั้งที่เกเรด้วยกันและเรียนหนังสือด้วยกัน เอาแล้วครับชีวิตผมเริ่มเห็นทางสว่างขึ้นมานิดนึง แต่เรื่องยาก็ยังไม่เลิกนะครับเพียงแต่เพลาๆลงบ้าง และหลังจากนั้นผมเริ่มสังเกตแล้วว่าการมีเพื่อนในหลายๆสังคมมันดีต่อผม ผมเลยเริ่มที่จะมาจับกิจกรรม จากที่มอต้นไม่เคยยุ่งอะไรกับเขาเลย ช่วงนั้นเป็นช่วงกีฬาสี ผมเลยลองดูวะเป็นไงเป็นกันเข้าไปช่วยเพื่อนสักครั้งซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่เพื่อนยังมาไม่ครบครับเพราะเป็นช่วง รด.ผมเลยต้องนำเพื่อน นำน้องในการทำกิจกรรมต่างๆ แรกๆก็กดดันครับเพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ก็ตามภาษาแหละครับ ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆจนเริ่มสั่งสมประสบการณ์ ทำไปทำมาสุดท้ายผมได้เป็นประธานสีสีหนึ่งของ รร.ครับ เชื่อไหมว่าเด็กเคยเลวอย่างผมไม่เคยคิดจะทำอะไรแบบนี้เลย แต่มันก็ทำให้ผมลิ้มลองอะไรใหม่ๆอีกมากมาย ก็อย่างว่าแหละครับ การเรียนทำให้คนมีงานทำ แต่กิจกรรมทำให้คนทำงานเป็น และชีวิตผมก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อนดีๆมีมากขึ้นแต่เพื่อนที่อยู่ในประเภทเดียวกับผมผมก็ไม่ทิ้งนะ ยังคบอยู่เพราะผมถือว่าเราเคยผ่านอะไรด้วยกันมามากมันผูกพันธ์ครับ ผมไม่ใช่ประเภทที่เป็นวัวลืมตีน จนกระทั่งม.6 ผมเริ่มเล่นยาน้อยลงจากอาทิตย์วันละ 3-4 วันกลายเป็น เดือนละ 2-3 คร้งประกอบกับช่วงนั้นผมมีโลกส่วนตัวของผมอยู่สูง ไม่สนใจใครทั้งนั้นอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียวเพราะเป็นช่วงใกล้สอบเข้ามหาลัย ผมก็อ่านหามรุ่งหามค่ำทุกวันครับ จนกระทั่งวันหนึ่งมีการเลือกประธานนักเรียนขึ้นในโรงเรียน เพื่อนๆก็ให้ผมลงสมัคร ตอนแรกก็คิดในใจครับว่าหน้าอย่างผมใครมันจะเลือก แต่แล้วจู่ๆผลที่ออกมาจากการนับคะแนนเสียงผลที่ได้คือ พรรคของผมได้เป็นคณะกรรมการนักเรียน และตัวผมก็ได้ขึ้นมาเป็นประธานนักเรียน ตอนนั้นตกใจและกดดันมาก บวกกับดีใจที่มีคนเลือกเรา แต่หนักไปทางหนักใจมากกว่าเพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนอีกทั้งตอนนั้นคิดในใจว่าเราจะทำหน้าที่ตามสิ่งที่คนอื่นเลือกเรามาทำหน้าที่ได้หรือเปล่า เพราะในช่วงวัยแค่นั้นมันก็เป็นเรื่องที่ต้องแบ่งเวลาบวกกับมีความรับผิดชอบที่สูงอยู่พอสมควร แต่ท้ายที่สุดผมก็เรียนรู้กับมันไปเรื่อยๆครับ ผมนึกถึงแต่คำว่า "พยายามและสู้" เพราะถ้าตอนนั้นผมไม่สู้ ผมคงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ และในที่สุดช่วงเวลาที่เด็กม.6 หลายๆคนใจหายก็ได้มาถึง นั้นก็คือ เทอมสุดท้ายของชีวิตมัธยม และช่วงนี้เองผมก็หยุดการเล่นยาได้แล้วครับ เวลาผ่านไป 3-4 เดือน ผมแทบไม่ได้ยุ่งกับมันเลย เพราะทุกวันๆ ผมแทบจะไม่มีเวลาอยู่กับมันเลยเนื่องจากช่วงเช้าถึงเย็นเรียน กลางคืนเรียนพิเศษ กลับหอมาก็อ่านหนังสือ ตื่นเช้ามืดมาอ่านต่อ และทำอย่างนี้จนกลายเป็นกิจวัตรครับ ช่วงนั้นไม่ค่อยได้เล่นดนตรี แต่มีเล่นผ่อนคลายบ้างเล็กน้อยไม่ถึงกับจริงจังเหมือนเมื่อก่อน และท้ายที่สุดความพยายามของผมก็เป็นผล ช่วงก่อนจบม.6 ผมสอบติดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (บางเขน) และช่วงปิดเทอมม.6 ผมสามารถสอบตรง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ ซึ่งตอนนั้นเป็นสิ่งที่ผมหายเหนื่อยมากครับ ดีใจ ร้องไห้ กระโดดกอดแม่ เพราะผมสามารถพิสูจน์ตัวเองได้แล้วว่าผมทำได้ ผมสามารถหาแสงสว่างในความมืดของตัวเองเจอแล้ว ทุกอย่างตอนนั้นมันหายเหนื่อยเป็นปิดทิ้งกับความพยายามสองปีที่ทำมา มันดีใจจนพูดไม่ออกจริงๆ
และปัจจุบันตอนนี้ผมก็กำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสามารถเลิกยาเสพติดที่เคยลองได้ทั้งหมด (ยกเว้นบุหรี่นะครับ)

จากเรื่องที่เล่ามาไม่ได้ต้องการจะโอ้อวดแต่อย่างใดนะครับ แค่ผมอยากให้คนที่เคยเป็นเหมือนผมสามารถเปลี่ยนแบบผมได้ อยากให้เป็นตัวอย่างกับวัยรุ่นทุกคนที่กำลังหลงทาง และอยากจะให้เป็นบทเรียนกับคนที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แนะนำครับไม่ยุ่งได้ดีที่สุด เข้าใจว่าเกิดมาทั้งทีต้องลองกันบ้างแต่ของพวกนี้ถ้าใจไม่แข็งพอ มีครั้งที่หนึ่งก็ต้องมีครั้งที่สองอยู่แล้วครับ ทุกอย่างไม่มีคำว่าสายเกินไปในพจนานุกรมชีวิตครับ ใครที่ยังไม่เริ่มก็ลองดูนะครับ แรกๆอาจจะเหนื่อย แต่ผมยืนยันว่าผลลัพธ์ที่ได้มามันมีคุณค่ากับจิตใจเรามาก
เพราะยังไงบัวที่อยู่ใต้น้ำก็มีวันลอยอยู่เหนือน้ำได้

ขอบคุณที่ทนอ่านมาจนบรรทัดสุดท้ายครับ ยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่