เห็นช่วงนี้มีกระแสเรื่องรับน้องเรื่องการเข้าเชียร์เริ่มมาดังอีกครั้ง ก็เลยอยากจะขอแชร์ประสบการณ์คนที่เคยเดินเข้าไปขอตัดรุ่นกับรุ่นพี่เชียร์ด้วยตนเอง
มหาวิทยาลัยที่ผมเรียน อาจจะไม่ได้มีการรับน้องที่โหดหนักหนาสาหัสอะไรมาก แต่หลักๆก็เป็นการว๊าก การกดดัน ที่ยืนอยู่บนพื้นฐานของการเข้าเชียร์เหมือนมหาวิทยาลัยอื่นๆ
ตอนเข้าเรียนใหม่ๆ พอได้เข้าเชียร์ครั้งแรกแล้วไปโดนรุ่นพี่ว๊าก ก็ต้องบอกเลยว่ามันสร้างความไม่พอใจให้ผมค่อนข้างเยอะมาก ซึ่งในตอนนั้นผมยังรู้สึกว่าตอนผมเรียน รด. ผมยังมีความสุขกว่าการโดนรุ่นพี่ว๊ากหลายเท่า เพราะเหตุผลในการเข้าเชียร์กับการเรียน รด. มันต่างกันเหลือเกิน แถมเหตุผลสนับสนุนการกดดันของการเรียน รด. มันยังดูสมเหตุสมผลยิ่งกว่า
ยอมรับว่าก็ต้องฝืนใจพอสมควรในการเข้าเชียร์ ทั้งๆที่ใจไม่อยากจะเข้า เพราะทางรุ่นพี่ประกาศไว้ด้วยน้ำเสียงดุดัน แข็งขัน รุนแรงว่า "หากใครไม่เข้าเชียร์ จะโดน "ตัดรุ่น" "
ซึ่งบอกเลยว่า ณ เวลานั้น กลัวโดนตัดรุ่นมากๆ ไม่เข้าใจคำว่า "ตัดรุ่น" คืออะไร กลัวจะโดนกีดกัน กลัวโดนรังเกียจ
จนมีเหตุการณ์หนึ่ง ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า การเข้าเชียร์มันจะทำให้เพื่อนๆรักกันได้จริงๆเหรอ ผมได้รู้ว่าคนที่โดดเชียร์ จะทำให้เพื่อนที่นั่งข้างๆโดนทำโทษ แล้วที่ผมโดดเชียร์ ไม่อยากเข้าเชียร์ นั่นมันก็เป็นการสร้างความลำบากให้เพื่อนน่ะสิอย่างอย่างนั้น
ผมเลยตัดสินใจเดินไปหาพี่เชียร์วันนั้นเลยว่า "ผมขอไม่เข้าเชียร์อีกต่อไปครับ"
พี่เชียร์คนนั้นก็ตกใจพอสมควร แต่ก็พูดกับผมด้วยความสุภาพว่า "น้องตัดสินใจแล้วจริงๆเหรอ"
ผมยืนยันความตั้งใจเดิมไป และถามกับพี่เชียร์ว่า "ผมโดนตัดรุ่น มันส่งผลอะไรกับผมบ้าง"
คำตอบที่ได้รับ มันช่างทำให้ผมรู้สึกตลกพอสมควร การ "ตัดรุ่น" ที่ว่ามันส่งผลเพียงแค่ คุณจะไม่สามารถทำกิจกรรมเชียร์ใดๆได้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่เล็กน้อยมากจากความคิดเรื่องตัดรุ่นที่ถูกรุ่นพี่กระหน่ำกดดันตั้งแต่วันแรก
ผมยังได้คุยกับพี่เชียร์คนนั้นต่อไปว่า วิธีนี้มันจะได้ผลเหรอครับ มันจะช่วยสานสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องได้จริงหรอ
พี่เชียร์คนนั้นบอกว่า "น้องคะ คนเรามันก็ต้องมีวิธีใช้ไม้อ่อน ไม้แข็ง แถมอีกหน่อยเราก็ต้องเจอปัญหากดดันมากกว่านี้"
ผมก็พยายามจะเถียงรุ่นพี่ด้วยเหตุผลไปต่างๆนาๆ ซึ่งรุ่นพี่คนนั้นก็ได้จดบันทึกคำพูดของผมไว้ ซึ่ง ณ เวลานี้ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดไปมันจะเป็นแค่น้ำหมึกที่เปื้อนบนกระดาษ หรือพี่คนนั้นจะเอาคำพูดของผมไปถกเถียงกันเรื่องความถูกต้องด้วยเหตุแลผล
หลังจากการขอตัดรุ่น ชีวิตก็ไม่ได้แย่อะไรนัก พอพี่ว๊ากวิ่งเข้ามาแล้วเค้ารู้ว่าเราตัดรุ่นไปแล้ว เค้าก็ขอโทษและพูดกับเราดีๆ
น่าแปลกนะครับ ที่ผมกลับชอบพี่ว๊ากมากกขึ้นกว่าเดิม และน่านับถือมากกว่าตอนพี่มาตะโกนอัดหน้าผมซะอย่างนั้น
ชีวิตในมหาวิทยาลัยของผมก็สุขสบายดี มีเพื่อน มีฝูง
แต่ถามว่ามันส่งผลอะไรไหม มันส่งผลบ้าง ไม่ต่างจากการเมือง
เพื่อนบางคนที่รักเชียร์เข้าเส้นเลือด มักจะดูถูกดูแคลนคนที่ไม่เข้าเชียร์ และต่อให้ทั้งสองฝั่งจะเอาเหตุผลไหนมาสู้กัน มันก็ไม่มีคำตอบที่น่าพึงพอใจสำหรับทั้งสองฝั่งอยู่ดี
สุดท้าย ในแง่ของการเชียร์หากมองว่าให้มีประโยชน์มันก็มีประโยชน์หากคุณตั้งเป็นชมรม ให้คนเข้าตามสมัครใจ
หรือถ้าคุณอยากจะให้เด็กรักกัน เป็นเพื่อนกัน ก็หากิจกรรมที่มันสร้างสรรค์ จะกดดันบ้างก็ได้ แต่ก็ต้องยืนอยู่เหตุและผล ไม่ใช่เอะอะก็ใช้ตะคอกลูกเดียว
ประสบการณ์จากคนที่ขอตัดรุ่นจากการเข้าเชียร์
มหาวิทยาลัยที่ผมเรียน อาจจะไม่ได้มีการรับน้องที่โหดหนักหนาสาหัสอะไรมาก แต่หลักๆก็เป็นการว๊าก การกดดัน ที่ยืนอยู่บนพื้นฐานของการเข้าเชียร์เหมือนมหาวิทยาลัยอื่นๆ
ตอนเข้าเรียนใหม่ๆ พอได้เข้าเชียร์ครั้งแรกแล้วไปโดนรุ่นพี่ว๊าก ก็ต้องบอกเลยว่ามันสร้างความไม่พอใจให้ผมค่อนข้างเยอะมาก ซึ่งในตอนนั้นผมยังรู้สึกว่าตอนผมเรียน รด. ผมยังมีความสุขกว่าการโดนรุ่นพี่ว๊ากหลายเท่า เพราะเหตุผลในการเข้าเชียร์กับการเรียน รด. มันต่างกันเหลือเกิน แถมเหตุผลสนับสนุนการกดดันของการเรียน รด. มันยังดูสมเหตุสมผลยิ่งกว่า
ยอมรับว่าก็ต้องฝืนใจพอสมควรในการเข้าเชียร์ ทั้งๆที่ใจไม่อยากจะเข้า เพราะทางรุ่นพี่ประกาศไว้ด้วยน้ำเสียงดุดัน แข็งขัน รุนแรงว่า "หากใครไม่เข้าเชียร์ จะโดน "ตัดรุ่น" "
ซึ่งบอกเลยว่า ณ เวลานั้น กลัวโดนตัดรุ่นมากๆ ไม่เข้าใจคำว่า "ตัดรุ่น" คืออะไร กลัวจะโดนกีดกัน กลัวโดนรังเกียจ
จนมีเหตุการณ์หนึ่ง ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า การเข้าเชียร์มันจะทำให้เพื่อนๆรักกันได้จริงๆเหรอ ผมได้รู้ว่าคนที่โดดเชียร์ จะทำให้เพื่อนที่นั่งข้างๆโดนทำโทษ แล้วที่ผมโดดเชียร์ ไม่อยากเข้าเชียร์ นั่นมันก็เป็นการสร้างความลำบากให้เพื่อนน่ะสิอย่างอย่างนั้น
ผมเลยตัดสินใจเดินไปหาพี่เชียร์วันนั้นเลยว่า "ผมขอไม่เข้าเชียร์อีกต่อไปครับ"
พี่เชียร์คนนั้นก็ตกใจพอสมควร แต่ก็พูดกับผมด้วยความสุภาพว่า "น้องตัดสินใจแล้วจริงๆเหรอ"
ผมยืนยันความตั้งใจเดิมไป และถามกับพี่เชียร์ว่า "ผมโดนตัดรุ่น มันส่งผลอะไรกับผมบ้าง"
คำตอบที่ได้รับ มันช่างทำให้ผมรู้สึกตลกพอสมควร การ "ตัดรุ่น" ที่ว่ามันส่งผลเพียงแค่ คุณจะไม่สามารถทำกิจกรรมเชียร์ใดๆได้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่เล็กน้อยมากจากความคิดเรื่องตัดรุ่นที่ถูกรุ่นพี่กระหน่ำกดดันตั้งแต่วันแรก
ผมยังได้คุยกับพี่เชียร์คนนั้นต่อไปว่า วิธีนี้มันจะได้ผลเหรอครับ มันจะช่วยสานสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องได้จริงหรอ
พี่เชียร์คนนั้นบอกว่า "น้องคะ คนเรามันก็ต้องมีวิธีใช้ไม้อ่อน ไม้แข็ง แถมอีกหน่อยเราก็ต้องเจอปัญหากดดันมากกว่านี้"
ผมก็พยายามจะเถียงรุ่นพี่ด้วยเหตุผลไปต่างๆนาๆ ซึ่งรุ่นพี่คนนั้นก็ได้จดบันทึกคำพูดของผมไว้ ซึ่ง ณ เวลานี้ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดไปมันจะเป็นแค่น้ำหมึกที่เปื้อนบนกระดาษ หรือพี่คนนั้นจะเอาคำพูดของผมไปถกเถียงกันเรื่องความถูกต้องด้วยเหตุแลผล
หลังจากการขอตัดรุ่น ชีวิตก็ไม่ได้แย่อะไรนัก พอพี่ว๊ากวิ่งเข้ามาแล้วเค้ารู้ว่าเราตัดรุ่นไปแล้ว เค้าก็ขอโทษและพูดกับเราดีๆ
น่าแปลกนะครับ ที่ผมกลับชอบพี่ว๊ากมากกขึ้นกว่าเดิม และน่านับถือมากกว่าตอนพี่มาตะโกนอัดหน้าผมซะอย่างนั้น
ชีวิตในมหาวิทยาลัยของผมก็สุขสบายดี มีเพื่อน มีฝูง
แต่ถามว่ามันส่งผลอะไรไหม มันส่งผลบ้าง ไม่ต่างจากการเมือง
เพื่อนบางคนที่รักเชียร์เข้าเส้นเลือด มักจะดูถูกดูแคลนคนที่ไม่เข้าเชียร์ และต่อให้ทั้งสองฝั่งจะเอาเหตุผลไหนมาสู้กัน มันก็ไม่มีคำตอบที่น่าพึงพอใจสำหรับทั้งสองฝั่งอยู่ดี
สุดท้าย ในแง่ของการเชียร์หากมองว่าให้มีประโยชน์มันก็มีประโยชน์หากคุณตั้งเป็นชมรม ให้คนเข้าตามสมัครใจ
หรือถ้าคุณอยากจะให้เด็กรักกัน เป็นเพื่อนกัน ก็หากิจกรรมที่มันสร้างสรรค์ จะกดดันบ้างก็ได้ แต่ก็ต้องยืนอยู่เหตุและผล ไม่ใช่เอะอะก็ใช้ตะคอกลูกเดียว