Sideways - จุดหมายปลายทางหรือจะสำคัญเท่ากับเรื่องราวระหว่างทาง

นี่คือรอบที่ 3 ที่ผมได้ดูหนังเรื่อง Sideways ในครั้งแรกที่ผมดูหนังเรื่องนี้ ผมดูในโรงภาพยนตร์ ขณะที่ผมอายุประมาณ 20 ปี และซื้อแผ่นมาดูอีกรอบเป็นครั้งที่ 2 ตอนอายุประมาณ 26-27 ปี และครั้งนี้รอบที่ 3 กับวัย 30 ต้นๆ แม้ทั้งสองรอบแรกที่ดู ผมจะชื่นชอบหนังเรื่องนี้มาตลอด แต่การดูรอบนี้ เป็นรอบที่ผมเข้าถึงความรู้สึกของตัวละครมากที่สุด

มันคงอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม กับช่วงชีวิตที่รู้สึกว่าชีวิตไม่มีเป้าหมาย ไม่มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต เป็นช่วงเวลาที่เรานึกถึงหนังเรื่องนี้ขึ้นมา นึกถึงตัวละครอย่าง Miles ที่เราอยากจะเข้าไปสัมผัสหนังเรื่องนี้อีกครั้ง

Sideways คือ หนังที่ผมชอบมากที่สุดในชีวิต 3 อันดับแรก (อีก 2 เรื่อง คือ Her กับ Boyhood) ซึ่งการดู Sideways ในรอบนี้ ยิ่งทำให้ผมชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นไปอีก Sideways คงเหมือนกับ Wine ที่ยิ่งเก็บไว้นาน คุณค่ายิ่งเพิ่มมากขึ้น

หนังใช้วิธีการเล่าเรื่องที่แสนธรรมดา เล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา ดำเนินเรื่องใน 7 วัน แต่ด้วยความธรรมดา กลับแฝงความเป็นธรรมชาติไว้สุดๆ จังหวะในหนังลงตัวสุดๆ มันไม่ได้ราบเรียบเป็นเส้นตรง แต่มันก็ไม่ได้กระชากความรู้สึกแบบสุดโต่ง มันเป็นชีวิตธรรมชาติจริงๆ

ดนตรีประกอบ ที่เมื่อ 2 รอบแรกที่ดู ผมไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่มารอบนี้ผมรู้สึกได้เลยว่า ดนตรีประกอบในเรื่องส่งเราไปตามอารมณ์ที่หนังต้องการให้เป็น

การแสดงของ 4 นักแสดงนำ คือจุดที่ทำให้หนังที่พร็อตแสนธรรมดาเรื่องนี้ มีเสน่ห์ขึ้นถึงขีดสุด มันดูกลมกล่อมลงตัวไปทุกฉาก ถึงขนาดที่ผมยกย่องหนังเรื่องนี้ว่า มีพาร์ทการแสดงที่ดีที่สุดในหนังทุกเรื่องที่ผมดูมา โดยเฉพาะ Paul Giamatti ที่เล่นได้ธรรมชาติที่สุด เค้าเป็น Miles ตั้งแต่ฉากแรกจนฉากสุดท้าย เค้าสื่อสารตลอดเวลา เราไม่รู้สึกขัดกับการกระทำของตัวละครนี้เลย ฉากแสดงอารมณ์หนัก 2-3 ฉาก ทำได้ถึงอารมณ์มาก ทั้งฉากที่เค้ารู้ว่าอดีตภรรยาของเค้าแต่งงานใหม่แล้ว และฉากที่ทราบว่า หนังสือของเค้าถูกปฏิเสธการตีพิมพ์ เค้าปล่อยพลังได้ถึงจริงๆ

และมีฉากธรรมดาๆอีกหลายๆฉากที่ Paul ทำได้ดีมาก ทั้งฉากที่เมาแล้วโทรหาอดีตภรรยา ฉากคุยเรื่อง Wine กับ Maya ฉากที่คุยกับอดีตภรรยาที่งานแต่ง มันมีอารมณ์อยู่ในการแสดงทุกๆฉาก ผมประทับใจมากๆ

บทภาพยนตร์ คือ สิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ (ผมเพิ่งรู้ว่า หนังเรื่องนี้ได้รางวัล Adapted Screenplay บนเวที Oscar ด้วย) ด้วยพร็อตเรื่องที่แสนธรรมดาแบบนี้ จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องได้บทแข็งแรงมาช่วย ซึ่ง Alexander Payne และ Jim Taylor ก็ทำได้อย่างไรที่ติ หนังเล่าเรื่องที่เป็นธรรมชาติ การกระทำของตัวละครที่สมเหตุสมผล ตัวละครมีที่มาที่ไป มีมิติ และดำเนินเรื่องได้สนุกมากๆ บทของตัวละครมีพัฒนาการไปข้างหน้า ขณะเดียวกัน ก็ยังยึดแบ็คกราวน์ตัวละครได้อย่างเข้มแข็ง รวมไปถึงภาพรวมที่บทยังสื่อสารประเด็นของหนังได้อย่างมั่นคง

ที่เขียนมาทั้งหมด มีแต่มุมที่ผมชื่นชมหนังเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะตัวผมเอง กับตัวละครหลักอย่าง Miles มีสิ่งที่คล้ายคลึงกันมากๆ Miles เป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง ยึดติดกับอดีต มักทำอะไรอยู่ในกรอบสังคม (ตรงข้ามกับตัวละครอย่าง Jack ที่ไม่ค่อยแคร์สังคมเท่าไหร่) เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย เนื่องจากไม่มั่นใจในตัวเองแหละ รู้สึกไม่มีเป้าหมาย รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว ไม่ประสบความสำเร็จ มันเลยอาจทำให้ผม connect กับหนังเรื่องนี้ได้ง่ายดาย

วิกฤตวัยกลางคน ผมไม่แน่ใจว่าทุกคนจะต้องผ่านสิ่งนี้หรือไม่ แต่สำหรับผม เหมือนว่ากำลังเผชิญช่วงเวลานี้เข้าอย่างจัง เพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคนมีครอบครัวไปแล้ว หรือคนที่ยังโสด ก็ดูขยันทำงาน ดูมีเป้าหมายในชีวิตกันหมด ขณะที่ผม แม้จะมีงานทำที่โอเค แต่ผมไม่มีเป้าหมายในชีวิต ไม่รู้ว่าทำงานไปเพื่ออะไร เกิดคำถามว่าผมทำงานเพื่อเงินไปเพื่ออะไร ในเมื่อเงินมันไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขเพิ่มขึ้นตามจำนวนเงินที่มันเพิ่มมากขึ้นเลย

Miles ประสบปัญหาชีวิตคู่ หย่าร้างกับภรรยา และ Miles ยังจมปลักกับอดีตอยู่ ไม่ยอมเปิดใจให้ใครใหม่ มีอาชีพเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ แต่สิ่งที่เค้าชื่นชอบจริงๆในชีวิต คือ การเขียนหนังสือ และการดื่มไวน์ แต่เค้าก็ไม่สามารถเขียนหนังสือเพื่อตีพิมพ์ได้ หรือการจะหาใครซักคนเพื่อพูดคุยเรื่องไวน์ที่เค้าชอบ ก็ไม่มี

"แต่การเดินทาง มักพาเราไปพบเจอสิ่งใหม่ๆและประสบการณ์ใหม่ๆเสมอ" Miles จึง ได้มีโอกาสพบเจอคนที่เคยรู้จักกันอย่าง Maya ซึ่งในช่วงแรก Miles ยังคงปิดตัวและไม่มั่นใจในตัวเอง จนได้เพื่อนอย่าง Jack ที่เป็นคนไม่คิดอะไรมากกับชีวิต คอยช่วยเหลือ จน Miles เริ่มที่จะเปิดตัวเองมากขึ้น

"แค่เริ่มเปิดใจ ก็จะได้พบสิ่งใหม่ๆได้เสมอ" เพียงครั้งแรกบนโต๊ะอาหาร Miles พูดคุยกับ Maya เรื่องไวน์ได้อย่างถูกคอ มีการแลกเปลี่ยนทรรศนะกันอย่างน่าสนใจ ต่อเนื่องไปถึงการได้พูดคุยกันเรื่องไวน์ที่บ้านของ Stephanie การพูดคุยในเรื่องที่เค้าสนใจ ทำให้ Miles กล้าที่จะพูดความคิดเห็นตัวเองมากขึ้น และกับ Maya ที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่า สนใจในสิ่งที่ Miles พูด

Miles พูดถึงเหตุผลที่เค้าชอบไวน์ Pinot Nior ซึ่งน่าสนใจมากที่ Miles แทบจะไม่ได้พูดถึงรสชาติของมันเลย เค้าพูดถึงว่ามันเป็นองุ่นที่ปลูกได้ยาก เปลือกบาง มันไม่ได้อยู่รอดได้ง่ายเหมือน Cabernet ที่แม้คนปลูกจะละเลยก็ตาม แต่สำหรับ Pinot มันต้องการการดูแล เอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ และคนที่จะดึงเอาศักยภาพของ Pinot ออกมาได้อย่างเต็มที่ จะต้องมีเวลาให้กับมันอย่างเต็มที่
นี่ Miles กำลังพูดถึง Pinot หรือตัวเค้าเองกันแน่?

Miles บอกว่า เค้าเก็บไวน์ที่เค้าชอบที่สุด ไว้เพื่อเปิดในโอกาสพิเศษในชีวิต (ถ้าผมจำไม่ผิด คือ เมอดอค ปี 61) แต่ Maya กลับตอบกลับด้วยประโยคน่าคิดว่า "โอกาสพิเศษ ก็คือตอนที่จุกขวดถูกเปิดนั่นแหละ"

ท้ายเรื่อง Miles นั่งทานอาหารในร้าน Fast Food ที่แสนธรรมดา แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ Miles เปิดไวน์เมอดอคขวดนั้นแล้ว Miles ไม่ได้รอคอยโอกาสพิเศษในชีวิตอีกแล้ว เพราะ Miles รู้ว่าโอกาสพิเศษจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อเราเปิดขวดและเปิดใจ

แม้ชีวิตของ Miles จะยังเหมือนเดิม ไม่ได้ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในชีวิตอะไร แต่เพียงแค่ ณ ตอนนี้ Miles ได้เจอใครซักคน ที่สามารถพูดคุยกันได้อย่างสบายใจ สามารถแสดงความคิดเห็นเรื่องต่างๆได้อย่างเปิดเผย สามารถนั่งดื่มไวน์ด้วยกัน พูดคุยเรื่องไวน์กันได้อย่างถูกคอและการได้พบเจอใครบางคนที่อ่านหนังสือของเขาอย่างตั้งใจ แค่นั้นก็อาจเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษในชีวิตแล้ว

"ในทุกๆการเดินทาง จุดหมายปลายทางหรือจะสำคัญเท่ากับเรื่องราวระหว่างทาง"

https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่