
• เกริ่นกันซักนิด นี่เป็นกระทู้ภาคต่อของ มหากาพย์รีวิวเที่ยว Bromo ต่อ Kawah Ijen ทะลุ บาหลี +
Tanah lot ฉบับ Walter Mitty LOW COST!
คลิกแวะชมกันได้ตรงนี้ครับ ->
http://pantip.com/topic/33727156
*คำเตือน* : การแวะไปอ่านภาค 1 ก่อน ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรแก่ท่านเลย
นอกจากความบันเทิงล้วนๆ สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลการเดินทางกรุณาติดต่อ
https://www.facebook.com/singpaitour
ขอบพระคุณค่ะ (เสียงแบบโอเปอเรเตอร์)
• คือภาคแรกว่าทรหดแล้ว ภาคสองนี่ทรหดยิ่งกว่า…
หนทางอันราบเรียบ ก็อาจทำให้เราเสียเหงื่อได้อยู่ดี
• เอาล่ะ จะเข้าเรื่องละนะฮะ...นึง...ซ่อง...ซ้ามมมมม ไป กัน เล้ยยยย!

• หลังจากเราสะบักสะบอมกับการลางสังขารลงเขา Kawah Ijen
พวกเราก็ตกลงกันว่า ทริปนี้ไม่เอาอะไรลุยๆ แล้วนะ ขอเลยขอ ใครชวนทำอะไรผาดโผนอีกโดนตบ
• ดังนั้นแพลนคร่าวๆ ของพวกเราจึงเป็นดังนี้ฮะ
นั่งเรือข้ามฝากไปบาหลี -> ชมพระอาทิตย์ตก -> หาอาหารอะไรอร่อยๆ กิน -> เดินเล่นชายหาด ->
หาร้านชิคๆ กิน -> ชมศิลปะพื้นเมือง -> หาอาหารพื้นเมืองกิน -> ชมนาขั้นบันได -> ชิมกาแฟชมด
-> ซื้อของฝากเกร๋วๆ -> นั่งแอร์อซ.กลับบ้าน เย้ว์!
• จะเห็นว่าหลักๆ แล้วครึ่งหลังพวกเราคือ สายแดรกนะครับ
• เอาจริงๆ ก็สายนี้ตั้งแต่แรก แต่ตอนอยู่ที่ Bromo กับ Ijen อาหารนี่ค่อนข้างแร้นแค้นมาก
ข้าวผัดโรงแรมเป็นอะไรโหดร้าย แห้ง เย็น ไร้เนื้อสัตว์และโปรตีนใดๆ
• เอ้า อย่าไปบ่นไปเสียเวลา กลับมาที่บาหลีกันต่อดีกว่าฮะ
• ระหว่างทางนั่งเรือข้ามไปบาหลีเป็นอะไรที่โรแมนติกใช้ได้
เราจะสามารถพบเห็นหนุ่มสาวนักท่องเที่ยวนั่งกันเป็นคู่ๆ
• เมื่อเรามาถึงท่าเรือที่บาหลี...ให้นึกภาพท่าเรือที่เกาะเสม็ด ทรงนั้นเลยฮะ
ของกินนี่คือบั่บ..แทบไม่มีอะไรให้กินเลย มีแค่น้ำอัดลม และขนมก๊อบแก๊บนิดหน่อย
• เห็นท่าว่าคงหาอะไรกินแถวนี้ไม่ได้...พวกเรารีบเรียกแท็กซี่ไปที่โรงแรมเลย
• แท็กซี่ที่บาหลีมีความวินเทจอยู่ในตัว คือรถเค้าเก่าประมาณนึงเลย
• การคุยกับพี่แท็กซี่ทำให้พบว่า โรงแรมเราอยู่โคตรจะไกลจากท่าเรือ คือ
อยู่อีกฝั่งนึงของเกาะ ต้องนั่งรถแท็กซี่ต่อไปอีกประมาณเกือบๆ 3 ชั่วโมง!!!
• นั่นมัน กรุงเทพ-ระยอง เลยนะเฟ้ยยย
• กระเพาะของคนทั้งสี่ส่งเสียงร้องโอดครวญพร้อมเพรียงกัน
• พี่คนขับคงได้ยินเสียงวิงวอนแกมโหยหวนนั้น, ระหว่างทางเลยแวะให้เรากินร้านอาหารข้างทาง
อารมณ์ประมาณแม่กิมไล้บ้านเรา
• อาหารทุกอย่างรสชาติค่อนข้างดี โดยเฉพาะหมี่โกเร็งนี่คือสุดฮะ
เป็นอาหารท้องถิ่นแบบเยี่ยมไปเลย
• กว่าจะถึงโรงแรม ฟ้าก็มืด กว่าพวกเราจะเก็บกระเป๋าข้าวของ
แล้วเดินออกไปหาของกินร้านก็ปิดเกือบหมด…
• สุดท้ายมื้อแรกของเราคือ minimart ใน Monkey Forest Street...ลูซเซอร์สิ้นดี
• รุ่งขึ้นพวกเราได้รับประทานอาหารเช้าแบบมีอารยะ
• โรงแรมให้เลือกได้ว่าจะเอาไข่ดาว ไข่เจียว ไข่คน ไข่เบเนดิกซ์
• ด้วยความกระแดะก็กินเบเนดิกซ์กันทั้งโต๊ะ

• วันนี้พวกเราตั้งใจไว้ว่า จะไปแวนซ์รอบเกาะกัน
• รอบเกาะที่ว่าก็ไม่ได้ไปไหนไกล เริ่มแถวๆ ถนนลิงป่า ก่อนเลย
• ถนนเส้นนี้จะวิ่ง One way วนเป็นวงกลม มีซอยตัดผ่ากลางให้ลัดไป
• เรียกว่าถ้าเด๋อขับเลยไปก็ไม่ต้องไปวนรอบใหญ่ สะดวกแก่การแว๊นซ์มากครัช
• การเดินทางครั้งนี้เราได้รับแผนที่กระดาษจากโรงแรมมาครับ
• ในแผนที่จะระบุสถานที่น่าแวะชม, ร้านอาหาร, แหล่งซื้อของ, สปา, บลา บลา บลา…
• พวกเราเริ่มต้นเกร๋วๆ กันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งชื่อ ARAK COFFEE
• เหตุผลไม่ใช่เพราะว่ากลิ่นกาแฟมันหอม ชื่อมันเป็น Top List หรืออะไร
• แค่ขับมอไซค์กันได้ไม่ไกล ห่าฝนก็กระหน่ำตก จั่กๆๆๆ!! จั่กๆๆๆ!! ทำให้เราต้องจอดพัก

• ฝนที่นี่ อีกนิดก็ลูกเห็บแล้วฮะ กัดเจ็บมาก เม็ดใหญ่เท่าหัวแม่โป้งได้มั้งเนี่ยยยย (เปรียบเปรยนะฮะ)
• แต่กระนั้นก็ตาม ARAK COFFEE ก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวัง ผมลองสั่งลาเต้ชะมดมาหนึ่งแก้วถ้วน
• โอ้ววว หอมมม กลมกล่อมมม ถาม Barista ว่านี่พันธ์อะไรครับ?,
ชวนคุยเหมือนมีความรู้เรื่องกาแฟ
• แต่จริงๆ ไม่มีนะฮะ
• Barista ตอบว่า ก็พันธ์พื้นๆ ของที่นี่อ่ะ (เอาจริงๆ เค้าพูดชื่อพันธ์มาครับ แต่ผมจำไม่ได้จิงๆ)
ถ้าอยากกินอร่อยกว่านี้ หอมกว่านี้ ให้ไปที่ฟาร์มชะมดเลย
• ทันใดนั้น จุดหมายต่อไปของพวกเราคือฟาร์มชะมดทันที
• ตัดภาพมาที่ฟาร์ม, เอาจริงๆ มันก็ไม่เชิงจะเป็นฟาร์มซักเท่าไหร่นะฮะ
• ดูเหมือนเป็นสวนต้นไม้เยอะๆ ในบ้านเพื่อนมากกว่า
• แล้วก็มีกรงชะมดบ้างประปรายสองสามกรง…
• ในใจตอนนั้นคิดว่า เฮ้อ...นี่โดนหลอกมาดูชะมดผีสินะ...ร้างไม่มีซักตัว
• คิดดังไปหน่อยมั้ง เจ้าชะมดน้อย ก็ค่อยๆ คลายดึ๊บๆ ออกมาจากขอนไม้
• อารมณ์แบบมารายงานตัวยืนยันว่า ที่นี่มีชะมดจริงๆ นะเฟ้ยไม่ได้หลอกลวงนะ
• กาแฟที่พวกเจ้ากำลังจะกิน ก็มาจากขี้ของข้านี่แหละ!
• ผมคิดว่าชะมดมันกำลังสื่อสารแบบนั้นอยู่นะฮะ
• ก่อนจะถึงการชิมกาแฟ จะมีพนักงานของฟาร์ม แนะนำพันธ์พืชชนิดต่างๆ
• เหมือนจะบิ้วด์อารมณ์เราให้อินอ่ะคับว่า ชะมดมันกินพืชพันธ์นั้นพันธ์นี้นะ
กลิ่นกาแฟมันจะออกมาแบบหอมดอกไม้อ่อนๆ นะ
• กำลังถูกบิ้วด์เพลินๆ พนักงานก็พาพวกเรามานั่งที่โต๊ะ แล้วเสิร์ฟชา+กาแฟ 12
แก้วรวดให้เราได้ดื่มด่ำ…

• กาแฟชะมด ชาตะไคร้ใส่อบเชย ชาข้าวใบหม่อน กาแฟนมผสมขิง ม็อคค่าผสมโสม
• บำรุงกันไม่รู้จะบำรุงยังไงเลยฮะ
• ระหว่างที่เราชิม ข้างๆ จะมีคุณยายนั่งคั่วกาแฟกันสดๆ
กลิ่นหอมค่อดแม่โชยมาบิ้วด์กันอีกดอก

• ดูแบบออเธนทิกมากๆ
• ขณะที่เราถูกบิ้วด์แบบกำลังจะถึงจุดสุดยอดแห่งโลกกาแฟ
• เดินเลยคุณยายออกมาอีกนิด นั่นไง...ชัดเลย
• ร้านขายกาแฟทั้งหมดทั้งปวงที่เราเพิ่งดื่มด่ำกันไปตะกี้นี้
• เอ้าจะรออะไรกันล่ะฮะ มีพ่อฝากพ่อ มีแม่ฝากแม่ มีแฟนฝากแฟน
• รู้สึกตัวอีกที ผมซื้อฝากแม่มเกือบหมดตัว…
• พวกจิตอ่อน, เช่นผมเอง, ข้ามการชิมกาแฟไปได้นะฮะ
• ทุกวันนี้กลับมา ไอ่กาแฟพวกนั้นยังอยู่ในกล่องเหมือนเดิมเลยครับ

• หลังจากชิมกาแฟจนตาเต่งไปแล้ว พวกเราก็พร้อมไปชมอะไรที่มันค่อนข้างจะเอ็กโซติก
• สถานที่แห่งนั้นคือวัด Tirta Empul Temple ฮะ
• ประวัติศาสตร์ต่างๆ wiki เค้าเขียนไว้ดีแล้ว ผมจะขออนุญาติไม่กล่าวถึง
เอาเป็นว่าจะพาไปชมด้วยอารมณ์ล้วนๆ ละกันนะฮะ
• ที่วัดนี้จะมีบ่อน้ำ ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นบ่อน้ำศักธิ์สิทธิ์ของเค้า
• น้ำในบ่อเป็นสีเขียวมรกต งดงามยิ่งนัก แถมยังมีปลาคาร์ฟสีต่างๆ ตัดกันสวยงาม
• และยังมี...เฮ้ย! แม่เจ้า มีคนลงไปอาบน้ำเต็มบ่อเลยจ้าาาาาา
• คนอินโด คนจีน ฝรั่ง แขก ยุ่น ทุกชาติอ่ะ ย้ำว่าทุกชาติ มาอาบน้ำสักการะบูชา
นัยว่าชำระล้างจิตใจอะไรประมาณนั้น
• พ่ออาบให้ลูก ผัวอาบให้เมีย ใครมาคนเดียวก็อาบให้ตัวเอง
• ผมไม่ได้เตรียมการมา แม้จะอยากแช่น้ำบ้าง แต่เดี๋ยวไม่มีชุดใส่กลับ
ได้เพียงเก็บภาพประทับใจเหล่านั้นไว้
• หลังจากเดินชมวัดกันไปสักพัก ทางเดินจะพาเราวนสู่วังวนแห่งตลาดนัดของฝาก
• ดงนี้นี่ต้องการของพื้นเมืองชนิดไหน เรียกได้ว่าจัดเต็มมาเลย
• กบไม้แกะสลัก, รองเท้าแตะสานๆ, ภาพวาด, เครื่องเงิน, ตุ๊กตาไม้, เสื้อผ้าบาติก
• อย่างหลังนี่ดูจะได้รับความนิยมจากราชวงศ์อังกฤษด้วยฮะ
• เวลาเริ่มจะบ่ายๆ พวกเราทั้งสี่รีบค้นหาร้านสำหรับมื้อเย็น
• ด้วยความที่อยากกินอะไรหนักๆ จึงไปที่ร้าน NAUGHTY NURIS
• ร้านนี้ค่อนข้างจะโด่งดังเรื่องซี่โครงหมูย่างเตาสไตล์บาหลี
• เอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าสไตล์บาหลีมันเป็นยังไง
• รู้แค่ว่าร้านมันอยู่แถว Ubud เลย Monkey Forest Street ไปหน่อย
ซึ่งเป็นร้านที่ไม่มีทางขับหลง ขับเลย หรือหาไม่เจอแน่นอน
• เพราะกลิ่นย่างหมูมันลอยทะลวงรูจมูกไปไกลเป็นโลๆ
• ความอร่อยแทบไม่ต้องบรรยายกันเลยฮะ เอาง่ายๆ แค่ยืนต่อคิวร้านก็ล่อไปเกือบชั่วโมง
• Trip Advisor ก็ให้ตั้ง 4 ดาว ทั้งๆ ที่ร้านก็เป็นร้านเล็กๆ ประมาณตึกคูหาครึ่ง
คะเนด้วยสายตามีประมาณสิบกว่าโต๊ะ
• เต็มทุกโต๊ะ!
• ซี่โครงหมูย่างเป็นอะไรที่ต้องสั่ง ย้ำ เป็นอะไรที่ต้องสั่ง ย้ำ อีกครั้งฮะ
• ใครคิดว่า เฮ้ย...คงไม่เท่าไหร่มั้ง...ขอย้ำอีกที สั่งเถอะครับ
• เมนูอื่นๆ ก็สั่งได้ตามสะดวก อยู่ในระดับอร่อยมาก เช่น ไก่สะเต๊ะสไตล์บาหลี,
Seafood จานร้อน, ไส้กรอก, เบอร์เกอร์หมู+เบคอนกริลล์
และซี่โครงหมู่ย่างนี่คือเด็ด...อ๊ะ! พูดไปแล้วนี่น่า...อยากให้ลองจริงๆฮะ
• ไม่ผิดหวังแน่นอน ขนาดพวกผมสี่คน คืนถัดไปยังต้องกลับไปเบิ้ลร้านนี้ซ้ำอีกรอบ!
• รุ่งขึ้นพวกเราเริ่มหมดมุก คิดไม่ออกว่าจะไปแวนซ์ไหนดี
• เลยลองหันหน้าที่พึ่งอันศักดิ์สิทธิ์...เค้าคือคนขับรถของโรงแรมครับ
• ถามไปถามมาได้ความว่าให้พี่เค้าขับรถพาเที่ยวเลยดีกว่า เน้นๆ ไปเลยวันนี้ไม่คิดแล้ว
• แต่แอบบอกไปว่าพวกผ้าบาติกอะไรนี่ข้ามได้นะคับ
• ตัดภาพไป พวกเราไปโผล่กันที่นาขั้นบันได

• บางคนอาจจะบอกว่า อ่ะโห ไรว๊าาาา ทัวร์ริสต์สุดๆ อ้ะ
• จริง ยอมรับฮะ แต่บางครั้งเราก็มีอารมณ์บั่บ...อยากชมกิจกรรมกสิกรรมของเค้า
อยากจะเหล่สาวชาวไรบาหลีบ้าง
• หลังจากพบสาวชาวไร่ ผมไม่แน่ใจว่าทุเรียนหรือ เธอหง่อมกว่ากัน
• ประเทศนี้รุ่มรวยเทือกเขามากครับ
• พวกเราจึงได้มีโอกาสรับประทานอาหารเที่ยงกันท่ามกลางวิวภูเขายักษ์ใหญ่
• ร้านอาหารที่นี่มีวิธีเลือกทำเลคือ ตรงไหนก็ได้ที่มองเห็นวิวสวยๆ
• ดังนั้นพอพี่คนขับรถขับพาเรามาใกล้ๆ เนินเขา เราจะเห็นร้านอาหารเรียงต่อกันเป็นแผง
• อารมณ์แบบบ้านเราร้านซีฟู้ดต้องติดทะเล บาหลีร้านบุฟเฟต์ต้องติดภูเขาอ่ะฮะ
• บุฟเฟต์! ใช่ครับ บุฟเฟต์อาหารอินโด
• ผ่านมา 3 วันกินแต่อาหารในปริมาณจำกัด
• ตามจำนวนตังค์ที่มีจำกัดนั่นแหล่ะฮะ
• มื้อนี้เลยซัดกันเต็มข้อเลย แม้อาหารมันจะพื้นๆ มากๆ ก็ตามที
• บางทีปริมาณ+วิวดีๆ ก็สามารถข่มคุณภาพได้นะฮะ
• เมื่อกินกันอิ่มหนำ สิ่งต่อไปที่จะทำคืนการทอดน่อง
• เป้าหมายต่อไปของเราคือ Tanah Lot วัดลอยทะเลอันเลื่องชื่อของบาหลี
• วัดแห่งนี้ถือเป็นการวัดใจความเป็นชาวพุทธเล็กน้อย
• เนื่องจากตัววัดถูกสร้างอยู่บนเกาะเล็กๆ เลยออกไปนอกชายหาด
• ถ้าน้ำขึ้น การเดินเข้าวัด คือการเดินลุยน้ำระดับเข่าเข้าไป
• ถ้าน้ำลง ก็ประมาณแข้ง
• ยังไงก็ต้องเปียกแบบเลี่ยงไม่ได้
• นี่ยังไม่นับคลื่นลมที่ซัดมาแบบไม่ยั้ง
• ผมลองเดินไปใกล้สุด ก็ระยะตามรูปนี้เลยครับ
• พอแดดเริ่มคล้อย พวกเรามุ่งหน้าสู่ชายหาด Kuta, หาดที่เค้าว่ากันว่างามที่สุด
ในการดูพระอาทิตย์ตก
• ถ้านับแค่ความงามของสภาพหาดทราย ปราณบ้านเราน่าจะชนะได้สบายๆ นะฮะ
• แต่ถ้ารวมทั้งบรรยากาศ เสียงลม ท้องฟ้าที่เมฆมาอลังมากนี่ถึงกับตัดสินใจลำบาก
• มาหาด Kuta เหมือนได้ดูโชว์แสงสีเสียง พระอาทิตย์ ฟีเจอร์ริ่งกับหมู่เมฆ
และคลื่นลมทะเล อย่างมันอ่ะครัช
• ในเวลาไม่ถึง 15 นาที ฟ้านี่เปลี่ยนได้แปดสีได้...ฟ้า ฟ้าเข้ม ฟ้าอ่อน เหลือง
ส้ม ส้มเข้ม ส้มตำ ต้มยำ โอ้ยยย ไม่ใช่ละๆ หิวแล้วนีหว่า
อุ๊ย! คำเต็ม เดี๋ยวมาต่อนะฮ๊าฟฟฟ
[CR] มหากาพย์รีวิวเที่ยว Bromo Part 2 แว๊นซ์ตากฝน - ไปวัดลอยทะเล - ชมพระอาทิตย์ตก - จกหมูย่าง - นวดสปาเปลือย - รอว์ฟู้ด เย่ห์
• เกริ่นกันซักนิด นี่เป็นกระทู้ภาคต่อของ มหากาพย์รีวิวเที่ยว Bromo ต่อ Kawah Ijen ทะลุ บาหลี +
Tanah lot ฉบับ Walter Mitty LOW COST!
คลิกแวะชมกันได้ตรงนี้ครับ -> http://pantip.com/topic/33727156
*คำเตือน* : การแวะไปอ่านภาค 1 ก่อน ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรแก่ท่านเลย
นอกจากความบันเทิงล้วนๆ สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลการเดินทางกรุณาติดต่อ
https://www.facebook.com/singpaitour
ขอบพระคุณค่ะ (เสียงแบบโอเปอเรเตอร์)
• คือภาคแรกว่าทรหดแล้ว ภาคสองนี่ทรหดยิ่งกว่า…
หนทางอันราบเรียบ ก็อาจทำให้เราเสียเหงื่อได้อยู่ดี
• เอาล่ะ จะเข้าเรื่องละนะฮะ...นึง...ซ่อง...ซ้ามมมมม ไป กัน เล้ยยยย!
• หลังจากเราสะบักสะบอมกับการลางสังขารลงเขา Kawah Ijen
พวกเราก็ตกลงกันว่า ทริปนี้ไม่เอาอะไรลุยๆ แล้วนะ ขอเลยขอ ใครชวนทำอะไรผาดโผนอีกโดนตบ
• ดังนั้นแพลนคร่าวๆ ของพวกเราจึงเป็นดังนี้ฮะ
นั่งเรือข้ามฝากไปบาหลี -> ชมพระอาทิตย์ตก -> หาอาหารอะไรอร่อยๆ กิน -> เดินเล่นชายหาด ->
หาร้านชิคๆ กิน -> ชมศิลปะพื้นเมือง -> หาอาหารพื้นเมืองกิน -> ชมนาขั้นบันได -> ชิมกาแฟชมด
-> ซื้อของฝากเกร๋วๆ -> นั่งแอร์อซ.กลับบ้าน เย้ว์!
• จะเห็นว่าหลักๆ แล้วครึ่งหลังพวกเราคือ สายแดรกนะครับ
• เอาจริงๆ ก็สายนี้ตั้งแต่แรก แต่ตอนอยู่ที่ Bromo กับ Ijen อาหารนี่ค่อนข้างแร้นแค้นมาก
ข้าวผัดโรงแรมเป็นอะไรโหดร้าย แห้ง เย็น ไร้เนื้อสัตว์และโปรตีนใดๆ
• เอ้า อย่าไปบ่นไปเสียเวลา กลับมาที่บาหลีกันต่อดีกว่าฮะ
• ระหว่างทางนั่งเรือข้ามไปบาหลีเป็นอะไรที่โรแมนติกใช้ได้
เราจะสามารถพบเห็นหนุ่มสาวนักท่องเที่ยวนั่งกันเป็นคู่ๆ
• เมื่อเรามาถึงท่าเรือที่บาหลี...ให้นึกภาพท่าเรือที่เกาะเสม็ด ทรงนั้นเลยฮะ
ของกินนี่คือบั่บ..แทบไม่มีอะไรให้กินเลย มีแค่น้ำอัดลม และขนมก๊อบแก๊บนิดหน่อย
• เห็นท่าว่าคงหาอะไรกินแถวนี้ไม่ได้...พวกเรารีบเรียกแท็กซี่ไปที่โรงแรมเลย
• แท็กซี่ที่บาหลีมีความวินเทจอยู่ในตัว คือรถเค้าเก่าประมาณนึงเลย
• การคุยกับพี่แท็กซี่ทำให้พบว่า โรงแรมเราอยู่โคตรจะไกลจากท่าเรือ คือ
อยู่อีกฝั่งนึงของเกาะ ต้องนั่งรถแท็กซี่ต่อไปอีกประมาณเกือบๆ 3 ชั่วโมง!!!
• นั่นมัน กรุงเทพ-ระยอง เลยนะเฟ้ยยย
• กระเพาะของคนทั้งสี่ส่งเสียงร้องโอดครวญพร้อมเพรียงกัน
• พี่คนขับคงได้ยินเสียงวิงวอนแกมโหยหวนนั้น, ระหว่างทางเลยแวะให้เรากินร้านอาหารข้างทาง
อารมณ์ประมาณแม่กิมไล้บ้านเรา
• อาหารทุกอย่างรสชาติค่อนข้างดี โดยเฉพาะหมี่โกเร็งนี่คือสุดฮะ
เป็นอาหารท้องถิ่นแบบเยี่ยมไปเลย
• กว่าจะถึงโรงแรม ฟ้าก็มืด กว่าพวกเราจะเก็บกระเป๋าข้าวของ
แล้วเดินออกไปหาของกินร้านก็ปิดเกือบหมด…
• สุดท้ายมื้อแรกของเราคือ minimart ใน Monkey Forest Street...ลูซเซอร์สิ้นดี
• รุ่งขึ้นพวกเราได้รับประทานอาหารเช้าแบบมีอารยะ
• โรงแรมให้เลือกได้ว่าจะเอาไข่ดาว ไข่เจียว ไข่คน ไข่เบเนดิกซ์
• ด้วยความกระแดะก็กินเบเนดิกซ์กันทั้งโต๊ะ
• วันนี้พวกเราตั้งใจไว้ว่า จะไปแวนซ์รอบเกาะกัน
• รอบเกาะที่ว่าก็ไม่ได้ไปไหนไกล เริ่มแถวๆ ถนนลิงป่า ก่อนเลย
• ถนนเส้นนี้จะวิ่ง One way วนเป็นวงกลม มีซอยตัดผ่ากลางให้ลัดไป
• เรียกว่าถ้าเด๋อขับเลยไปก็ไม่ต้องไปวนรอบใหญ่ สะดวกแก่การแว๊นซ์มากครัช
• การเดินทางครั้งนี้เราได้รับแผนที่กระดาษจากโรงแรมมาครับ
• ในแผนที่จะระบุสถานที่น่าแวะชม, ร้านอาหาร, แหล่งซื้อของ, สปา, บลา บลา บลา…
• พวกเราเริ่มต้นเกร๋วๆ กันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งชื่อ ARAK COFFEE
• เหตุผลไม่ใช่เพราะว่ากลิ่นกาแฟมันหอม ชื่อมันเป็น Top List หรืออะไร
• แค่ขับมอไซค์กันได้ไม่ไกล ห่าฝนก็กระหน่ำตก จั่กๆๆๆ!! จั่กๆๆๆ!! ทำให้เราต้องจอดพัก
• ฝนที่นี่ อีกนิดก็ลูกเห็บแล้วฮะ กัดเจ็บมาก เม็ดใหญ่เท่าหัวแม่โป้งได้มั้งเนี่ยยยย (เปรียบเปรยนะฮะ)
• แต่กระนั้นก็ตาม ARAK COFFEE ก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวัง ผมลองสั่งลาเต้ชะมดมาหนึ่งแก้วถ้วน
• โอ้ววว หอมมม กลมกล่อมมม ถาม Barista ว่านี่พันธ์อะไรครับ?,
ชวนคุยเหมือนมีความรู้เรื่องกาแฟ
• แต่จริงๆ ไม่มีนะฮะ
• Barista ตอบว่า ก็พันธ์พื้นๆ ของที่นี่อ่ะ (เอาจริงๆ เค้าพูดชื่อพันธ์มาครับ แต่ผมจำไม่ได้จิงๆ)
ถ้าอยากกินอร่อยกว่านี้ หอมกว่านี้ ให้ไปที่ฟาร์มชะมดเลย
• ทันใดนั้น จุดหมายต่อไปของพวกเราคือฟาร์มชะมดทันที
• ตัดภาพมาที่ฟาร์ม, เอาจริงๆ มันก็ไม่เชิงจะเป็นฟาร์มซักเท่าไหร่นะฮะ
• ดูเหมือนเป็นสวนต้นไม้เยอะๆ ในบ้านเพื่อนมากกว่า
• แล้วก็มีกรงชะมดบ้างประปรายสองสามกรง…
• ในใจตอนนั้นคิดว่า เฮ้อ...นี่โดนหลอกมาดูชะมดผีสินะ...ร้างไม่มีซักตัว
• คิดดังไปหน่อยมั้ง เจ้าชะมดน้อย ก็ค่อยๆ คลายดึ๊บๆ ออกมาจากขอนไม้
• อารมณ์แบบมารายงานตัวยืนยันว่า ที่นี่มีชะมดจริงๆ นะเฟ้ยไม่ได้หลอกลวงนะ
• กาแฟที่พวกเจ้ากำลังจะกิน ก็มาจากขี้ของข้านี่แหละ!
• ผมคิดว่าชะมดมันกำลังสื่อสารแบบนั้นอยู่นะฮะ
• ก่อนจะถึงการชิมกาแฟ จะมีพนักงานของฟาร์ม แนะนำพันธ์พืชชนิดต่างๆ
• เหมือนจะบิ้วด์อารมณ์เราให้อินอ่ะคับว่า ชะมดมันกินพืชพันธ์นั้นพันธ์นี้นะ
กลิ่นกาแฟมันจะออกมาแบบหอมดอกไม้อ่อนๆ นะ
• กำลังถูกบิ้วด์เพลินๆ พนักงานก็พาพวกเรามานั่งที่โต๊ะ แล้วเสิร์ฟชา+กาแฟ 12
แก้วรวดให้เราได้ดื่มด่ำ…
• กาแฟชะมด ชาตะไคร้ใส่อบเชย ชาข้าวใบหม่อน กาแฟนมผสมขิง ม็อคค่าผสมโสม
• บำรุงกันไม่รู้จะบำรุงยังไงเลยฮะ
• ระหว่างที่เราชิม ข้างๆ จะมีคุณยายนั่งคั่วกาแฟกันสดๆ
กลิ่นหอมค่อดแม่โชยมาบิ้วด์กันอีกดอก
• ดูแบบออเธนทิกมากๆ
• ขณะที่เราถูกบิ้วด์แบบกำลังจะถึงจุดสุดยอดแห่งโลกกาแฟ
• เดินเลยคุณยายออกมาอีกนิด นั่นไง...ชัดเลย
• ร้านขายกาแฟทั้งหมดทั้งปวงที่เราเพิ่งดื่มด่ำกันไปตะกี้นี้
• เอ้าจะรออะไรกันล่ะฮะ มีพ่อฝากพ่อ มีแม่ฝากแม่ มีแฟนฝากแฟน
• รู้สึกตัวอีกที ผมซื้อฝากแม่มเกือบหมดตัว…
• พวกจิตอ่อน, เช่นผมเอง, ข้ามการชิมกาแฟไปได้นะฮะ
• ทุกวันนี้กลับมา ไอ่กาแฟพวกนั้นยังอยู่ในกล่องเหมือนเดิมเลยครับ
• หลังจากชิมกาแฟจนตาเต่งไปแล้ว พวกเราก็พร้อมไปชมอะไรที่มันค่อนข้างจะเอ็กโซติก
• สถานที่แห่งนั้นคือวัด Tirta Empul Temple ฮะ
• ประวัติศาสตร์ต่างๆ wiki เค้าเขียนไว้ดีแล้ว ผมจะขออนุญาติไม่กล่าวถึง
เอาเป็นว่าจะพาไปชมด้วยอารมณ์ล้วนๆ ละกันนะฮะ
• ที่วัดนี้จะมีบ่อน้ำ ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นบ่อน้ำศักธิ์สิทธิ์ของเค้า
• น้ำในบ่อเป็นสีเขียวมรกต งดงามยิ่งนัก แถมยังมีปลาคาร์ฟสีต่างๆ ตัดกันสวยงาม
• และยังมี...เฮ้ย! แม่เจ้า มีคนลงไปอาบน้ำเต็มบ่อเลยจ้าาาาาา
• คนอินโด คนจีน ฝรั่ง แขก ยุ่น ทุกชาติอ่ะ ย้ำว่าทุกชาติ มาอาบน้ำสักการะบูชา
นัยว่าชำระล้างจิตใจอะไรประมาณนั้น
• พ่ออาบให้ลูก ผัวอาบให้เมีย ใครมาคนเดียวก็อาบให้ตัวเอง
• ผมไม่ได้เตรียมการมา แม้จะอยากแช่น้ำบ้าง แต่เดี๋ยวไม่มีชุดใส่กลับ
ได้เพียงเก็บภาพประทับใจเหล่านั้นไว้
• หลังจากเดินชมวัดกันไปสักพัก ทางเดินจะพาเราวนสู่วังวนแห่งตลาดนัดของฝาก
• ดงนี้นี่ต้องการของพื้นเมืองชนิดไหน เรียกได้ว่าจัดเต็มมาเลย
• กบไม้แกะสลัก, รองเท้าแตะสานๆ, ภาพวาด, เครื่องเงิน, ตุ๊กตาไม้, เสื้อผ้าบาติก
• อย่างหลังนี่ดูจะได้รับความนิยมจากราชวงศ์อังกฤษด้วยฮะ
• เวลาเริ่มจะบ่ายๆ พวกเราทั้งสี่รีบค้นหาร้านสำหรับมื้อเย็น
• ด้วยความที่อยากกินอะไรหนักๆ จึงไปที่ร้าน NAUGHTY NURIS
• ร้านนี้ค่อนข้างจะโด่งดังเรื่องซี่โครงหมูย่างเตาสไตล์บาหลี
• เอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าสไตล์บาหลีมันเป็นยังไง
• รู้แค่ว่าร้านมันอยู่แถว Ubud เลย Monkey Forest Street ไปหน่อย
ซึ่งเป็นร้านที่ไม่มีทางขับหลง ขับเลย หรือหาไม่เจอแน่นอน
• เพราะกลิ่นย่างหมูมันลอยทะลวงรูจมูกไปไกลเป็นโลๆ
• ความอร่อยแทบไม่ต้องบรรยายกันเลยฮะ เอาง่ายๆ แค่ยืนต่อคิวร้านก็ล่อไปเกือบชั่วโมง
• Trip Advisor ก็ให้ตั้ง 4 ดาว ทั้งๆ ที่ร้านก็เป็นร้านเล็กๆ ประมาณตึกคูหาครึ่ง
คะเนด้วยสายตามีประมาณสิบกว่าโต๊ะ
• เต็มทุกโต๊ะ!
• ซี่โครงหมูย่างเป็นอะไรที่ต้องสั่ง ย้ำ เป็นอะไรที่ต้องสั่ง ย้ำ อีกครั้งฮะ
• ใครคิดว่า เฮ้ย...คงไม่เท่าไหร่มั้ง...ขอย้ำอีกที สั่งเถอะครับ
• เมนูอื่นๆ ก็สั่งได้ตามสะดวก อยู่ในระดับอร่อยมาก เช่น ไก่สะเต๊ะสไตล์บาหลี,
Seafood จานร้อน, ไส้กรอก, เบอร์เกอร์หมู+เบคอนกริลล์
และซี่โครงหมู่ย่างนี่คือเด็ด...อ๊ะ! พูดไปแล้วนี่น่า...อยากให้ลองจริงๆฮะ
• ไม่ผิดหวังแน่นอน ขนาดพวกผมสี่คน คืนถัดไปยังต้องกลับไปเบิ้ลร้านนี้ซ้ำอีกรอบ!
• รุ่งขึ้นพวกเราเริ่มหมดมุก คิดไม่ออกว่าจะไปแวนซ์ไหนดี
• เลยลองหันหน้าที่พึ่งอันศักดิ์สิทธิ์...เค้าคือคนขับรถของโรงแรมครับ
• ถามไปถามมาได้ความว่าให้พี่เค้าขับรถพาเที่ยวเลยดีกว่า เน้นๆ ไปเลยวันนี้ไม่คิดแล้ว
• แต่แอบบอกไปว่าพวกผ้าบาติกอะไรนี่ข้ามได้นะคับ
• ตัดภาพไป พวกเราไปโผล่กันที่นาขั้นบันได
• บางคนอาจจะบอกว่า อ่ะโห ไรว๊าาาา ทัวร์ริสต์สุดๆ อ้ะ
• จริง ยอมรับฮะ แต่บางครั้งเราก็มีอารมณ์บั่บ...อยากชมกิจกรรมกสิกรรมของเค้า
อยากจะเหล่สาวชาวไรบาหลีบ้าง
• หลังจากพบสาวชาวไร่ ผมไม่แน่ใจว่าทุเรียนหรือ เธอหง่อมกว่ากัน
• ประเทศนี้รุ่มรวยเทือกเขามากครับ
• พวกเราจึงได้มีโอกาสรับประทานอาหารเที่ยงกันท่ามกลางวิวภูเขายักษ์ใหญ่
• ร้านอาหารที่นี่มีวิธีเลือกทำเลคือ ตรงไหนก็ได้ที่มองเห็นวิวสวยๆ
• ดังนั้นพอพี่คนขับรถขับพาเรามาใกล้ๆ เนินเขา เราจะเห็นร้านอาหารเรียงต่อกันเป็นแผง
• อารมณ์แบบบ้านเราร้านซีฟู้ดต้องติดทะเล บาหลีร้านบุฟเฟต์ต้องติดภูเขาอ่ะฮะ
• บุฟเฟต์! ใช่ครับ บุฟเฟต์อาหารอินโด
• ผ่านมา 3 วันกินแต่อาหารในปริมาณจำกัด
• ตามจำนวนตังค์ที่มีจำกัดนั่นแหล่ะฮะ
• มื้อนี้เลยซัดกันเต็มข้อเลย แม้อาหารมันจะพื้นๆ มากๆ ก็ตามที
• บางทีปริมาณ+วิวดีๆ ก็สามารถข่มคุณภาพได้นะฮะ
• เมื่อกินกันอิ่มหนำ สิ่งต่อไปที่จะทำคืนการทอดน่อง
• เป้าหมายต่อไปของเราคือ Tanah Lot วัดลอยทะเลอันเลื่องชื่อของบาหลี
• วัดแห่งนี้ถือเป็นการวัดใจความเป็นชาวพุทธเล็กน้อย
• เนื่องจากตัววัดถูกสร้างอยู่บนเกาะเล็กๆ เลยออกไปนอกชายหาด
• ถ้าน้ำขึ้น การเดินเข้าวัด คือการเดินลุยน้ำระดับเข่าเข้าไป
• ถ้าน้ำลง ก็ประมาณแข้ง
• ยังไงก็ต้องเปียกแบบเลี่ยงไม่ได้
• นี่ยังไม่นับคลื่นลมที่ซัดมาแบบไม่ยั้ง
• ผมลองเดินไปใกล้สุด ก็ระยะตามรูปนี้เลยครับ
• พอแดดเริ่มคล้อย พวกเรามุ่งหน้าสู่ชายหาด Kuta, หาดที่เค้าว่ากันว่างามที่สุด
ในการดูพระอาทิตย์ตก
• ถ้านับแค่ความงามของสภาพหาดทราย ปราณบ้านเราน่าจะชนะได้สบายๆ นะฮะ
• แต่ถ้ารวมทั้งบรรยากาศ เสียงลม ท้องฟ้าที่เมฆมาอลังมากนี่ถึงกับตัดสินใจลำบาก
• มาหาด Kuta เหมือนได้ดูโชว์แสงสีเสียง พระอาทิตย์ ฟีเจอร์ริ่งกับหมู่เมฆ
และคลื่นลมทะเล อย่างมันอ่ะครัช
• ในเวลาไม่ถึง 15 นาที ฟ้านี่เปลี่ยนได้แปดสีได้...ฟ้า ฟ้าเข้ม ฟ้าอ่อน เหลือง
ส้ม ส้มเข้ม ส้มตำ ต้มยำ โอ้ยยย ไม่ใช่ละๆ หิวแล้วนีหว่า
อุ๊ย! คำเต็ม เดี๋ยวมาต่อนะฮ๊าฟฟฟ