สวัสดีค่ะ ทุกท่าน ต้องออกตัวก่อนว่า นี้เป็นกระทู้แรก ผิดพลาดประการใดขออภัย ณ ที่นี้ค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกที่อยากเขียนขึ้นมา โดยได้มีการหยิบยกข้อความบางส่วนมาจาก Blog ที่ จขกท. ได้ติดตามอยู่ ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนค่ะ ว่า ไม่ได้มีเจตนา ลบหลู่ความเชื่อของแต่ละบุคคลนะค่ะ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
พระพุทธศาสนา ความเชื่อ และความศรัทธา เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนไทย ชาวพุทธมาช้านาน หลายคนเลือกที่จะหาวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง ต่างๆ มาบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล และสบายใจของผู้บูชา ที่มีไว้แล้วรู้สึกอุ่นใจ เช่น พระพุทธรูป พระเครื่อง ฯลฯ พูดถึง พระพุทธรูป พระเครื่อง ที่ชาวพุทธบูชากัน เพื่อระลึกถึงหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพุทธศาสนา แต่ที่ยังสงสัยจนถึงทุกวันนี้ คือ ในเรื่องของเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่งที่เคยเห็นหลายคนนำมาบูชา นั่นก็คือ " ชูชก "
แน่นอนว่าหลายๆคน คงเคยได้ยินชื่อเสียงของชูชกเป็นอย่างดี ซึ่งชื่อของชูชก ถูกปรากฎอยู่ในชาดกเรื่องหนึ่งนั้นก็คือ "มหาเวสสันดรชาดก"
ขอขยายความ ความหมายของชาดกก่อนนะค่ะ สำหรับ "ชาดก" (สันสกฤต: บาลี: जातक) คือ เรื่องราวหรือชีวประวัติในอดีตชาติของพระโคตมพุทธเจ้า คือ สมัยที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงนำมาเล่าให้พระสงฆ์ฟังในโอกาสต่าง ๆ เรียกเรื่องในอดีตของพระองค์นี้ว่า ชาดก ชาดกเป็นเรื่องเล่าคล้ายนิทาน บางครั้งจึงเรียกว่า นิทานชาดก ชาดกที่ทรงเล่านั้นมีหลายร้อยเรื่อง ว่าทรงเคยเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์บ้าง แต่ที่รู้จักกันโดยทั่วไป คือ 10 ชาติสุดท้ายที่เรียกว่าทศชาติชาดก และชาติสุดท้าย ที่ทรงเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร จึงเรียกเรื่องพระเวสสันดรนี้ว่า มหาเวสสันดรชาดก แต่พอพูดถึงชูชก เรื่องราวในมหาเวสสันดรชาดกนั้น ชูชกเป็นสัญลักษณ์ แห่งความเห็นแก่ตัว ละโมบไม่มีที่สิ้นสุด แม้วาระสุดท้ายของชีวิต กินอย่างตะกละมูมมาม ถึงกับท้องแตกตายเพราะความไม่ รู้จักพอ ในพระไตรปิฎกได้กล่าวสรุปชาดกไว้ว่า.....
“ พราหมณ์ชูชกในกาลนั้น คือ ภิกษุเทวทัต
นางอมิตตาปนา คือ นางจิญญมาญวิกา
พรานเจตบุตร คือ ภิกษุฉันทะ
อัจจุตดาบส คือ ภิกษุสารีบุตร
ท้าวสักกเทวราช คือ ภิกษุอนุรุทธะ
พระเจ้าสัญชัยนรินทรราช คือ พระเจ้าสุทโธทนะมหาราช
พระนางผุสดีเทวี คือ พระนางสิริมหามายา
พระนางมัทรี คือ ยโสธราพิมพามารดาราหุล
ชาลีกุมาร คือ ราหุล
กัญหาชินา คือ ภิกษุณีอุบลวรรณา
ราชบริษัทนอกนี้คือ พุทธบริษัท
พระเวสสันดรราชคือเราเอง (พระพุทธเจ้า) “
ตามพระคัมภีร์กล่าวว่าชูชกได้ชื่อว่ามีลักษณะเป็น “ บุรุษโทษ “ หรือ “ ปุริสโทษ “ คือมีลักษณะไม่ดี ๑๘ ประการ ซึ่งในพระคัมภีร์หรือแม้แต่วรรณกรรมชาดกล้านนาเรื่องเวสสันดรชาดก ฉบับมหาเกสรปัญโญ ที่จารไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๔ กล่าวไว้เหมือนกัน ดังนี้..ค่ะ
๑. เท้าทั้งสองข้างใหญ่ และคด
๒. เล็บทั้งหมด กุด-ดำ (บางตำราก็ว่า เน่า อีกต่างหาก)
๓. ปลีน่องทู่ยู่ยาน
๔. ริมฝีปากบนห้อยย้อยลงมาทับริมฝีปากล่าง
๕. น้ำลายไหลย้อยเป็นยางยืด
๖. มีเขี้ยวยาว งอกออกพ้นปากเหมือนเขี้ยวหมู
๗. ดั้งจมูกคด หักฟุบ (น่าจะคด-หัก-แบน)
๘. ท้องป่องเป็นกระเปาะ ทางล้านนาเขาว่า “ ดังไหตาล “
๙. สันหลัง ไหล่หัก ค่อม คด โกง
๑๐. ตาถลนลึก ตาสองข้างไม่เท่ากัน ไม่เสมอกัน
๑๑. มีหนวดเคราสีแดงเหมือนลวดทองแดง
๑๒. มีผมโหรง (ผมบางหรอมแหรม) สีผมเหลืองเหมือนสีลาน (บางแห่งก็ว่าสีลวดคำ หรือลวดทอง)
๑๓. ร่างกายมีหนังเหี่ยว เส้นเอ็นปูดนูน ดูเกะกะ
๑๔. ตามตัวเต็มไปด้วยตุ่มไฝ กระ
๑๕. มีลูกตาเหลือง เหลือก เหล่
๑๖. ร่างกายคดในที่ทั้งสาม คือ คอ หลัง และเอว
๑๗. เท้าทั้งสองข้างแป หันไปคนละทิศทาง
๑๘. ขนตามตัวหยาบเหมือนแผงขนหมู
ด้วยลักษณะทั้ง ๑๘ ประการ ข้างต้นนี้ ทำให้จินตนาการได้ถึงความน่าเกลียดของชูชกอย่างชัดเจน ประกอบกับอุปนิสัยของชูชกดังที่ในชาดกกล่าวไว้ ทำให้แต่เดิมสังคมไทยมองชูชกเป็นสัญลักษณ์ของความตะกละ เวลาจะว่าใครหรือเปรียบเทียบคนที่กินมูมมามก็ว่า “ ตะกละเหมือนชูชก “ นอกจากนี้ ในพระคัมภีร์ ยังบอกว่าชูชกเป็นสัญลักษณ์ของความเห็นแก่ตัว โหดร้าย ใจร้าย อันนี้ดูได้จากการที่ผูกมัดกัณหา-ชาลี ฉุดกระชากลากไปเฆี่ยนตีไปโดยไร้ความเมตตา แล้วคิดว่าคนอย่างนี้ น่ายกย่องเคารพบูชาไหม
จขกท. เคยได้ยินมาว่า “บูชาชูชกแล้วดี มีกินมีใช้ไม่หมด เจรจาอะไรก็สำเร็จ ขออะไรก็จะสมปราถนา เพราะว่าชูชก จัดว่าเป็นเครื่องรางชนิดหนึ่ง สุดยอดของเครื่องรางแห่งการขอ ในทางไสยศาสตร์ยกย่องชูชกว่า เป็นคนมีเสน่ห์ มีลาภมาก ข้าวปลาอาหาร บ้านเรือนและบริวาร จะขออะไรใครเขาก็ให้ “
แต่อย่าลืมนะค่ะว่า ชูชกในกาลก่อน คือ พระเทวทัตผู้ที่คิดปองร้ายพระพุทธเจ้า จนถูกธรณีสูบลงมหาอเวจีนรก
จากความคิดเห็น ของ จขกท. มีความเห็นว่า บูชาชูชกเพื่ออะไร บูชาแล้วได้อะไร เพราะ ชูชกยังเป็นพระเทวทัต ยังอยู่ในอเวจีมหานรก ไม่มีพลังงานใดจะมอบให้ได้นอกจากความเศร้าหมองและเสื่อมราศี..... การบูชาชูชกที่เขาอวดอ้างสรรพคุณว่า ขออะไร ใครก็ให้หมดนั้น อยากถามว่า ในชีวิตคิดแต่จะขอเขาไปตลอดชาติหรืออย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเหตุและผล งมงายมากไปก็ไม่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเรา อัตตาหิ อัตตโน นาโถ...ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
"พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนหรือบอกว่า เธอต้องถือฉันเป็นที่พึ่ง
แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า เธอต้องเอาตัวเองเป็นที่พึ่ง"
ข้อความบางส่วนยกมาจาก blog ที่ จขกท.ติดตามค่ะ : dhamma by prommayanee
ขอบคุณที่เสียสละเวลาเข้ามาอ่านค่ะ ผิดพลาดประการใดขออภัย พร้อมรับคำติชมค่ะ ....
เครื่องรางของขลังชูชก ความเชื่อที่.......!?!?!
พระพุทธศาสนา ความเชื่อ และความศรัทธา เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนไทย ชาวพุทธมาช้านาน หลายคนเลือกที่จะหาวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง ต่างๆ มาบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล และสบายใจของผู้บูชา ที่มีไว้แล้วรู้สึกอุ่นใจ เช่น พระพุทธรูป พระเครื่อง ฯลฯ พูดถึง พระพุทธรูป พระเครื่อง ที่ชาวพุทธบูชากัน เพื่อระลึกถึงหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพุทธศาสนา แต่ที่ยังสงสัยจนถึงทุกวันนี้ คือ ในเรื่องของเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่งที่เคยเห็นหลายคนนำมาบูชา นั่นก็คือ " ชูชก "
แน่นอนว่าหลายๆคน คงเคยได้ยินชื่อเสียงของชูชกเป็นอย่างดี ซึ่งชื่อของชูชก ถูกปรากฎอยู่ในชาดกเรื่องหนึ่งนั้นก็คือ "มหาเวสสันดรชาดก"
ขอขยายความ ความหมายของชาดกก่อนนะค่ะ สำหรับ "ชาดก" (สันสกฤต: บาลี: जातक) คือ เรื่องราวหรือชีวประวัติในอดีตชาติของพระโคตมพุทธเจ้า คือ สมัยที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงนำมาเล่าให้พระสงฆ์ฟังในโอกาสต่าง ๆ เรียกเรื่องในอดีตของพระองค์นี้ว่า ชาดก ชาดกเป็นเรื่องเล่าคล้ายนิทาน บางครั้งจึงเรียกว่า นิทานชาดก ชาดกที่ทรงเล่านั้นมีหลายร้อยเรื่อง ว่าทรงเคยเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์บ้าง แต่ที่รู้จักกันโดยทั่วไป คือ 10 ชาติสุดท้ายที่เรียกว่าทศชาติชาดก และชาติสุดท้าย ที่ทรงเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร จึงเรียกเรื่องพระเวสสันดรนี้ว่า มหาเวสสันดรชาดก แต่พอพูดถึงชูชก เรื่องราวในมหาเวสสันดรชาดกนั้น ชูชกเป็นสัญลักษณ์ แห่งความเห็นแก่ตัว ละโมบไม่มีที่สิ้นสุด แม้วาระสุดท้ายของชีวิต กินอย่างตะกละมูมมาม ถึงกับท้องแตกตายเพราะความไม่ รู้จักพอ ในพระไตรปิฎกได้กล่าวสรุปชาดกไว้ว่า.....
“ พราหมณ์ชูชกในกาลนั้น คือ ภิกษุเทวทัต
นางอมิตตาปนา คือ นางจิญญมาญวิกา
พรานเจตบุตร คือ ภิกษุฉันทะ
อัจจุตดาบส คือ ภิกษุสารีบุตร
ท้าวสักกเทวราช คือ ภิกษุอนุรุทธะ
พระเจ้าสัญชัยนรินทรราช คือ พระเจ้าสุทโธทนะมหาราช
พระนางผุสดีเทวี คือ พระนางสิริมหามายา
พระนางมัทรี คือ ยโสธราพิมพามารดาราหุล
ชาลีกุมาร คือ ราหุล
กัญหาชินา คือ ภิกษุณีอุบลวรรณา
ราชบริษัทนอกนี้คือ พุทธบริษัท
พระเวสสันดรราชคือเราเอง (พระพุทธเจ้า) “
ตามพระคัมภีร์กล่าวว่าชูชกได้ชื่อว่ามีลักษณะเป็น “ บุรุษโทษ “ หรือ “ ปุริสโทษ “ คือมีลักษณะไม่ดี ๑๘ ประการ ซึ่งในพระคัมภีร์หรือแม้แต่วรรณกรรมชาดกล้านนาเรื่องเวสสันดรชาดก ฉบับมหาเกสรปัญโญ ที่จารไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๔ กล่าวไว้เหมือนกัน ดังนี้..ค่ะ
๑. เท้าทั้งสองข้างใหญ่ และคด
๒. เล็บทั้งหมด กุด-ดำ (บางตำราก็ว่า เน่า อีกต่างหาก)
๓. ปลีน่องทู่ยู่ยาน
๔. ริมฝีปากบนห้อยย้อยลงมาทับริมฝีปากล่าง
๕. น้ำลายไหลย้อยเป็นยางยืด
๖. มีเขี้ยวยาว งอกออกพ้นปากเหมือนเขี้ยวหมู
๗. ดั้งจมูกคด หักฟุบ (น่าจะคด-หัก-แบน)
๘. ท้องป่องเป็นกระเปาะ ทางล้านนาเขาว่า “ ดังไหตาล “
๙. สันหลัง ไหล่หัก ค่อม คด โกง
๑๐. ตาถลนลึก ตาสองข้างไม่เท่ากัน ไม่เสมอกัน
๑๑. มีหนวดเคราสีแดงเหมือนลวดทองแดง
๑๒. มีผมโหรง (ผมบางหรอมแหรม) สีผมเหลืองเหมือนสีลาน (บางแห่งก็ว่าสีลวดคำ หรือลวดทอง)
๑๓. ร่างกายมีหนังเหี่ยว เส้นเอ็นปูดนูน ดูเกะกะ
๑๔. ตามตัวเต็มไปด้วยตุ่มไฝ กระ
๑๕. มีลูกตาเหลือง เหลือก เหล่
๑๖. ร่างกายคดในที่ทั้งสาม คือ คอ หลัง และเอว
๑๗. เท้าทั้งสองข้างแป หันไปคนละทิศทาง
๑๘. ขนตามตัวหยาบเหมือนแผงขนหมู
ด้วยลักษณะทั้ง ๑๘ ประการ ข้างต้นนี้ ทำให้จินตนาการได้ถึงความน่าเกลียดของชูชกอย่างชัดเจน ประกอบกับอุปนิสัยของชูชกดังที่ในชาดกกล่าวไว้ ทำให้แต่เดิมสังคมไทยมองชูชกเป็นสัญลักษณ์ของความตะกละ เวลาจะว่าใครหรือเปรียบเทียบคนที่กินมูมมามก็ว่า “ ตะกละเหมือนชูชก “ นอกจากนี้ ในพระคัมภีร์ ยังบอกว่าชูชกเป็นสัญลักษณ์ของความเห็นแก่ตัว โหดร้าย ใจร้าย อันนี้ดูได้จากการที่ผูกมัดกัณหา-ชาลี ฉุดกระชากลากไปเฆี่ยนตีไปโดยไร้ความเมตตา แล้วคิดว่าคนอย่างนี้ น่ายกย่องเคารพบูชาไหม
จขกท. เคยได้ยินมาว่า “บูชาชูชกแล้วดี มีกินมีใช้ไม่หมด เจรจาอะไรก็สำเร็จ ขออะไรก็จะสมปราถนา เพราะว่าชูชก จัดว่าเป็นเครื่องรางชนิดหนึ่ง สุดยอดของเครื่องรางแห่งการขอ ในทางไสยศาสตร์ยกย่องชูชกว่า เป็นคนมีเสน่ห์ มีลาภมาก ข้าวปลาอาหาร บ้านเรือนและบริวาร จะขออะไรใครเขาก็ให้ “
แต่อย่าลืมนะค่ะว่า ชูชกในกาลก่อน คือ พระเทวทัตผู้ที่คิดปองร้ายพระพุทธเจ้า จนถูกธรณีสูบลงมหาอเวจีนรก
จากความคิดเห็น ของ จขกท. มีความเห็นว่า บูชาชูชกเพื่ออะไร บูชาแล้วได้อะไร เพราะ ชูชกยังเป็นพระเทวทัต ยังอยู่ในอเวจีมหานรก ไม่มีพลังงานใดจะมอบให้ได้นอกจากความเศร้าหมองและเสื่อมราศี..... การบูชาชูชกที่เขาอวดอ้างสรรพคุณว่า ขออะไร ใครก็ให้หมดนั้น อยากถามว่า ในชีวิตคิดแต่จะขอเขาไปตลอดชาติหรืออย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเหตุและผล งมงายมากไปก็ไม่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเรา อัตตาหิ อัตตโน นาโถ...ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า เธอต้องเอาตัวเองเป็นที่พึ่ง"
ข้อความบางส่วนยกมาจาก blog ที่ จขกท.ติดตามค่ะ : dhamma by prommayanee
ขอบคุณที่เสียสละเวลาเข้ามาอ่านค่ะ ผิดพลาดประการใดขออภัย พร้อมรับคำติชมค่ะ ....