คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
เรื่อง "เย่ เฟย" หรือ งักฮุย ในภาษาแต้จิ๋ว เป็นเรื่องราวที่เกิดในสมัย ซ่งใต้
ก่อนหน้านั้น ราชวงค์ ซ่ง มีเมืองหลวงคือเมือง "ไคฟง (เมืองเดียวกับ เปาบุ้นจิ้น)
อยู่ทางเหนือ ต่อมาโดนเผ่า จิน รุกราน และได้จับ กษัตริย์ 2 องค์ คือ องค์พ่อ กับ องค์พี่
ของ ซ่งเกาจง เป็นตัวประกัน เย่ เฟย ยกทัพไปบุก ต้าจิน เพื่อตีดินแดนคืน และรับตัวสองกษัตริย์กลับมา
มาถึงตรงนี้ อยากขอวิเคราะห์เรื่องราวช่วงนี้ ตามความเห็นส่วนตัว
ฉินไขว้ เป็นขุนนางใกล้ชิด ซ่งเกาจง ด้วยความคิดที่กลัวว่าถ้า เย่ เฟย รบชนะนำกษัตริย์องค์พ่อกับองค์พี่
กลับมาได้ ฐานะของตนเอง ก็จะสั่นคลอน จึงต้องป้องกันสถานะของตัวเอง ส่วนข้อหา ขายชาติ นั้นอาจจะไม่ถึงขั้นนั้น
กรณีนี้คล้ายๆกับ บรรดาผู้คนที่ล้อมรอบนายก ยิ่งลักษณ์ จะมีสักกี่คนที่อยากให้ ทักษิณ ได้กลับมา
เพราะถ้า ทักษิณ ได้กลับบ้าน สถานะของตัวเองก็ต้องสั่นคลอน (คนรอบข้าง นายก ยิ่งลักษณ์ ส่วนใหญ่
เป็นพวกเกรด c ) คนพวกนี้ความคิดก็คล้าย ฉินไขว้ นั่นแหละ ไม่ถึงกับขายพรรค หรือ ขายชาติ
เพียงแต่เป็นพวกเห็นแก่ประโยชนืส่วนตนเท่านั้น
ป.ล หลายวันนี้ เห็น จขกท เขียนกระทู้ที่มีข้อมูลดีๆหลายกระทู้ เลยอยากสมัครเป็นแฟนคลับ
ป.ล 2 กด + ด้วยความเต็มใจ
ก่อนหน้านั้น ราชวงค์ ซ่ง มีเมืองหลวงคือเมือง "ไคฟง (เมืองเดียวกับ เปาบุ้นจิ้น)
อยู่ทางเหนือ ต่อมาโดนเผ่า จิน รุกราน และได้จับ กษัตริย์ 2 องค์ คือ องค์พ่อ กับ องค์พี่
ของ ซ่งเกาจง เป็นตัวประกัน เย่ เฟย ยกทัพไปบุก ต้าจิน เพื่อตีดินแดนคืน และรับตัวสองกษัตริย์กลับมา
มาถึงตรงนี้ อยากขอวิเคราะห์เรื่องราวช่วงนี้ ตามความเห็นส่วนตัว
ฉินไขว้ เป็นขุนนางใกล้ชิด ซ่งเกาจง ด้วยความคิดที่กลัวว่าถ้า เย่ เฟย รบชนะนำกษัตริย์องค์พ่อกับองค์พี่
กลับมาได้ ฐานะของตนเอง ก็จะสั่นคลอน จึงต้องป้องกันสถานะของตัวเอง ส่วนข้อหา ขายชาติ นั้นอาจจะไม่ถึงขั้นนั้น
กรณีนี้คล้ายๆกับ บรรดาผู้คนที่ล้อมรอบนายก ยิ่งลักษณ์ จะมีสักกี่คนที่อยากให้ ทักษิณ ได้กลับมา
เพราะถ้า ทักษิณ ได้กลับบ้าน สถานะของตัวเองก็ต้องสั่นคลอน (คนรอบข้าง นายก ยิ่งลักษณ์ ส่วนใหญ่
เป็นพวกเกรด c ) คนพวกนี้ความคิดก็คล้าย ฉินไขว้ นั่นแหละ ไม่ถึงกับขายพรรค หรือ ขายชาติ
เพียงแต่เป็นพวกเห็นแก่ประโยชนืส่วนตนเท่านั้น
ป.ล หลายวันนี้ เห็น จขกท เขียนกระทู้ที่มีข้อมูลดีๆหลายกระทู้ เลยอยากสมัครเป็นแฟนคลับ
ป.ล 2 กด + ด้วยความเต็มใจ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ความคิดเห็นที่ 3
แม้ว กับ อ้อ จะเป็น ปาท่องโก้ ของไทย รึเปล่า
...............................................
นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการไม่อ่าน ไม่ศึกษา ไม่วิเคราะห์ แต่ให้คนนำข้อมูลมาบิดเบือนกรอกหูแล้วคิดว่าตัวเองรู้จริง
ถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัว หรือจะรู้แต่เต็มใจก็ไม่ทราบ
ขุนนางกังฉินชื่อฉินฮุ่ยเป็นคนขายชาติ ใส่ร้ายป้ายสีงักฮุยต่อองค์ฮ่องเต้หาว่า “งักฮุยนั้นมักใหญ่ใฝ่สูง คิดการณ์ใหญ่จะก่อกบฏ
ล้มล้างราชสำนัก” (ขุ่นพระ !!! คุ้นๆ ไหม)
เมื่อมีขุนนางทักท้วง และถามหาหลักฐาน ฉินฮุ่ยก็ตอบว่า "莫须有" ซึ่งแปลว่า "อาจจะมีก็ได้" หรือ "ไม่ต้องมี"
ซึ่งภายหลังกลายเป็นศัพท์มีความหมายว่า การให้ร้ายผู้อื่นโดยปราศจากหลักฐาน (ดินแดนที่ไหนน้า ลอกมาใช้ทั้งดุ้น)
ถึงแม้งักฮุยจะเสียชีวิตไป แต่ผู้คนส่วนมากและคนรุ่นหลังต่างรู้ว่าความจริงคืออะไรและยกย่องงักฮุย ในขณะที่คนขายชาติ
ตัวจริง ถึงตายไปแล้ว คนก็ยังประนามไม่จบสิ้น
หากได้แต่ฟัง ไม่รู้เรื่องทั้งหมดจริงๆ ไม่คิดอย่างเปิดใจ ก็จะเห็นงามตามขั้นตอนที่ฉินไขว้ (ฉินฮุ่ย) ใส่ร้าย ว่างักฮุยขายชาติ
หากติดตามความจริงโดยตลอด ก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้ว จุดจบของคนอิจฉาริษยาใส่ร้ายป้ายสีเป็นอย่างไร ใครกันแน่คือปาท่องโก๋
.........................................................
ปล. ขอบคุณค่ะ สำหรับกระทู้ดีๆ แบบนี้ ชอบอ่านมากๆ
แม้ว กับ อ้อ จะเป็น ปาท่องโก้ ของไทย รึเปล่า
...............................................
นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการไม่อ่าน ไม่ศึกษา ไม่วิเคราะห์ แต่ให้คนนำข้อมูลมาบิดเบือนกรอกหูแล้วคิดว่าตัวเองรู้จริง
ถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัว หรือจะรู้แต่เต็มใจก็ไม่ทราบ
ขุนนางกังฉินชื่อฉินฮุ่ยเป็นคนขายชาติ ใส่ร้ายป้ายสีงักฮุยต่อองค์ฮ่องเต้หาว่า “งักฮุยนั้นมักใหญ่ใฝ่สูง คิดการณ์ใหญ่จะก่อกบฏ
ล้มล้างราชสำนัก” (ขุ่นพระ !!! คุ้นๆ ไหม)
เมื่อมีขุนนางทักท้วง และถามหาหลักฐาน ฉินฮุ่ยก็ตอบว่า "莫须有" ซึ่งแปลว่า "อาจจะมีก็ได้" หรือ "ไม่ต้องมี"
ซึ่งภายหลังกลายเป็นศัพท์มีความหมายว่า การให้ร้ายผู้อื่นโดยปราศจากหลักฐาน (ดินแดนที่ไหนน้า ลอกมาใช้ทั้งดุ้น)
ถึงแม้งักฮุยจะเสียชีวิตไป แต่ผู้คนส่วนมากและคนรุ่นหลังต่างรู้ว่าความจริงคืออะไรและยกย่องงักฮุย ในขณะที่คนขายชาติ
ตัวจริง ถึงตายไปแล้ว คนก็ยังประนามไม่จบสิ้น
หากได้แต่ฟัง ไม่รู้เรื่องทั้งหมดจริงๆ ไม่คิดอย่างเปิดใจ ก็จะเห็นงามตามขั้นตอนที่ฉินไขว้ (ฉินฮุ่ย) ใส่ร้าย ว่างักฮุยขายชาติ
หากติดตามความจริงโดยตลอด ก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้ว จุดจบของคนอิจฉาริษยาใส่ร้ายป้ายสีเป็นอย่างไร ใครกันแน่คือปาท่องโก๋
.........................................................
ปล. ขอบคุณค่ะ สำหรับกระทู้ดีๆ แบบนี้ ชอบอ่านมากๆ
แสดงความคิดเห็น
🍂🍂🍂🍂เทพสงครามงักฮุย : ฉินไขว้ผู้ขายชาติ (ตำนานปาท่องโก๋)🍂🍂🍂🍂
Credit : ไชน่าทรานสเลท > Article
เทพแห่งความภักดี : งักฮุย (ตำนานปาท่องโก๋) Date : 2013-04-24 16:30:15
รูปปั้นฉินไขว้และภรรยา ข้างศาลเทพเจ้างักฮุยที่คนสร้างไว้ถ่มน้ำลายใส่
วีรกรรมอันหาญกล้าของขุนพลงักฮุยเป็นที่โจษขานไปทั่ว ด้วยคุณธรรมความรักชาติ และผลงานการรบและการวางกลยุทธ 126 ครั้งโดยไม่เคยแพ้แม้แต่ครั้งเดียว การเสียชีวิตของงักฮุยทำให้ชาวซ่งที่มีกำลังใจว่าจะได้กู้ชาติกู้แผ่นดินคืนมาต้องพังครืนพริบตา หลังจากงักฮุยตาย ต้าซ่งก็ทำการเจรจาสงบศึกกับต้าจิน และยอมจ่ายค่าตอบแทนมากมาย ทั้งที่แต่เดิมเป็นฝ่ายได้เปรียบจากการบุกยึดหัวเมืองมากมายทางเหนือ
ชาวบ้านที่รู้ถูกผิดดีชั่ว ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับการตัดสินใจของอัครเสนาบดี (เทียบเท่านายก) จึงยังรู้สึกเจ็บปวด เป็นเดือดเป็นแค้นแทนขุนพลผู้ที่เสียสละทั้งชีวิตเพื่อการกอบกู้บ้านเมือง แต่กลับถูกกังฉินอย่างฉินไขว้ใส่ร้ายป้ายสี ให้ร้ายจนต้องเสียชีวิต แต่ก็จนใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะฉินไขว้มีอำนาจอยู่ล้นมือ จึงได้เอาแป้งมาปั้นเป็นเส้น 2 เส้นแล้วบีบติดกัน สมมติว่าเป็น “ฉินไขว้ 2 ผัวเมีย” ลงไปทอดในกระทะน้ำมันเดือด แล้วเอามากัดกินเพื่อระบายความแค้น คนอื่น ๆ เห็นเข้าก็เกิดอารมณ์ร่วม พากันทอดขนมแป้ง 2 ชิ้นนี้กินกัน ปาท่องโก๋นี้ชาวแต้จิ๋วเรียกว่า “อิ่วจาก้วย” ในเสียงจีนกลางคือ “โหยวจ้าไขว้” ซึ่งหมายถึงน้ำมันทอดฉินไขว้ จนกลายเป็นตำนานปาท่องโก๋ที่โจษจันกันมาจนถึงปัจจุบันนี้
เห็นได้ว่าคนพาลสันดานชั่ว คนเห็นแก่ลาภยศ ทรยศบ้านเมืองแม้จะได้ดีเพียงชั่วขณะ แต่ก็จะถูกผู้คนสาปแช่ง ในขณะที่คนดีแม้จะต้องทนถูกคนชั่วรังแก ทนรับความอัปยศเพียงชั่วขณะ แต่สุดท้ายความดีก็จะเป็นที่ประจักษ์ชัดในภายหลัง และได้รับการยกย่องสรรเสริญเสียยิ่งกว่าคนดีที่ไม่พบเจอการทดสอบเคี่ยวกรำ
ในหน้าประวัติศาสตร์ หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดงักฮุยจึงยอมถอนทัพ ทั้งที่กำลังจะรุกไปถึงเมืองไคฟง และเหตุใดฮ่องเต้ซ่งเกาจงซึ่งเป็นฮ่องเต้ในขณะนั้นต้องส่งป้ายทองอาญาสิทธิ์มากถึง 12 ป้ายเรียกตัวท่านงักฮุยกลับมาทันที และยอมเจรจากับต้าจินทั้งที่ตนเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ การวิเคราะห์เรื่องนี้ จะยิ่งทำให้เห็นถึงความคดโกงในจิตใจคน และความจงรักภักดีของท่านงักฮุยมากยิ่งขึ้น
การที่ฮ่องเต้ซ่งเกาจงต้องเรียกตัวงักฮุยกลับมีอยู่หลายเหตุผล ด้านหนึ่งฮ่องเต้ซ่งเกาจงเคยเห็นความพ่ายแพ้ของราชวงศ์ซ่งเหนือที่ไม่อาจต่อต้านกองทัพต้าจินได้ จึงเลือกเจรจาอ่อนข้อให้ต่างชาติก่อนเสมอ บวกกับฉินไขว้เป็นคนสนิทคอยเพ็ดทูลว่างักฮุยมีใจออกห่าง ทำให้หวั่นไหว อีกทั้งยามนั้นท่านงักฮุยคุมกำลังถึง 3 ใน 5 ของราชวงศ์ซ่งใต้ ซึ่งโดยปกติโยบายต้าซ่งไม่อยากให้แม่ทัพมีอำนาจมากเกินไปอยู่แล้ว จึงยอมทำตามข้อเสนอของฉินไขว้
ส่วนฉินไขว้เอง มีข้อน่าสงสัยหลายประการ ว่าภายหลังได้กลายเป็นคนทรยศขายชาติ เป็นไส้ศึกให้กับต้าจิน ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ทางครอบครัวของเขากับต้าจิน รวมไปถึงในอดีตสมัยอยู่ราชวงศ์ซ่งเหนือ เคยเสนอให้รบกับต้าจิน แต่หลังจากที่เคยถูกปล่อยตัวจากการที่ถูกต้าจินจับกุมไป ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเลือกจะเจรจาท่าเดียว ที่สำคัญคือการให้ร้ายขุนพลใหญ่ที่ต่อต้านข้าศึก และกำลังจะตีชิงบ้านเมืองกลับมา
ทั้งที่งักฮุยไม่มีทางเป็นกบฏอย่างที่ฉินไขว้ใส่ร้ายเลย ตลอดชีวิตคิดเพียงแต่จะช่วยเหลืออดีตฮ่องเต้ เชื้อพระวงศ์ ที่ถูกจับกุมไป และกอบกู้บ้านเมือง แผ่นดินเกิดของตนเองกลับมา เห็นได้จากชั่วชีวิตของงักฮุยจะกินอยู่แบบทหารเลว ใส่แต่ผ้าเนื้อหยาบ ครั้งหนึ่งที่ภรรยาของงักฮุยเคยนำผ้าต่วนมาใส่ งักฮุยก็กล่าวกับภรรยาว่า “ฮองเฮากับพระสนมยากลำบากอยู่ทางเหนือ (ไม่มีโอกาสได้ใส่เสื้อผ้าเนื้อดี) หากจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ก็อย่าได้ใส่เนื้อผ้าเนื้อดีเช่นนี้”
ครั้งหนึ่งซ่งเกาจงเคยพระราชทานบ้านหลังใหญ่ให้ท่าน แต่ท่านกลับปฏิเสธโดยกล่าวว่า “ศัตรูทางเหนือยังไม่กำจัด ไหนเลยจะคิดเรื่องบ้านได้” หรืออย่างในครั้งที่แม่ทัพซ่งนามว่าอู๋เจีย ใช้เงินทองจำนวนมากในการหาสาวงามมามอบให้ท่าน ท่านกลับหาวิธีเลี่ยงโดยการหันไปกล่าวกับสตรีผู้นั้นว่า “อยู่บ้านข้าต้องใส่เสื้อผ้าหยาบ กินอาหารหยาบ (อาหารทหารชั้นต่ำ) หากทนอยุ่ร่วมทุกข์ร่วมสุขได้ ก็อยู่เถิด” เมื่อสตรีนางนั้นไม่ตอบ จึงให้คนไปส่งตัวกลับ จากนั้นพอมีคนมาถามว่า ไม่กลัวทำให้แม่ทัพอู๋เจียเสียน้ำใจหรือ? งักฮุยกลับตอบว่า “ความอัปยศของบ้านเมืองยังไม่ชำระ แม่ทัพใหญ่ไหนเลยจะมัวสุขสบายได้”
ไม่เพียงเท่านั้น ในขณะที่มารดาป่วย ท่านงักฮุยก็คอยชิมยา ต้มยาให้ดื่มด้วยตนเอง เมื่อมารดาเสียชีวิต ก็เดินเท้าเปล่าแบกโลงของมารดาไปนับพันลี้เพื่อไปฝัง ท่านเคยกล่าวว่า “หากภายในมิอาจรักษาธรรมแห่ง (กตัญญู ) ปรนนิบัติบุพการีได้ ภายนอกไหนเลยจะรักกษัตริย์ ภักดีต่อบ้านเมืองได้”
ใจงักฮุยมีเพียงคำว่ากตัญญู ภักดี มัธยัสถ์ รักชาติอยู่ตลอด บำเหน็จรางวัลที่ได้จากผลงานการรบ ก็นำไปแบ่งแจกจ่ายกับทหารโดยไม่เก็บเอาไว้เอง ทั้งยังมีความกรุณาปราณีต่อชาวบ้าน ไปทำศึกที่ใด คำสั่งเด็ดขาดของทัพตระกูลเยวี่ยก็คือ “หนาวตายไม่รื้อบ้าน หิวตายไม่ปล้นชิง” หมายถึงต่อให้หนาวตายก็ไม่รื้อบ้านชาวบ้านมาทำฟืน ต่อให้หิวตายก็ต้องไม่ปล้มสดมภ์ชาวบ้าน
ส่วนการที่งักฮุยไม่ยอมฝืนคำสั่งของฮ่องเต้ ด้านหนึ่งเพื่อเป็นการรักษากฎหมายบ้านเมืองให้ศักดิ์สิทธิ์ อีกด้านเป็นเพราะไม่ต้องการให้เกิดสงครามภายใน จนต้าจินฉวยโอกาส ซึ่งอาจทำให้ต้าซ่งต้องสิ้นชาติ เพราะหากขัดคำสั่ง ฮ่องเต้จะต้องตราหน้าว่าเป็นกบฏและส่งกองทัพมาโจมตี เมื่อนั้นต่อให้งักฮุยไม่ต้องการรบกับชาวฮั่นด้วยกัน แต่ทหารจะต้องไม่ยอมปล่อยให้ใครทำร้ายงักฮุยได้ ฉะนั้นแม้รู้ว่าต้องกลับไปตาย ก็ยังยืนยันกลับไป
คุณธรรมอันเป็นที่ประจักษ์ แม้จะถูกใส่ร้าย แต่ที่สุดเมื่อผ่านไป 21 ปีหลังจากเสียชีวิต ในปีค.ศ.1162 เมื่อฮ่องเต้ซ่งเซี่ยวจงขึ้นครองราชย์ ได้มีการรื้อฟื้นคดีของงักฮุยขึ้นมาไต่สวนใหม่ และได้ล้างมลทิน อวยยศตามหลังให้เป็นเอ้ออ๋อง และพระราชทานอาสัญนาม (นามหลังตาย) ว่าขุนพลอู่มู่ จากนั้นมีการสร้างสุสานให้ที่ทะเลสาบซีหู หังโจว และตั้งศาลบูชาเทพเจ้าเยวี่ยเฟย (งักฮุย) ให้คนสักการะบูชา ภายหลังประชาชนได้สร้างรูปปั้นโลหะของฉินไขว้ ภรรยา และสมุนทั้ง 2 เอาไว้ข้าง ๆ ศาลเพื่อให้คนที่เดินออกมาจากการสักการะเทพเจ้างักฮุย ได้ถ่มน้ำลายใส่เป็นการระบายความแค้นต่อตระกูลขายชาติและลูกสมุน
เพิ่มเกร็ดของงักฮุย
กองทัพของงักฮุยจึงมีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง และเมื่อประกอบกับความรู้ความสามารถในด้านสงครามของงักฮุยแล้วก็ทำให้ในการรับทุกครั้งกับชนเผ่าจินนั้น กองทัพงักฮุยได้รับชัยชนะอยู่เสมอๆ จนพวกจินนั้นเกิดความเกรงกลัวอย่างมาก จนกระทั่งมีคำกล่าวกันว่า "โยกภูเขานั้นง่าย คลอนทัพงักฮุยนั้นยากยิ่ง"
---คนเก่งมีความสามารถไม่สามารถมีที่ยืนในสังคมแห่งความริษยาและดัดจริตได้ ไม่ว่าจะยุคใดก็ตาม---
ภาพประกอบด้านล่างไม่เกี่ยวกับเนื้อหาน้าา