ผมเป็นคนชอบเอาแต่ใจตัวเอง (แต่ต้องเอาแต่ใจในเรื่องที่ต้องทำตามใจคนอื่น)
พูดง่ายๆ ก็คือผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคนอื่น มากกว่าตัวเองนั่นแหล่ะ
ดังนั้นผมจึงอยากจะเริ่มต้นกระทู้นี้ด้วยการพูดถึงตัวเองก่อนนะคับ
และเมื่อเป็นการพูดถึงตัวเอง ดังนั้นผมจะพยายามทำให้มันสั้นที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้นะคับ
...ผมเป็นคนเชียงใหม่ครับ แต่มาทำงานในกรุงเทพฯ ปีนี้ก็เข้าปีที่ 2 แล้ว
เป็นเรื่องตลกนะครับ
ผมไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ต้องมาอยู่ในเมืองที่วุ่นวายสุดๆ
ผมไม่ชอบความแออัด แต่กลับได้มาอยู่ในเมืองที่ถ้ารถติด ถือเป็นเรื่องปกติ
ผมเป็นคนเก็บตัว แต่ก็ดันมาแชร์เรื่องของตัวเองให้ใครต่อใครได้อ่าน
ผมไม่ชอบการรอคอย แต่ต้องรอ อะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง
และที่น่าตลกที่สุดก็คือ ผมเป็นคนลำดับเรื่องราวไม่เป็น แต่ต้องมาเล่าเรื่องให้คนอ่านในกระทู้นี้
ถ้าอ่านกันแล้วไม่เข้าใจ ไม่ต้องโทษใครทั้งนั้นครับ (ผมเองนี่แหล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
เริ่มเลยแล้วกันครับ ด้วยความที่ผมเป็นลูกชายคนเดียว ดังนั้นทุกสิ่ง ทุกอย่าง ผมล้วนได้มาแบบง่ายๆ
ทั้งพ่อแม่ ญาติๆ ลุง ป้า น้า อา ต่างก็พากันเอาอกเอาใจ
ถ้าอยากได้อะไรก็แค่ทำหน้ายู่ววว์ ไม่นานก็ได้ตามต้องการแล้ว
ผมจึงติดนิสัย เอาแต่ใจ มาตั้งแต่เด็ก โตมาเป็นวัยรุ่น ยังสอบติดโรงเรียนชื่อดัง (โรงเรียนที่คนค่อนจังหวัดอยากเรียน)
จึงยิ่งมีแต่คนชื่นชมและเอาอกเอาใจผมเข้าไปใหญ่ ที่สอบติดไม่ใช่เพราะเรียนเก่งอะไรหรอกนะครับ
ผมอาศัยดวง บวกการเก็งข้อสอบที่แม่นยำ และลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยพลาด ทำให้สอบติดมาได้ ฮ่า ฮ่า
อันนี้คือเรื่องจริง ผมไม่ได้หมายความว่า โรงเรียน ที่นี่ไม่มีคุณภาพนะครับ
ตรงกันข้ามเลยครับ เป็นโรงเรียนที่สอนให้เด็กมีความรับผิดชอบมากๆ
แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบทะเล แต่รอบๆ บ้านดันมีแต่ภูเขา จึงทำให้หลังจากจบมัธยม
ผมเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้หาดบางแสน
เรื่องราวต่างๆ เริ่มจากที่นี่แหล่ะครับ
...เมื่อวันที่ผมรู้ว่า ผมได้เรียนที่นี่ ผมดีใจมาก ซึ่งตรงกันข้ามกับคุณแม่ที่เสียใจมาก (สงสัยเป็นห่วงผม)
วันมาสอบสัมภาษณ์ ผมแทบจะจำหน้าใครไม่ได้ จำได้บางคน และ 1 ในนั้นคือคนที่ผมจะพูดถึงในกระทู้นี้ครับ
ผมเจอเค้าวันสัมภาษณ์ และก็ได้มาเป็นเพื่อนสนิทกัน แถมสนิทกันมากซะด้วยครับ
จะไปไหน จะมาไหน เป็นต้องเห็นผม กับเพื่อนคนนี้ไปด้วยกันตลอด (จนมีคนล้อว่าเป็นผัวเมียกัน)
"ผัวเมีย" คำๆนี้มันมีที่มานะครับ แต่อย่าคิดถึงเรื่องการ !@#%#@$#^^@# กันแบบนั้นนะครับ เรื่องแบบนั้นไม่มี
เค้าเป็นคนรักนวลสงวนตัวครับ เก็บรักษาของสงวนอย่างดีมาตลอด แต่คำว่า "ผัวเมีย" นั้นที่มามันคือ อย่างที่บอกว่าเราสนิทกันมาก
ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แล้วต่างคนต่างก็ไม่มีแฟน (นอกเรื่องนิดหน่อย ที่จริงผมเคยไปแอบชอบผู้หญิงคนนึง ซึ่งเป็นเพื่อนกัน แต่ก็แห้วคับ) เพราะต่างคนต่างไม่มีแฟน จึงทำให้ ถูกล้อว่าเราเป็นผัวเมียกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า แต่ผมก็ไม่โกรธนะครับ รู้สึกชอบด้วยซ้ำ
หลังจากเรียนจบ ก็แยกย้ายกันทำงาน เริ่มแรกผมได้ทำงานที่เชียงใหม่
แต่เค้าได้ทำงานที่ชลบุรี และก็ย้ายมาทำที่กรุงเทพฯ ครับ ระหว่างนั้นก็ได้ติดต่อ พูดคุยกันบ้างนานๆ ที
เค้าเป็นคน อัธยาศัยดีครับ ยิ้มง่าย ผมแกล้งก็ไม่เคยโกรธ แต่ถ้าผมโกรธเค้าต้องเป็นคนง้อคับ (เพราะผมง้อใครไม่เป็น) เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดมา
และเป็นเพราะเพื่อนคนนี้แหล่ะ ที่ทำให้ผมตัดสินใจลงมาหางานทำที่กรุงเทพฯ
ผมมาหางานทำให้ไกลบ้านด้วยความเอาแต่ใจของตัวเองเหมือนเดิม ซึ่งเหตุผลเพราะ อยากมาทำงานใกล้ๆ เค้า
ความรู้สึกว่าผมชอบเค้า มันเกิดขึ้นตอนไหน ผมไม่รู้
พอผมรู้ตัวอีกที ผมก็ลงมาอยู่ กทม. แล้วครับ
(ถ้าเล่นเกมส์ต้องบอกว่าผมวาร์ปมาแบบไม่รู้ตัว (แต่รู้ใจตัวเองนะคับ))
ผมมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ได้คุยกับเค้าเยอะขึ้น มีปัญหาก็ ส่งข้อความคุยกันผ่านเฟสบุ๊ค
มีเรื่องราวอะไร ก็แชร์ผ่านกันไปมา (โดยไม่บอกว่าผมกำลังพยายามบอกเค้าอยู่) แต่เหมือนเค้าจะรู้ตัวนะครับ
9 ปี ที่รู้จักกันมา ผมก็ไม่เคยถาม ไม่เคยอยากรู้เรื่องนี้
แต่แล้วมันก็ถึงวันที่ผมเริ่มเอาแต่ใจมากขึ้น ผมเริ่มต้องการความชัดเจนระหว่างผมกับเค้า
เค้าจึงบอกให้ผมเรียนรู้การรอคอยก่อน ไม่คู่กันวันนี้ วันข้างหน้าก็ไม่แน่
แต่ผมก็ยังเซ้าซี้อยู่ทุกครั้งที่ผมเริ่มรู้สึกหวั่นไหวมากๆ
เค้าไม่ชอบผูกมัดใคร เค้าไม่อยากให้เราใกล้กันเกินไป "ใกล้ไป ไม่อยากให้ใกล้ฯ" ให้เว้นช่องว่างระหว่างเราเอาไว้ เพื่อที่จะให้ต่างคนต่างทำเรื่องราวของตัวเอง มีเวลาเป็นของตัวเอง
แต่ในทางกลับกัน ผมไม่อยากอยู่ในสถานะที่มันคลุมเครือ ผมต้องการความชัดเจน (ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็อยู่แบบนี้มาตลอด)
ผมเอาแต่ใจตัวเองมากไปรึป่าว? จะมีทางไหนที่ทำให้ผมรู้ถึงเส้นที่บอกถึงความสัมพันธ์ของผมกับเค้าได้บ้าง
ทุกวันนี้เวลาคุยกัน มักจะคุยกันได้ไม่นาน
ผมก็จะตัดบทสนทนาด้วยการบอกว่า ไปเระ จะนอนเระ ไว้คุยกันใหม่นะ ฯลฯ
จนผมเริ่มรู้สึกห่างจากเค้ามากขึ้น ที่ต้องออกห่างไม่ใช่ ผมไม่รักเค้า
แต่เป็นเพราะผมรักเค้ามาก และรู้สึกดีกับเค้ามากขึ้นทุกวันต่างหาก
ผมกลัวว่าถ้ามากกว่านี้ผมจะถอยกลับไม่ได้ (แล้วคนที่เสียใจก็ต้องเป็นผมเอง)
ผมไม่อยากรู้สึกกลัวแบบนี้อีกแล้ว
ผมแค่อยากรู้ว่าเส้นระหว่างผมกับเค้า มันอยู่ตรงไหน
เวลานี้ผมยอมเค้าทุกอย่าง ผมกลายเป็นคนใหม่ ที่ไม่ใช่ผมคนเดิมอีกแล้ว
ผมยอมเป็น ผมรอคนอื่นได้ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะใคร
เพราะเค้าคนเดียวเท่านั้นแหล่ะ ที่เปลี่ยนผม เปลี่ยนชีวิตของผม เปลี่ยนโลกของผมไปหมด
คำถามของผมคือ ผมควรทำยังไง ไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเค้าต้องหยุดลง
ผมควรทำยังไง ถึงจะได้รู้ว่าเส้นระหว่างผมกับเค้ามันอยู่ตรงไหน?
ผมควรพูดอะไร เพื่อให้เค้าไม่ต้องจากไป?
ผมควรทำใจ และยอมรับความไม่ชัดเจนแบบนี้ต่อไปรึป่าว?
ผมรู้สึกกลืนไม่เข้า คายไม่ออก
เพราะเวลาที่ผมต้องการรู้อะไร แต่เค้ากลับไม่ยอมบอก
มันจึงทำให้ผมคิดมากกว่าเดิม คิดมากจนถึงขั้นคิดว่า เค้าอยากคายผมทิ้ง แต่ผมไม่ยอมให้คาย ด้วยซ้ำไป
ผมควรทำยังไงดีครับ?
ยาวจนจะเป็นนวนิยายได้ แต่สาบานว่ามันคือเรื่องจริง
ถ้าอ่านไม่เข้าใจตรงไหน ให้รู้ไว้นะครับว่า เป็นความด้อยปัญญาในการเล่าเรื่องของผมเอง
ความไม่ชัดเจน..บนความรู้สึกที่ชัดเจน ควรทำยังไง
พูดง่ายๆ ก็คือผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคนอื่น มากกว่าตัวเองนั่นแหล่ะ
ดังนั้นผมจึงอยากจะเริ่มต้นกระทู้นี้ด้วยการพูดถึงตัวเองก่อนนะคับ
และเมื่อเป็นการพูดถึงตัวเอง ดังนั้นผมจะพยายามทำให้มันสั้นที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้นะคับ
...ผมเป็นคนเชียงใหม่ครับ แต่มาทำงานในกรุงเทพฯ ปีนี้ก็เข้าปีที่ 2 แล้ว
เป็นเรื่องตลกนะครับ
ผมไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ต้องมาอยู่ในเมืองที่วุ่นวายสุดๆ
ผมไม่ชอบความแออัด แต่กลับได้มาอยู่ในเมืองที่ถ้ารถติด ถือเป็นเรื่องปกติ
ผมเป็นคนเก็บตัว แต่ก็ดันมาแชร์เรื่องของตัวเองให้ใครต่อใครได้อ่าน
ผมไม่ชอบการรอคอย แต่ต้องรอ อะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง
และที่น่าตลกที่สุดก็คือ ผมเป็นคนลำดับเรื่องราวไม่เป็น แต่ต้องมาเล่าเรื่องให้คนอ่านในกระทู้นี้
ถ้าอ่านกันแล้วไม่เข้าใจ ไม่ต้องโทษใครทั้งนั้นครับ (ผมเองนี่แหล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
เริ่มเลยแล้วกันครับ ด้วยความที่ผมเป็นลูกชายคนเดียว ดังนั้นทุกสิ่ง ทุกอย่าง ผมล้วนได้มาแบบง่ายๆ
ทั้งพ่อแม่ ญาติๆ ลุง ป้า น้า อา ต่างก็พากันเอาอกเอาใจ
ถ้าอยากได้อะไรก็แค่ทำหน้ายู่ววว์ ไม่นานก็ได้ตามต้องการแล้ว
ผมจึงติดนิสัย เอาแต่ใจ มาตั้งแต่เด็ก โตมาเป็นวัยรุ่น ยังสอบติดโรงเรียนชื่อดัง (โรงเรียนที่คนค่อนจังหวัดอยากเรียน)
จึงยิ่งมีแต่คนชื่นชมและเอาอกเอาใจผมเข้าไปใหญ่ ที่สอบติดไม่ใช่เพราะเรียนเก่งอะไรหรอกนะครับ
ผมอาศัยดวง บวกการเก็งข้อสอบที่แม่นยำ และลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยพลาด ทำให้สอบติดมาได้ ฮ่า ฮ่า
อันนี้คือเรื่องจริง ผมไม่ได้หมายความว่า โรงเรียน ที่นี่ไม่มีคุณภาพนะครับ
ตรงกันข้ามเลยครับ เป็นโรงเรียนที่สอนให้เด็กมีความรับผิดชอบมากๆ
แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบทะเล แต่รอบๆ บ้านดันมีแต่ภูเขา จึงทำให้หลังจากจบมัธยม
ผมเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้หาดบางแสน
เรื่องราวต่างๆ เริ่มจากที่นี่แหล่ะครับ
...เมื่อวันที่ผมรู้ว่า ผมได้เรียนที่นี่ ผมดีใจมาก ซึ่งตรงกันข้ามกับคุณแม่ที่เสียใจมาก (สงสัยเป็นห่วงผม)
วันมาสอบสัมภาษณ์ ผมแทบจะจำหน้าใครไม่ได้ จำได้บางคน และ 1 ในนั้นคือคนที่ผมจะพูดถึงในกระทู้นี้ครับ
ผมเจอเค้าวันสัมภาษณ์ และก็ได้มาเป็นเพื่อนสนิทกัน แถมสนิทกันมากซะด้วยครับ
จะไปไหน จะมาไหน เป็นต้องเห็นผม กับเพื่อนคนนี้ไปด้วยกันตลอด (จนมีคนล้อว่าเป็นผัวเมียกัน)
"ผัวเมีย" คำๆนี้มันมีที่มานะครับ แต่อย่าคิดถึงเรื่องการ !@#%#@$#^^@# กันแบบนั้นนะครับ เรื่องแบบนั้นไม่มี
เค้าเป็นคนรักนวลสงวนตัวครับ เก็บรักษาของสงวนอย่างดีมาตลอด แต่คำว่า "ผัวเมีย" นั้นที่มามันคือ อย่างที่บอกว่าเราสนิทกันมาก
ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แล้วต่างคนต่างก็ไม่มีแฟน (นอกเรื่องนิดหน่อย ที่จริงผมเคยไปแอบชอบผู้หญิงคนนึง ซึ่งเป็นเพื่อนกัน แต่ก็แห้วคับ) เพราะต่างคนต่างไม่มีแฟน จึงทำให้ ถูกล้อว่าเราเป็นผัวเมียกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า แต่ผมก็ไม่โกรธนะครับ รู้สึกชอบด้วยซ้ำ
หลังจากเรียนจบ ก็แยกย้ายกันทำงาน เริ่มแรกผมได้ทำงานที่เชียงใหม่
แต่เค้าได้ทำงานที่ชลบุรี และก็ย้ายมาทำที่กรุงเทพฯ ครับ ระหว่างนั้นก็ได้ติดต่อ พูดคุยกันบ้างนานๆ ที
เค้าเป็นคน อัธยาศัยดีครับ ยิ้มง่าย ผมแกล้งก็ไม่เคยโกรธ แต่ถ้าผมโกรธเค้าต้องเป็นคนง้อคับ (เพราะผมง้อใครไม่เป็น) เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดมา
และเป็นเพราะเพื่อนคนนี้แหล่ะ ที่ทำให้ผมตัดสินใจลงมาหางานทำที่กรุงเทพฯ
ผมมาหางานทำให้ไกลบ้านด้วยความเอาแต่ใจของตัวเองเหมือนเดิม ซึ่งเหตุผลเพราะ อยากมาทำงานใกล้ๆ เค้า
ความรู้สึกว่าผมชอบเค้า มันเกิดขึ้นตอนไหน ผมไม่รู้
พอผมรู้ตัวอีกที ผมก็ลงมาอยู่ กทม. แล้วครับ
(ถ้าเล่นเกมส์ต้องบอกว่าผมวาร์ปมาแบบไม่รู้ตัว (แต่รู้ใจตัวเองนะคับ))
ผมมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ได้คุยกับเค้าเยอะขึ้น มีปัญหาก็ ส่งข้อความคุยกันผ่านเฟสบุ๊ค
มีเรื่องราวอะไร ก็แชร์ผ่านกันไปมา (โดยไม่บอกว่าผมกำลังพยายามบอกเค้าอยู่) แต่เหมือนเค้าจะรู้ตัวนะครับ
9 ปี ที่รู้จักกันมา ผมก็ไม่เคยถาม ไม่เคยอยากรู้เรื่องนี้
แต่แล้วมันก็ถึงวันที่ผมเริ่มเอาแต่ใจมากขึ้น ผมเริ่มต้องการความชัดเจนระหว่างผมกับเค้า
เค้าจึงบอกให้ผมเรียนรู้การรอคอยก่อน ไม่คู่กันวันนี้ วันข้างหน้าก็ไม่แน่
แต่ผมก็ยังเซ้าซี้อยู่ทุกครั้งที่ผมเริ่มรู้สึกหวั่นไหวมากๆ
เค้าไม่ชอบผูกมัดใคร เค้าไม่อยากให้เราใกล้กันเกินไป "ใกล้ไป ไม่อยากให้ใกล้ฯ" ให้เว้นช่องว่างระหว่างเราเอาไว้ เพื่อที่จะให้ต่างคนต่างทำเรื่องราวของตัวเอง มีเวลาเป็นของตัวเอง
แต่ในทางกลับกัน ผมไม่อยากอยู่ในสถานะที่มันคลุมเครือ ผมต้องการความชัดเจน (ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็อยู่แบบนี้มาตลอด)
ผมเอาแต่ใจตัวเองมากไปรึป่าว? จะมีทางไหนที่ทำให้ผมรู้ถึงเส้นที่บอกถึงความสัมพันธ์ของผมกับเค้าได้บ้าง
ทุกวันนี้เวลาคุยกัน มักจะคุยกันได้ไม่นาน
ผมก็จะตัดบทสนทนาด้วยการบอกว่า ไปเระ จะนอนเระ ไว้คุยกันใหม่นะ ฯลฯ
จนผมเริ่มรู้สึกห่างจากเค้ามากขึ้น ที่ต้องออกห่างไม่ใช่ ผมไม่รักเค้า
แต่เป็นเพราะผมรักเค้ามาก และรู้สึกดีกับเค้ามากขึ้นทุกวันต่างหาก
ผมกลัวว่าถ้ามากกว่านี้ผมจะถอยกลับไม่ได้ (แล้วคนที่เสียใจก็ต้องเป็นผมเอง)
ผมไม่อยากรู้สึกกลัวแบบนี้อีกแล้ว
ผมแค่อยากรู้ว่าเส้นระหว่างผมกับเค้า มันอยู่ตรงไหน
เวลานี้ผมยอมเค้าทุกอย่าง ผมกลายเป็นคนใหม่ ที่ไม่ใช่ผมคนเดิมอีกแล้ว
ผมยอมเป็น ผมรอคนอื่นได้ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะใคร
เพราะเค้าคนเดียวเท่านั้นแหล่ะ ที่เปลี่ยนผม เปลี่ยนชีวิตของผม เปลี่ยนโลกของผมไปหมด
คำถามของผมคือ ผมควรทำยังไง ไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเค้าต้องหยุดลง
ผมควรทำยังไง ถึงจะได้รู้ว่าเส้นระหว่างผมกับเค้ามันอยู่ตรงไหน?
ผมควรพูดอะไร เพื่อให้เค้าไม่ต้องจากไป?
ผมควรทำใจ และยอมรับความไม่ชัดเจนแบบนี้ต่อไปรึป่าว?
ผมรู้สึกกลืนไม่เข้า คายไม่ออก
เพราะเวลาที่ผมต้องการรู้อะไร แต่เค้ากลับไม่ยอมบอก
มันจึงทำให้ผมคิดมากกว่าเดิม คิดมากจนถึงขั้นคิดว่า เค้าอยากคายผมทิ้ง แต่ผมไม่ยอมให้คาย ด้วยซ้ำไป
ผมควรทำยังไงดีครับ?
ยาวจนจะเป็นนวนิยายได้ แต่สาบานว่ามันคือเรื่องจริง
ถ้าอ่านไม่เข้าใจตรงไหน ให้รู้ไว้นะครับว่า เป็นความด้อยปัญญาในการเล่าเรื่องของผมเอง