สวัสดีค่ะทุกคน
ปีได้มีโอกาสไปสมัคร The Voice Season 4 มาค่ะ เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ค่ะ
จริง ๆตั้งใจอยากไปสมัครตั้งแต่วันแรก แต่งานเข้าค่ะ ต้องไปต่างจังหวัด ได้มาสมัครอีกทีก็วันสุดท้ายเลย
วันที่ 11 มิ.ย เราไปถึงก็ 10 โมงกว่า ๆ ได้ เดินออกจากสถานีรถไฟฟ้า เข้าไปที่ศูนย์ประชุมฯสิริกิตติ์ แบบว่าแปลกใจมาก ๆ เลย คนเยอะมาก ๆ ทุกคนก็มารอคิวกัน มีเจ้าหน้าที่เรียกให้ไปรับบัตรคิวค่ะ บัตรคิวเราสีขาว คิวที่ 600 กว่า ๆ พอรับเสร็จเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ให้กลับได้เลยนะคะ
เราก็เฮ้ย! ไรอ่า เพิ่งมานะ แบบว่าอุตสาห์ขุดตัวเองจากที่นอนมาเลย เราก็แบบว่าเราฟังผิดเปล่าเนี่ย แต่น้องเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ศิลปินที่ได้บัตรคิวสีขาวให้มายื่นเอกสารอีกทีพรุ่งนี้นะคะ เราก็ได้แต่เดินคอตกกลับบ้านไป ย้อมใจด้วยหมอนทอง 1 แพค (เกี่ยวมั้ย?)
วันที่ 12 มิ.ย เราไปถึง 10 โมงกว่า ๆ เช่นเคย วันนี้คนเยอะกว่าเมื่อวานอีก เพราะวันนี้เป็นวันออดิชั่นวันแรก ก็มีศิลปินทั้งนั่ง ทั้งยืนรออยู่เต็มไปหมดเลยค่ะ ถามว่ารู้ได้ยังไงว่าเขามาออดิชั่น อันนี้ไม่ยากค่ะ เพราะศิลปินเขามีความแตกต่างจากเรามากทีเดียวอ่าค่ะ บางคนก็มาพร้อมกีตาร์คู่ใจ ผู้ชายบางคนก็ไว้ผมยาว บางคนก็แต่งตัวแบบนักร๊อง นักร้อง บรรยากาศแบบนี้คงต้องมาเห็นเองอ่าค่ะ เพราะบรรยายออกมาได้ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ แต่ก็มีบางคนที่ดูธรรมด๊า ธรรมดาเหมือนเรา หน้าไม่ให้แต่ใจมันรัก ให้ทำไงละเนอะ
สรุปว่าคิวของเราตั้งแต่ 12.00 - 13.00 น ค่ะ ก็ยังโอเคร รอไม่นานเท่าไหร่ แต่เหลือบไปดูคิวสุดท้าย 2,000 กว่า รอบเวลา 6 โมงเย็น OMG สุดยอด บอกเลยว่าสงสารเจ้าหน้าที่ทุกท่านมากค่ะ เพราะทุกคนทำงานกันหนักจริง ๆ
เมื่อถึงคิว เราก็ไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารพร้อมกับประทับตรา The Voice เป็นหลักฐานว่าเราเป็นตัวจริง เสียงจริง 555 จากนั้นก็ไปนั่งรอเพื่อขึ้นไปให้เจ้าหน้าที่เขาคีย์ข้อมูล ระหว่างที่รอ เนื่องจากค่อนข้างนาน ก็มีเจ้าหน้าที่หนุ่มน้อยน่ารัก (คึกคักเวลาลงเล่น อิอิ) มาขอรอยยิ้มเป็นพัก ๆ (คงกลัวปากเราเป็นตะคริว) ก็เข้าใจนะคะ เพราะรอนาน บางคนก็หน้าบูด หน้าบึ้ง พอมีเจ้าหน้าที่มาเรียกรอยยิ้มก็ทำให้เราอารมณ์ดีกันไป (เราคนเดียวเปล่าก็ไม่รู้นะ) สักพักนึง เจ้าหน้าที่ก็เดินนำขึ้นไปชั้น 2 เพื่อรอคิวเรียกไปคีย์ข้อมูลเข้าระบบ สนุกมากเลยค่ะ เหมือนเล่นงูกินหางยังไงก็มิรู้ เนื่องจากเรานั่งกันเป็นคิว เวลามีคนลุกจากที่นั่งไป ทุกคนก็ต้องกระเถิบกันไป ตามคิวตัวเองค่ะ (โอ๋เอ๋ เค้าไม่ได้บ่นจริง ๆ น้า)
เมื่อเล่นงูกินหางมาได้สักพัก เราก็ถูกเรียกไปคีย์ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ 2 ต่อ 2 ค่ะ (ได้ข่าวว่าเขานั่งเรียงกันเป็นแผงเลยนะ) ก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยคีย์ข้อมูลที่เรากรอกไว้ในใบสมัคร แล้วมันจะขึ้นที่จอที่อยู่ด้านหน้าเรา เราก็เช็คความถูกต้องไปค่ะ ท้ายสุดเขาก็จะปริ้นบัตรมา 2 ใบค่ะ ให้เราเซ็นต์ชื่อ (ไฮโซมาก มีบาร์โค๊ตด้วย) เขาเก็บไว้ใบนึง เราก็เก็บไว้ใบนึง ในบัตรนั้นจะมีข้อมูลของเรา พร้อมทั้งวัน เวลาและห้องที่เราจะเข้าไปออดิชั่นค่ะ เมื่อเสร็จ เราก็ไปสู่ขั้นตอนสุดท้าย การถ่ายรูปค่ะ
ระหว่างที่เราเข้าแถวเพื่อรอถ่ายรูป เจ้าหน้าที่ก็มาขอรอยยิ้มเป็นพัก ๆ ค่ะ เพื่อให้คนไทยใจไม่ร้อนตามอากาศค่ะ ตอนถ่ายรูปเราก็ต้องถือป้ายเลขของตัวเองด้วยนะคะ เลขเรา 7,000 กว่าๆค่ะ (ทำให้นึกถึงนักโทษ ตอนถ่ายรูปเข้าเรือนจำไงก็ไม่รู้อ่า) จากนั้นก็ยิ้มค่ะ ยิ้มให้ปากมันไปถึงรูหูก็ไม่มีใครว่าอะไรค่ะ 555 (แต่อาจได้เปลี่ยนจาก The Voice ไปลง Believe it of not แทนค่ะ)
โชคดีเหมือนกันค่ะ ที่ได้มาวันนี้ เพราะอีกฝั่งนึงก็เป็นการออดิชั่นของผู้สมัครในวันแรก ระหว่างรอ ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาให้ข้อมูล พร้อมเสนอแนะแนวทางในการออดิชั่นให้กับศิลปินที่กำลังจะถึงคิวออดิชั่น เราเดินผ่านห้องออดิชั่นห้องนึง เขาคิดป้ายไว้ประมาณว่า "ให้คิดซะว่ากรรมการเป็นเพื่อนของคุณ และคิดซะว่าการร้องเพลงก็เหมือนกับการขอเบอร์หญิง ที่ทำให้เขาประทับใจที่สุดในเวลาอันรวดเร็ว" เราชอบมากเลย แต่เท่าที่ดูเจ้าหน้าที่ทุกคนใจดี น่ารัก ขี้เล่น เป็นกันเองมาก ๆ และก็มาขอรอยยิ้มบ่อย ๆ ตอนแรกคิดว่าตัวเองต้องตื่นเต้นมาก ๆ แน่ ๆ เลยเวลาไปออดิชั่น แต่เห็นบรรยากาศวันนี้แล้ว มันก็ทำให้รู้สึกโล่งขึ้นนะคะ เราจะพยายามคิดว่า กรรมการก็คือเพื่อนคนนึงที่เราอยากร้องเพลงให้ฟัง ใช้เพลงแทนการพูดคุย มันก็เก๋ไก๋ไปอีกแบบนึงนะ
เราได้คิววันอาทิตย์ตอน 6 โมงเย็นค่ะ ยังไงก็จะทำให้ดีที่สุดค่ะ ฝากถึงเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้องๆ ที่ไปสมัครเกือบหมื่นคนด้วยค่ะ (ที่จริงน่าจะเกินหมื่นแล้วล่ะ ถ้ารวมทั่วประเทศ) ถ้าคุณผ่านการคัดเลือกก็ให้ถือว่าเป็นกำไรค่ะ แต่ถ้าคุณไม่ผ่านก็จงอย่าท้อ เขาให้สมัครได้ถึงอายุ 60 ปีค่ะ ถึงวันนี้ไม่ได้ เชื่อเถอะค่ะว่าวันนึงมันต้องเป็นวันของเรา ถึงจะได้ในปีที่อายุ 60 ก็ตามค่ะ 555
ประสบการณ์ครั้งแรกกับการไปสมัคร The Voice Season 4
ปีได้มีโอกาสไปสมัคร The Voice Season 4 มาค่ะ เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ค่ะ
จริง ๆตั้งใจอยากไปสมัครตั้งแต่วันแรก แต่งานเข้าค่ะ ต้องไปต่างจังหวัด ได้มาสมัครอีกทีก็วันสุดท้ายเลย
วันที่ 11 มิ.ย เราไปถึงก็ 10 โมงกว่า ๆ ได้ เดินออกจากสถานีรถไฟฟ้า เข้าไปที่ศูนย์ประชุมฯสิริกิตติ์ แบบว่าแปลกใจมาก ๆ เลย คนเยอะมาก ๆ ทุกคนก็มารอคิวกัน มีเจ้าหน้าที่เรียกให้ไปรับบัตรคิวค่ะ บัตรคิวเราสีขาว คิวที่ 600 กว่า ๆ พอรับเสร็จเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ให้กลับได้เลยนะคะ
เราก็เฮ้ย! ไรอ่า เพิ่งมานะ แบบว่าอุตสาห์ขุดตัวเองจากที่นอนมาเลย เราก็แบบว่าเราฟังผิดเปล่าเนี่ย แต่น้องเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ศิลปินที่ได้บัตรคิวสีขาวให้มายื่นเอกสารอีกทีพรุ่งนี้นะคะ เราก็ได้แต่เดินคอตกกลับบ้านไป ย้อมใจด้วยหมอนทอง 1 แพค (เกี่ยวมั้ย?)
วันที่ 12 มิ.ย เราไปถึง 10 โมงกว่า ๆ เช่นเคย วันนี้คนเยอะกว่าเมื่อวานอีก เพราะวันนี้เป็นวันออดิชั่นวันแรก ก็มีศิลปินทั้งนั่ง ทั้งยืนรออยู่เต็มไปหมดเลยค่ะ ถามว่ารู้ได้ยังไงว่าเขามาออดิชั่น อันนี้ไม่ยากค่ะ เพราะศิลปินเขามีความแตกต่างจากเรามากทีเดียวอ่าค่ะ บางคนก็มาพร้อมกีตาร์คู่ใจ ผู้ชายบางคนก็ไว้ผมยาว บางคนก็แต่งตัวแบบนักร๊อง นักร้อง บรรยากาศแบบนี้คงต้องมาเห็นเองอ่าค่ะ เพราะบรรยายออกมาได้ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ แต่ก็มีบางคนที่ดูธรรมด๊า ธรรมดาเหมือนเรา หน้าไม่ให้แต่ใจมันรัก ให้ทำไงละเนอะ
สรุปว่าคิวของเราตั้งแต่ 12.00 - 13.00 น ค่ะ ก็ยังโอเคร รอไม่นานเท่าไหร่ แต่เหลือบไปดูคิวสุดท้าย 2,000 กว่า รอบเวลา 6 โมงเย็น OMG สุดยอด บอกเลยว่าสงสารเจ้าหน้าที่ทุกท่านมากค่ะ เพราะทุกคนทำงานกันหนักจริง ๆ
เมื่อถึงคิว เราก็ไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารพร้อมกับประทับตรา The Voice เป็นหลักฐานว่าเราเป็นตัวจริง เสียงจริง 555 จากนั้นก็ไปนั่งรอเพื่อขึ้นไปให้เจ้าหน้าที่เขาคีย์ข้อมูล ระหว่างที่รอ เนื่องจากค่อนข้างนาน ก็มีเจ้าหน้าที่หนุ่มน้อยน่ารัก (คึกคักเวลาลงเล่น อิอิ) มาขอรอยยิ้มเป็นพัก ๆ (คงกลัวปากเราเป็นตะคริว) ก็เข้าใจนะคะ เพราะรอนาน บางคนก็หน้าบูด หน้าบึ้ง พอมีเจ้าหน้าที่มาเรียกรอยยิ้มก็ทำให้เราอารมณ์ดีกันไป (เราคนเดียวเปล่าก็ไม่รู้นะ) สักพักนึง เจ้าหน้าที่ก็เดินนำขึ้นไปชั้น 2 เพื่อรอคิวเรียกไปคีย์ข้อมูลเข้าระบบ สนุกมากเลยค่ะ เหมือนเล่นงูกินหางยังไงก็มิรู้ เนื่องจากเรานั่งกันเป็นคิว เวลามีคนลุกจากที่นั่งไป ทุกคนก็ต้องกระเถิบกันไป ตามคิวตัวเองค่ะ (โอ๋เอ๋ เค้าไม่ได้บ่นจริง ๆ น้า)
เมื่อเล่นงูกินหางมาได้สักพัก เราก็ถูกเรียกไปคีย์ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ 2 ต่อ 2 ค่ะ (ได้ข่าวว่าเขานั่งเรียงกันเป็นแผงเลยนะ) ก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยคีย์ข้อมูลที่เรากรอกไว้ในใบสมัคร แล้วมันจะขึ้นที่จอที่อยู่ด้านหน้าเรา เราก็เช็คความถูกต้องไปค่ะ ท้ายสุดเขาก็จะปริ้นบัตรมา 2 ใบค่ะ ให้เราเซ็นต์ชื่อ (ไฮโซมาก มีบาร์โค๊ตด้วย) เขาเก็บไว้ใบนึง เราก็เก็บไว้ใบนึง ในบัตรนั้นจะมีข้อมูลของเรา พร้อมทั้งวัน เวลาและห้องที่เราจะเข้าไปออดิชั่นค่ะ เมื่อเสร็จ เราก็ไปสู่ขั้นตอนสุดท้าย การถ่ายรูปค่ะ
ระหว่างที่เราเข้าแถวเพื่อรอถ่ายรูป เจ้าหน้าที่ก็มาขอรอยยิ้มเป็นพัก ๆ ค่ะ เพื่อให้คนไทยใจไม่ร้อนตามอากาศค่ะ ตอนถ่ายรูปเราก็ต้องถือป้ายเลขของตัวเองด้วยนะคะ เลขเรา 7,000 กว่าๆค่ะ (ทำให้นึกถึงนักโทษ ตอนถ่ายรูปเข้าเรือนจำไงก็ไม่รู้อ่า) จากนั้นก็ยิ้มค่ะ ยิ้มให้ปากมันไปถึงรูหูก็ไม่มีใครว่าอะไรค่ะ 555 (แต่อาจได้เปลี่ยนจาก The Voice ไปลง Believe it of not แทนค่ะ)
โชคดีเหมือนกันค่ะ ที่ได้มาวันนี้ เพราะอีกฝั่งนึงก็เป็นการออดิชั่นของผู้สมัครในวันแรก ระหว่างรอ ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาให้ข้อมูล พร้อมเสนอแนะแนวทางในการออดิชั่นให้กับศิลปินที่กำลังจะถึงคิวออดิชั่น เราเดินผ่านห้องออดิชั่นห้องนึง เขาคิดป้ายไว้ประมาณว่า "ให้คิดซะว่ากรรมการเป็นเพื่อนของคุณ และคิดซะว่าการร้องเพลงก็เหมือนกับการขอเบอร์หญิง ที่ทำให้เขาประทับใจที่สุดในเวลาอันรวดเร็ว" เราชอบมากเลย แต่เท่าที่ดูเจ้าหน้าที่ทุกคนใจดี น่ารัก ขี้เล่น เป็นกันเองมาก ๆ และก็มาขอรอยยิ้มบ่อย ๆ ตอนแรกคิดว่าตัวเองต้องตื่นเต้นมาก ๆ แน่ ๆ เลยเวลาไปออดิชั่น แต่เห็นบรรยากาศวันนี้แล้ว มันก็ทำให้รู้สึกโล่งขึ้นนะคะ เราจะพยายามคิดว่า กรรมการก็คือเพื่อนคนนึงที่เราอยากร้องเพลงให้ฟัง ใช้เพลงแทนการพูดคุย มันก็เก๋ไก๋ไปอีกแบบนึงนะ
เราได้คิววันอาทิตย์ตอน 6 โมงเย็นค่ะ ยังไงก็จะทำให้ดีที่สุดค่ะ ฝากถึงเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้องๆ ที่ไปสมัครเกือบหมื่นคนด้วยค่ะ (ที่จริงน่าจะเกินหมื่นแล้วล่ะ ถ้ารวมทั่วประเทศ) ถ้าคุณผ่านการคัดเลือกก็ให้ถือว่าเป็นกำไรค่ะ แต่ถ้าคุณไม่ผ่านก็จงอย่าท้อ เขาให้สมัครได้ถึงอายุ 60 ปีค่ะ ถึงวันนี้ไม่ได้ เชื่อเถอะค่ะว่าวันนึงมันต้องเป็นวันของเรา ถึงจะได้ในปีที่อายุ 60 ก็ตามค่ะ 555