ต่อจากกระทู้นี้
http://pantip.com/topic/33808639 ซึ่งเป็นการเดินทางวันแรกของพวกเรา เมื่อวานอัพไปเนตเจ๊งไป เลยมาขึ้นทู้ใหม่น่าจะดีกว่า ไปต่อกันเลยค่ะ
วันที่สอง 14 มิ.ย. 2015 วันเที่ยวๆๆๆ
วันนี้พวกเราไม่มีนัดเชียร์กีฬาอะไร เลยตั้งใจออกไปชมแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลต์ของสิงคโปร์ ตื่นเช้ามาพร้อมกับใส่เสื้อธีมสีจี๊ดจ๊าด จากนั้นไปหาอาหารเช้ารองท้องแก้หิว เช้านี้เราเลือกกินติ่มซำ ร้าน mongkok ปากซอยเกลัง 8 ซึ่งผ่านการรีวิวมาจากพันทิปแล้ว ติ่มซำก็หน้าตาทั่วๆไปเหมือนที่เห็นในบ้านเรา แต่มีรูปแบบให้เลือกน้อยกว่า รสชาดใช้ได้ทีเดียว ราคาแอบแพงนิดนึงนะ แต่ก็คุ้มค่ากับความอร่อย หยวนๆกัน พอได้

เต็มอิ่มกับติ่มซำก็เดินไปขึ้น mrt ที่สถานี Aljunied ที่เดิม ข้างทางจะมีร้านผลไม้อยู่หลายร้าน แต่ทีสะดุดตาคือ ร้านขายทุเรียน ซึ่งคนที่นี่เขาจะกินทุเรียนชนิดที่เรียกว่า เละแบบใกล้จะเน่าแล้วก็ว่าได้ เพราะกลิ่นมันอภิมหึมามหาเหม็นตึ้บกันไป 5 ซอย 10 ซอย กันเลย เล่นเอาคนไม่กินทุเรียนอย่างเราเวียนหัวแทบจะอ้วกซะให้ได้ ลูกไหนที่ไม่เละ คนขายก็จะเอาทุ่มลงที่พื้นปูนหลายๆ ครั้ง ก่อนจะแกะให้ลูกค้า ส่วนลูกค้า ก่อนจะซื้อก็จะหยิบขึ้นมาดมจนเป็นที่พอใจก่อนค่อยยื่นให้พ่อค้าแกะให้ และไม่รู้ว่าคนที่นี่ไม่นิยมหมอนทองหรืออย่างไรไม่ทราบ เพราะทุเรียนที่เขากินถ้าไม่ใช่พันธุ์ชะนีก็น่าจะเป็นพันธุ์กระดุม ซึ่งเป็นลูกเล็กๆ ขนาดใหญ่กว่ากำปั้นนิดเดียว
ถนนเกลังฝั่งซอยคี่ ช่วงใกล้จะถึงทางแยกไปสถานี Aljunied เราก็จะได้พบกับร้านขายยา.... หน้าตาแบบนี้ นับสิบร้าน รีบเดินดีกว่า

พวกเรานั่ง mrt ไปลงสถานี Raffles place ออกจากสถานี เดินไปทางโรงแรม Fullerton แล้วเดินไปลงอุโมงค์ใต้ดินในโรงแรม Fullerton เพื่อข้ามไปฝั่ง รร.ฟูเลอร์ตัน วัน ไปหาเมอร์ไลออนกัน ซึ่งหากไม่ใช้ทางข้ามใต้ดินนี้ จะต้องไปข้ามถนนไกลมากๆๆๆ โชคดีที่พวกเราหาข้อมูลมาก่อน เลยสามารถข้ามไปหาพี่สิงโตเมอร์ไลออนแบบสะดวกสบาย

หลังจากนั้นก็หามุมสวยๆ ถ่ายรูป ซึ่งวันที่เราไปนั้นเป็นวันอาทิตย์ คลื่นมนุษย์จากทุกสารทิศ ทั้งที่มาเชียร์บอล และนักท่องเที่ยวทั่วไป ต่างก็จับจองมุมเหมาะๆ ถ่ายรูปกันเต็มๆไปหมด จนแทบจะบดบังวิวสวยๆ ไปจนหมด แต่ไม่เป็นไร เรามีเสื้อสีเจ็บจี๊ดซะอย่าง ถ่ายมุมไหนก็ได้ ชิๆๆๆ (แต่ที่ลืมๆไม่ได้ คือพร็อพเชียร์ทีมชาติไทย ติดตัวไปด้วยตลอดการเดินทาง ผู้คนที่พบเห็นก็ร้องทักทายเป็นระยะๆ ~~Thailand....Thailand~~)

ถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้ว ก็ไปนั่งจิบกาแฟเบาๆ แบบ slow life กันที่สตาร์บัค ในรร.ฟูลเลอร์ตัน วัน ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ออกเดินทางไปยังไชน่าทาวน์ โดยรถไฟฟ้าเช่นเคย คราวนี้นั่งไปลงสถานีไชน่าทาวน์ได้เลย พอขึ้นจากสถานีเราก็จะมาโผล่ที่กลาง
ไชน่าทาวน์พอดี โดยไม่ต้องเดินไกล คนเยอะตามเคย แต่พวกเราก็ไม่ได้ซื้ออะไร เพียงแค่เดินชมบรรยากาศกับผู้คนที่มาชอปปิ้งเท่านั้น เพราะมีน้องในกลุ่มเสนอว่า มีแหล่งชอปปิ้งสินค้าราคาถูกที่ห้างมุสตาฟา ย่านลิตเติ้ลอินเดีย พวกเราเลยตกลงกันว่าจะไปหาซื้อของฝากกันที่นั่น

เดินไชน่าทาวน์กันสักพักก็นั่งแท็กซี่ไปห้างมุสตาฟา แท็กซี่ที่นี่สุภาพมาก บริการดี และไม่มีพาอ้อมโลก (หรือเปล่า) เพียง 10 นาทีเราก็มาถึงห้างมุสตาฟา แต่ต้องตกตะลึง ตึงๆๆๆๆๆ เมื่อต้องเผชิญกับกลุ่มชาวอินเดียนับหมื่นๆ ที่ออกมาจับจ่ายซื้อสินค้าและจับกลุ่มพูดคุยกัน ตลอดเส้นทางย่านลิตเติ้ลอินเดีย รวมถึงหน้าห้างและในห้างมุสตาฟาด้วย เมื่อสอบถามก็ได้ความว่า วันอาทิตย์เป็นวันหยุดที่ชาวอินเดียวจะออกมาพบปะสังสรรกันที่ย่านนั้น จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นพวกเขารวมตัวกันเป็นหมื่นๆคนเช่นนี้ บรรยากาศก็อย่างที่เห็น ซึ่งพวกเราก็รีบเข้าไปซื้อของฝากแล้วก็รีบกลับ แต่ถ้าถามว่าราคาถูกกว่าที่อื่นมากมั้ย ก็ถือว่าถูกกว่า แต่อาจไม่มากเท่าไหร่ พวกน้ำหอม นาฬิกา แบรนด์เนมต่างๆ ก็ราคาใกล้เคียงกับในสนามบิน

ออกจากห้างมุสตาฟาก็เป็นเวลาใกล้ค่ำ แต่ละคนก็สภาพหิวโหยเต็มที่ แบกท้องจากมุสตาฟาขึ้นแท็กซี่ไปกินข้าวมันไก่เจ้าอร่อยที่ถนน Serangoon Road อาคารตั้งอยู่เลขที่ 34 ติดสถานีรถไฟฟ้า Boon Keng ชื่อร้าน Boon Tong Kee พอเดินไปถึงร้านก็พบกับฝูงชนนับร้อยที่ยืนรอคิวกินข้าวมันไก่กัน เราลยเดินเข้าไปจองคิวกับคุณป้าที่รอจดคิวอยู่ คุณป้าก็เสนอว่า "ถ้าลื้อรอนั่งข้างในก็รอนานหน่อย อาจเป็นชั่วโมง แต่ถ้าลื้อหิวมาก ก็นั่งข้างนอก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบนั่งข้างนอกกาน" (คุณป้าเขาสปีคอิงลิชน่ะคะ ติดสำเนียงจีนๆหน่อย แปลได้ความประมาณนี้) พวกเราก็เลยเลือกนั่งข้าวนอก รอเพียง 5 นาทีก็ได้โต๊ะ จากนั้นก็จัดการสั่งอาหารด้วยความหิวโหย ผลก็คือ แทบกินไม่หมด เพราะอาหารร้านนี้แต่ละอย่างจานใหญ่มั่กๆ แต่รับรองได้ว่าอร่อยถูกใจทุกอย่างแน่นอน โดยเฉพาะข้าวมันไก่สูตรเด็ดของเขา เด็ดสะระตี่จริงๆ

บรรยากาศหน้าร้าน

ข้าวมันไก่สูตรเด็ด

หมูทอดผัดเปรี้ยวหวาน

ผัดผักรวม
อิ่มแปล้กับข้าวมันไก่แล้วก็นั่งรถไฟฟ้ากลับที่พักกัน ในเวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่า ระหว่างเดินจากสถานีรถไฟฟ้าไปที่พัก บางคนก็เกิดอยากหาแอลกอฮอล์แก้เลี่ยน เลยเดิมเข้า 7-11 แต่ปรากฏว่า ที่สิงคโปร์มีกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลากลางคืน (จำเวลาแน่นอนไม่ได้) แต่ๆๆๆ เราเห็นว่ามีร้านโชว์ห่วยท้องถิ่น ซึ่งเป็นร้านเล็กๆ แอบขายอยู่บ้าง แต่เขาก็ห่อให้อย่างมิดชิด เพราะกลัวตำรวจจับ ซึ่งบทลงโทษของเขาค่อนข้างรุนแรงและเด็ดขาด เพื่อนเราเกรงว่าจะโดนขังคุกขี้ไก่ในสิงคโปร์ เลยไม่กล้าเข้าไปซื้อ รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าก่อนค่อยว่ากัน
สำหรับวันนี้ หลักจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ก็รีบนอนแต่หัวค่ำ เพื่อเก็บแรงไว้ไปเชียร์ฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศกับพม่า ที่เอาชนะเวียดนามมาได้ 2-1 เล่นเอานักร้องซุปตาร์เวียดนามต้องโกนหัวกราบลาอุปสมบทกันเลยทีเดียว ไงล่ะ ขี้คุยจนได้เรื่อง 55555555
***Tip of the day : ค่าบริการรถแท็กซี่ที่สิงคโปร์จะไม่เท่ากันทุกคัน ขึ้นอยู่กับรุ่นของรถ โดยรุ่นที่ถูกที่สุดคือ รถฮุนได สีฟ้า ของบ. Comfort ราคาเริ่มต้นที่ 3.20 เหรียญ ส่วนพรีอุส เชฟฯ ครูส ฮุนไดรุ่นใหม่ หรือเบนซ์ ราคาจะแพงขึ้นตามรุ่นของรถ ตั้งแต่ 3.20 3.60 3.70 3.90 เป็นต้น ฉะนั้น ถ้าไม่ได้ติดหรูอะไรมากมายก็เลือกนั่งฮุนได สีฟ้า ของบ. Comfort ดีที่สุด และในเวลากลางคืน หรือการใช้บริการแท็กซี่โดยการโทรเรียก จะต้องเสียเซอร์วิสชาร์จให้คนขับ 25% ซึ่งแพงเอาเรื่องเหมือนกัน
ตามติดชีวิตคนบ้า(บอล) : ตอน ตามล่าเหรียญทองซีเกมส์ 2015 @ สิงคโปร์ ตอน 2
วันที่สอง 14 มิ.ย. 2015 วันเที่ยวๆๆๆ
วันนี้พวกเราไม่มีนัดเชียร์กีฬาอะไร เลยตั้งใจออกไปชมแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลต์ของสิงคโปร์ ตื่นเช้ามาพร้อมกับใส่เสื้อธีมสีจี๊ดจ๊าด จากนั้นไปหาอาหารเช้ารองท้องแก้หิว เช้านี้เราเลือกกินติ่มซำ ร้าน mongkok ปากซอยเกลัง 8 ซึ่งผ่านการรีวิวมาจากพันทิปแล้ว ติ่มซำก็หน้าตาทั่วๆไปเหมือนที่เห็นในบ้านเรา แต่มีรูปแบบให้เลือกน้อยกว่า รสชาดใช้ได้ทีเดียว ราคาแอบแพงนิดนึงนะ แต่ก็คุ้มค่ากับความอร่อย หยวนๆกัน พอได้
เต็มอิ่มกับติ่มซำก็เดินไปขึ้น mrt ที่สถานี Aljunied ที่เดิม ข้างทางจะมีร้านผลไม้อยู่หลายร้าน แต่ทีสะดุดตาคือ ร้านขายทุเรียน ซึ่งคนที่นี่เขาจะกินทุเรียนชนิดที่เรียกว่า เละแบบใกล้จะเน่าแล้วก็ว่าได้ เพราะกลิ่นมันอภิมหึมามหาเหม็นตึ้บกันไป 5 ซอย 10 ซอย กันเลย เล่นเอาคนไม่กินทุเรียนอย่างเราเวียนหัวแทบจะอ้วกซะให้ได้ ลูกไหนที่ไม่เละ คนขายก็จะเอาทุ่มลงที่พื้นปูนหลายๆ ครั้ง ก่อนจะแกะให้ลูกค้า ส่วนลูกค้า ก่อนจะซื้อก็จะหยิบขึ้นมาดมจนเป็นที่พอใจก่อนค่อยยื่นให้พ่อค้าแกะให้ และไม่รู้ว่าคนที่นี่ไม่นิยมหมอนทองหรืออย่างไรไม่ทราบ เพราะทุเรียนที่เขากินถ้าไม่ใช่พันธุ์ชะนีก็น่าจะเป็นพันธุ์กระดุม ซึ่งเป็นลูกเล็กๆ ขนาดใหญ่กว่ากำปั้นนิดเดียว
ถนนเกลังฝั่งซอยคี่ ช่วงใกล้จะถึงทางแยกไปสถานี Aljunied เราก็จะได้พบกับร้านขายยา.... หน้าตาแบบนี้ นับสิบร้าน รีบเดินดีกว่า
พวกเรานั่ง mrt ไปลงสถานี Raffles place ออกจากสถานี เดินไปทางโรงแรม Fullerton แล้วเดินไปลงอุโมงค์ใต้ดินในโรงแรม Fullerton เพื่อข้ามไปฝั่ง รร.ฟูเลอร์ตัน วัน ไปหาเมอร์ไลออนกัน ซึ่งหากไม่ใช้ทางข้ามใต้ดินนี้ จะต้องไปข้ามถนนไกลมากๆๆๆ โชคดีที่พวกเราหาข้อมูลมาก่อน เลยสามารถข้ามไปหาพี่สิงโตเมอร์ไลออนแบบสะดวกสบาย
หลังจากนั้นก็หามุมสวยๆ ถ่ายรูป ซึ่งวันที่เราไปนั้นเป็นวันอาทิตย์ คลื่นมนุษย์จากทุกสารทิศ ทั้งที่มาเชียร์บอล และนักท่องเที่ยวทั่วไป ต่างก็จับจองมุมเหมาะๆ ถ่ายรูปกันเต็มๆไปหมด จนแทบจะบดบังวิวสวยๆ ไปจนหมด แต่ไม่เป็นไร เรามีเสื้อสีเจ็บจี๊ดซะอย่าง ถ่ายมุมไหนก็ได้ ชิๆๆๆ (แต่ที่ลืมๆไม่ได้ คือพร็อพเชียร์ทีมชาติไทย ติดตัวไปด้วยตลอดการเดินทาง ผู้คนที่พบเห็นก็ร้องทักทายเป็นระยะๆ ~~Thailand....Thailand~~)
ถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้ว ก็ไปนั่งจิบกาแฟเบาๆ แบบ slow life กันที่สตาร์บัค ในรร.ฟูลเลอร์ตัน วัน ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ออกเดินทางไปยังไชน่าทาวน์ โดยรถไฟฟ้าเช่นเคย คราวนี้นั่งไปลงสถานีไชน่าทาวน์ได้เลย พอขึ้นจากสถานีเราก็จะมาโผล่ที่กลาง
ไชน่าทาวน์พอดี โดยไม่ต้องเดินไกล คนเยอะตามเคย แต่พวกเราก็ไม่ได้ซื้ออะไร เพียงแค่เดินชมบรรยากาศกับผู้คนที่มาชอปปิ้งเท่านั้น เพราะมีน้องในกลุ่มเสนอว่า มีแหล่งชอปปิ้งสินค้าราคาถูกที่ห้างมุสตาฟา ย่านลิตเติ้ลอินเดีย พวกเราเลยตกลงกันว่าจะไปหาซื้อของฝากกันที่นั่น
เดินไชน่าทาวน์กันสักพักก็นั่งแท็กซี่ไปห้างมุสตาฟา แท็กซี่ที่นี่สุภาพมาก บริการดี และไม่มีพาอ้อมโลก (หรือเปล่า) เพียง 10 นาทีเราก็มาถึงห้างมุสตาฟา แต่ต้องตกตะลึง ตึงๆๆๆๆๆ เมื่อต้องเผชิญกับกลุ่มชาวอินเดียนับหมื่นๆ ที่ออกมาจับจ่ายซื้อสินค้าและจับกลุ่มพูดคุยกัน ตลอดเส้นทางย่านลิตเติ้ลอินเดีย รวมถึงหน้าห้างและในห้างมุสตาฟาด้วย เมื่อสอบถามก็ได้ความว่า วันอาทิตย์เป็นวันหยุดที่ชาวอินเดียวจะออกมาพบปะสังสรรกันที่ย่านนั้น จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นพวกเขารวมตัวกันเป็นหมื่นๆคนเช่นนี้ บรรยากาศก็อย่างที่เห็น ซึ่งพวกเราก็รีบเข้าไปซื้อของฝากแล้วก็รีบกลับ แต่ถ้าถามว่าราคาถูกกว่าที่อื่นมากมั้ย ก็ถือว่าถูกกว่า แต่อาจไม่มากเท่าไหร่ พวกน้ำหอม นาฬิกา แบรนด์เนมต่างๆ ก็ราคาใกล้เคียงกับในสนามบิน
ออกจากห้างมุสตาฟาก็เป็นเวลาใกล้ค่ำ แต่ละคนก็สภาพหิวโหยเต็มที่ แบกท้องจากมุสตาฟาขึ้นแท็กซี่ไปกินข้าวมันไก่เจ้าอร่อยที่ถนน Serangoon Road อาคารตั้งอยู่เลขที่ 34 ติดสถานีรถไฟฟ้า Boon Keng ชื่อร้าน Boon Tong Kee พอเดินไปถึงร้านก็พบกับฝูงชนนับร้อยที่ยืนรอคิวกินข้าวมันไก่กัน เราลยเดินเข้าไปจองคิวกับคุณป้าที่รอจดคิวอยู่ คุณป้าก็เสนอว่า "ถ้าลื้อรอนั่งข้างในก็รอนานหน่อย อาจเป็นชั่วโมง แต่ถ้าลื้อหิวมาก ก็นั่งข้างนอก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบนั่งข้างนอกกาน" (คุณป้าเขาสปีคอิงลิชน่ะคะ ติดสำเนียงจีนๆหน่อย แปลได้ความประมาณนี้) พวกเราก็เลยเลือกนั่งข้าวนอก รอเพียง 5 นาทีก็ได้โต๊ะ จากนั้นก็จัดการสั่งอาหารด้วยความหิวโหย ผลก็คือ แทบกินไม่หมด เพราะอาหารร้านนี้แต่ละอย่างจานใหญ่มั่กๆ แต่รับรองได้ว่าอร่อยถูกใจทุกอย่างแน่นอน โดยเฉพาะข้าวมันไก่สูตรเด็ดของเขา เด็ดสะระตี่จริงๆ
บรรยากาศหน้าร้าน
ข้าวมันไก่สูตรเด็ด
หมูทอดผัดเปรี้ยวหวาน
ผัดผักรวม
อิ่มแปล้กับข้าวมันไก่แล้วก็นั่งรถไฟฟ้ากลับที่พักกัน ในเวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่า ระหว่างเดินจากสถานีรถไฟฟ้าไปที่พัก บางคนก็เกิดอยากหาแอลกอฮอล์แก้เลี่ยน เลยเดิมเข้า 7-11 แต่ปรากฏว่า ที่สิงคโปร์มีกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลากลางคืน (จำเวลาแน่นอนไม่ได้) แต่ๆๆๆ เราเห็นว่ามีร้านโชว์ห่วยท้องถิ่น ซึ่งเป็นร้านเล็กๆ แอบขายอยู่บ้าง แต่เขาก็ห่อให้อย่างมิดชิด เพราะกลัวตำรวจจับ ซึ่งบทลงโทษของเขาค่อนข้างรุนแรงและเด็ดขาด เพื่อนเราเกรงว่าจะโดนขังคุกขี้ไก่ในสิงคโปร์ เลยไม่กล้าเข้าไปซื้อ รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าก่อนค่อยว่ากัน
สำหรับวันนี้ หลักจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ก็รีบนอนแต่หัวค่ำ เพื่อเก็บแรงไว้ไปเชียร์ฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศกับพม่า ที่เอาชนะเวียดนามมาได้ 2-1 เล่นเอานักร้องซุปตาร์เวียดนามต้องโกนหัวกราบลาอุปสมบทกันเลยทีเดียว ไงล่ะ ขี้คุยจนได้เรื่อง 55555555
***Tip of the day : ค่าบริการรถแท็กซี่ที่สิงคโปร์จะไม่เท่ากันทุกคัน ขึ้นอยู่กับรุ่นของรถ โดยรุ่นที่ถูกที่สุดคือ รถฮุนได สีฟ้า ของบ. Comfort ราคาเริ่มต้นที่ 3.20 เหรียญ ส่วนพรีอุส เชฟฯ ครูส ฮุนไดรุ่นใหม่ หรือเบนซ์ ราคาจะแพงขึ้นตามรุ่นของรถ ตั้งแต่ 3.20 3.60 3.70 3.90 เป็นต้น ฉะนั้น ถ้าไม่ได้ติดหรูอะไรมากมายก็เลือกนั่งฮุนได สีฟ้า ของบ. Comfort ดีที่สุด และในเวลากลางคืน หรือการใช้บริการแท็กซี่โดยการโทรเรียก จะต้องเสียเซอร์วิสชาร์จให้คนขับ 25% ซึ่งแพงเอาเรื่องเหมือนกัน