สวัสดีครับทุกท่าน ก่อนอื่นออกตัวก่อนว่านี้เป็นกระทู้แรกในพันทิพของผม ถ้าผิดพลาดอะไรก็ต้องขออภัยด้วย
วันนี้ผมตั้งใจจะมารีวิวทริปที่ผมเดินทางไปญี่ปุ่นเมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2015 ที่ผ่านมา ซึ่งจริงๆ แล้วไปตะลุยมาหลายเมืองมาก
โดยเริ่มตั้งแต่โตเกียว-โอซาก้า-ซัปโปโร-โนโบริเบ็ตซึ-โอตารุ-วัดเมนเนนจิ(วัดที่เก็บตุ๊กตาผีโอคิคุผีผมยาว ซึ่งจะขอรีวิวตอนหลัง)-ฮาโกดาเตะ
โอกะ-โยโกฮาม่า-โตเกียว ซึ่งทั้งหมดใช้เวลาเดินทางไปรวม 15 วัน
เอาละครับ มาเริ่มต้นเรื่องราวของเมืองโอกะกันเลย
โอกะเป็นเมืองที่อยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ซึ่งถ้าเริ่มจากโตเกียวต้องขึ้นผ่านเซ็นไดและเข้าจังหวัดอากิตะ แต่ของผมนั้น
ผมลงมาจากฮาโกดาเตะและแวะเข้าไปยังตัวเมืองอากิตะ สถานีรถไฟอากิตะ ซึ่งใช้เวลาจากฮาโกดาเตะตั้งแต่ 11 โมงไปถึงอากิตะราว 4 โมงกว่า
จากนั้นก็ต่อรถไฟเข้าเมืองโอกะไปถึงราว 5 โมงครึ่ง
ทำไมผมถึงเลือกเมืองนี้? เกริ่นกันนิดหนึ่งว่า ตัวผมนั่นมีดีกรีเป็นถึงสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ผีนานาชาติ 2013 สาเหตุที่ผมเลือกจะมาเมืองที่น้อยคนไทย
จะมากัน เพราะเทศกาลปีศาจนามาฮาเกะที่ขึ้นชื่อ ซึ่งจะจัดกันทุกเดือน ก.พ. (แต่ผมมาถึงเทศกาลก็ผ่านไปแล้ว สาเหตุเพราะผมเลือกจะดูพิธีกรรมตัด
ผมผีโอคิคุเมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านไปนั่นเอง) และตัวผมนั้นก็ชอบสะสมหน้ากากจากทุกมุมของโลกเป็นของสะสมแปลกๆ ประจำตัวด้วย
ทีนี้ผมได้จองโรงแรมคิรารากะ (Kiraraka) ซึ่งเป็นโรแรมแบบเรียวกังเอาไว้ (คืนละราวๆ 10000 เยนหรือประมาน 3000 บาทต่อคืน)
เวบไซด์
http://www.tripadvisor.jp/Hotel_Review-g1022320-d1073170-Reviews-Hotel_Kiraraka-Oga_Akita_Prefecture_Tohoku.html
ทันทีที่ผมมาถึงสถานีโอกะ สิ่งแรกที่ผมเจอเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองนี้ก็คือปีศาจนามาฮาเกะนั่นเอง (Namahage) รอบๆ สถานีนั้นก็มีทั้งหุ่น ภาพวาด
และหน้ากากของปีศาจตนนี้อยู่เต็มไปหมด คิดแล้วคล้ายๆ บรรยากาศเมืองผีตาโขน อ.ด่านซ้าย จ.เลย
ในตอนแรกดีลเลอร์ได้บอกให้ผมไปก่อน 6 โมง ไม่งั้นจะอดทานมื้อเย็นของโรงแรม ผมก็แอบงงเล็กน้อยว่าทำไมจะไปกินหลังจากนั้นไม่ได้เหรอไง
ซึ่งเดี๋ยวจะมาเฉลยภายหลังนะครับ แต่พอลงมาจากรถไฟก็เป็นเวลา 5 โมงครึ่งนิดๆ แล้วด้วย ผมจึงถามนายสถานีว่าจะต่อรถไปยังไง ทางนายสถานี
ก็โทรไปถามให้ผมเลยนะครับ ซึ่งคำตอบที่ผมได้รับทำเอาผมอึ้งอยู่พอสมควร
"ต้องต่อแท็กซี่ไปเท่านั้นนะครับ"
อุตะ! ก็รู้ๆ กันว่าแท็กซี่ที่ญี่ปุ่นนั้นราคาโหดแสนโหด แต่ให้ทำไงได้ในเมื่อเขาว่างั้นก็ต้องว่าตามกันไป ก็โยนสำภาระขึ้นแท็กซี่และบอกชื่อโรงแรมไป
ระหว่างทางนั้นรอบข้างเริ่มมืดลงไปเรื่อยๆ รถแท็กซี่ผมแล่นอยู่ริมถนนหน้าผาที่สูงชัน วิวที่ผมเห็นตลอดเวลาไม่ขาดสายคือทะเลที่โหมกระหน่ำตลอดเวลา
บรรยากาศนั้นเหมือนกับผมที่กำลังจะเข้าไปสู่คดีฆาตกรรมปริศนายังไงก็ไม่รู้ แต่ที่สยองกว่านั้นก็คือ ค่ามิเตอร์แปปเดียวก็ไปแตะที่ 5000 เยนแล้ว
เพียง 30 นาทีผมก็มาถึง ร.ร.จนได้ ค่าแท็กซี่ก็โดนไปราว 8000 เยนหรือประมาน 2500 บาท T-T
ทันทีที่ผมก้าวเท้าลงจากรถ ร.ร.ที่อยู่ตรงหน้าสร้างความรู้สึกน่ากลัวจนขนลุกซู่อย่างพิลึกยังไงก็ไม่รู้ นึกว่าเป็น ร.ร.ของนอแมน เบนต์ (จากเรื่อง Phycho)
พนักงานโรงแรมมารอต้อนรับผมอยู่แล้ว ซึ่งพอผมเข้ามาภายในบรรยากาศกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพราะภายใน ร.ร.ตกแต่งได้สวยหรูและอบอุ่นดีมาก
หลังจากที่ผมเช็คอินแล้ว เขาบอกว่าอาหารเต็มพร้อมสำหรับผมแล้ว (ทำไมรีบร้อนเตรียมให้ผมรีบกินจัง)
ผมเองนั้นก็หิวอยู่ด้วยเลยแวะขึ้นห้องเอากระเป๋าไปวางไว้ก่อนที่จะลงมายังห้องทานอาหาร
ซึ่งภายในห้องอาหารแห่งนี้ดูสวยที่สุดแล้ว เพราะห้องได้ติดกระจกเป็นตอนยาวเห็นวิวทะเลไปได้ไกลมาก มีแขนภายในห้องนี้อยู่ราว 3 โต๊ะ ซึ่งถือว่า
เงียบเหงาเป็นอย่างมาก แต่ผมชอบนะ มันสงบดีมากๆ เลย ทั้งนี้ตัวห้องอาหารก็ตกแต่งหรูหราเหมือนกับว่าเป็น ร.ร.ระดับ 5 ดาว (แต่ที่อยู่คิดว่าเป็นแบบ 3 ดาวนะครับ)
อาหารจานแรกของผมคือของสดจากทะเล พวกกุ้ง หอย ปลาดิบ ไข่ตุ๋น ซึ่งสดมากๆๆๆ อร่อยอย่างบอกใครเชียว เสียดายที่เขาให้มาแค่อย่างละคำ
ตามมาติดๆ ก็คือปูยักษ์ โดยก่อนหน้านี้ผมได้ลองทานที่ซัปโปโร่ ฮอกไกโด ที่ร้านโชกุน คานิ ไปแล้ว แต่ปูที่นี่ก็อร่อยไม่แพ้กันเลยทีเดียว
จานต่อมาแอบทำผมงงเล็กน้อยกับก้อนดำที่เหมือนกับหินที่เขาเอามาเสริฟ ตอนแรกผมคิดว่ามันกินได้ก็พยายามเอาตะเกียบไปเจาะๆ มันดู
ปรากฏว่า...
ก็หินนี่หว่า! มันเป็นหินอบร้อนจัด เพื่อที่เราจะเอาเห็ดและผักไปย่างบนนั้น!!! ดีนะที่ไม่เผลองับเข้าไป ไม่งั้นได้ลวกปากแถมขายหน้าเขาแน่
ตอนนี้ท้องผมเริ่มตึงๆ เล็กน้อยแล้ว อาหารตบท้ายของวันนี้ก็คือผลไม้และวิปครีม
ทานเสร็จก็ถึงเวลาไปพักผ่อนสักที เพราะผมก็เดินทางอยู่แต่ในรถไฟมาทั้งวัน แต่ก่อนอื่นเลยนะ...
อองเซ็นจ๋าเฮียมาแล้ว!!!
ผมตั้งใจเลือกที่นี่เพราะเขามีอองเซ็นเนี่ยแหละ ก่อนหน้านี้ผมก็เคยแช่ตามโรงแรมแฟรนไชร้ของญี่ปุ่นที่เรียก Route นะ แต่ครั้งนี้อยากสัมผัสแบบ
ออริจินอลหน่อยเถอะ
อย่างแรกเลยนั้นก็ต้องเปลี่ยนชุดเป็นยูกาตะอย่างที่ชาวญี่ปุ่นเขาทำกัน
ซึ่งบ่ออองเซ็นที่นี่อยู่ชั้นล่างสุด ห้องของเขาจะมีเก้าอี้นวด (เท่าไรก็ไม่ทราบ) ตู้กดน้ำ น้ำดื่มฟรี ทีวี และก็มีห้องแต่งตัวซึ่งตรงนี้มีอุปกรณ์อำนวยความ
สะดวกครบเลย ตั้งแต่ไดท์เป่าผม ไม้เคาะหู เครื่องชั่งน้ำหนัก (ตอนหลังแอบเอากระเป๋าตัวเองมาชั่งก่อนขึ้นเครื่องด้วย) ซึ่งด่านนี้เราต้องถอดเสื้อผ้าเก็บ
ใส่ตระกล้าและไปอาบน้ำล้างตัวก่อนลงบ่อ ต้องบอกก่อนนะครับว่านอกจากกุญแจห้องแล้ว ผมไม่แนะนำให้นำของมีค่าติดตัวมาลงด้วย เพราะของๆ เรา
จะวางหลาอยู่อย่างไร้การป้องกันการขโมย ซึ่งผมว่าไม่น่าเป็นห่วงพฤติกรรมหัวขโมยจากชาวญี่ปุ่นนะครับ เพราะเขาค่อนข้างจะแอนตี้เรื่องการขโมยมาก
แต่เราอาจจะเจอชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวและหยิบยืมของเราไปได้ เพราะฉะนั้นเก็บไว้ในห้องของตัวเองจะดีกว่า
และแล้วก็มาเจอกับพระเอกของเราก็คือบ่อน้ำร้อนธรรมชาตินั้นเอง ซึ่งตัวบ่อนั้นแบ่งออกเป็นสองบ่อก็คือ บ่อในร่ม และบ่อกลางแจ้ง ซึ่งบ่อในร่มก็จะมี
ที่นั่งอาบน้ำ โดยมีบริการแชมพู ครีมอาบน้ำ รวมไปถึงโฟมล้างหน้า (ซึ่งขอบอกว่าดีมากๆ เลยครับ ผมถึงกับต้องซื้อกลับมาทั้งๆ ที่ไม่ได้ใส่ใจหนังหน้า
ตัวเองขนาดนั้น) เริ่มแรกผมลงไปอาบน้ำล้างเนื้อตัวให้สะอาดเป็นมารยาทที่ดีก่อนจะแช่บ่อรวม อ๋อ! ลืมบอกไปนะครับว่านี้เป็นบ่อรวม เพราะฉะนั้นของ
ลับทั้งหลายของใครก็จะเห็นทะลุปุโปร่งหมดนะครับ การแช่อองเซ็นแรกๆ ของผม ผมก็รู้สึกแปลกๆ นะครับ แต่ความสบายทำให้เราไม่ได้แคร์สื่อคนรอบ
ข้าง อีกทั้งไม่มีใครมานั่งจ้องของคุณด้วยหรอกครับ
...ทั้งนี้ แยกชายหญิงนะครับ นั่นแนะ หนุ่มๆ ฝันสลายเลยละสิ
ผมใช้เวลาแช่ตัวไปเกือบ 2 ชั่วโมงแนะ!!! ใช้ตายสิ ไม่เคยอาบน้ำที่ไหนแล้วรู้สึกสบายตัวเท่านี้มาก่อนเลยครับ แช่จนตัวเปื่อยเลย ผมจะสลับตั้งแต่
แช่ในร่ม และลุกไปแช่บ่อกลางแจ้ง ซึ่งบ่อกลางแจ้งนี้สุดยอดมากๆๆๆ ได้ลมหนาวปะทะหน้าแต่อุ่นไข่สบายกายเลยทีเดียว (แอบทะลึ่งนิดหน่อย ขออภัย)
ขึ้นไปนั่งอาบน้ำ สระผม ล้างหน้าด้วยโฟม จนของเขาแทบจะหมดไปครึ่งขวด จนในที่สุดตัวนุ่มกันไปเลย
ชั่วชีวิตของผมไม่เคยรู้สึกสะอาดและหอมขนาดนี้มาก่อนเลย
เอาละครับ อาบน้ำกันเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปพักผ่อนในห้องสักที ซึ่งระหว่างที่ผมกำลังกลับไปยังห้อง ผมก็ได้คำตอบของคำถามที่ว่า
ทำไมพนักงานต้องเร่งให้ผมกินข้าวให้ตรงเวลาด้วย เพราะตอนผมขึ้นมานั้นก็เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว ล็อบบี้กลางเงียบเชียบมากครับ
พนักงานกลับไปเกือบหมด!!!
มีพนักงานสแตนบายดูแลความเรียบร้อยอยู่ในออฟฟิสเพียงคนเดียว นอกจากแม้แต่ยามก็ไม่มี อีกทั้งไฟล็อบบี้ที่เคยสว่างจ้า บัดนี้ล็อบบี้กลายเป็นห้อง
ทางเดินผีผ่านไปซะแล้ว
ครืนนนนน...
มีแต่เสียงเครื่องกดน้ำดังยาวๆ ชวนให้รู้สึกชวนลุก ผมงี้รีบบึ้งกลับเข้าห้อง จากคนที่ไม่เคยกลัวผี จะหวาดผวาก็วันนี้เนี่ยแหละ
มาถึงในห้อง ห้องนอนของผมนั้นไม่มีเตียงนะครับ เขาให้เรานอนฟูกที่นอนที่ทางโรงแรมได้จัดไว้ให้ในตู้เก็บฟูก ผมต้องขนมาปูเอง
ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ลำบากอะไร มีขนมขบเคี้ยวเตรียมให้สำหรับเรา และกาแฟ ชาให้บริการตัวเอง ตู้เย็นขนาดเล็กสำหรับน้ำดื่ม
ที่สำคัญสำหรับพวกชาวโซเชียวที่ขาดไม่ได้ ในห้องก็มี WiFi ให้เล่นด้วยครับ
ห้องไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนัก แต่นั้นก็ถือว่าเพียงพอสำหรับผมแล้ว
จบตอนแรกการรีวิวเมืองโอกะที่โรงแรมก่อนนะครับ เดี๋ยวกลับมาต่อในวันรุ่งขึ้นที่ผมได้ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์และสถานที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้
ปล.มีคำถามอะไรแอดเฟสบุคผมได้ครับ ชื่อเฟสบุค ทอมมัส โฟเกิล (แฟนพันธุ์แท้ ผีนานาชาติ)
[CR] นามาฮาเกะ เทศกาลผีตาโขนแห่งญี่ปุ่น
วันนี้ผมตั้งใจจะมารีวิวทริปที่ผมเดินทางไปญี่ปุ่นเมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2015 ที่ผ่านมา ซึ่งจริงๆ แล้วไปตะลุยมาหลายเมืองมาก
โดยเริ่มตั้งแต่โตเกียว-โอซาก้า-ซัปโปโร-โนโบริเบ็ตซึ-โอตารุ-วัดเมนเนนจิ(วัดที่เก็บตุ๊กตาผีโอคิคุผีผมยาว ซึ่งจะขอรีวิวตอนหลัง)-ฮาโกดาเตะ
โอกะ-โยโกฮาม่า-โตเกียว ซึ่งทั้งหมดใช้เวลาเดินทางไปรวม 15 วัน
เอาละครับ มาเริ่มต้นเรื่องราวของเมืองโอกะกันเลย
โอกะเป็นเมืองที่อยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ซึ่งถ้าเริ่มจากโตเกียวต้องขึ้นผ่านเซ็นไดและเข้าจังหวัดอากิตะ แต่ของผมนั้น
ผมลงมาจากฮาโกดาเตะและแวะเข้าไปยังตัวเมืองอากิตะ สถานีรถไฟอากิตะ ซึ่งใช้เวลาจากฮาโกดาเตะตั้งแต่ 11 โมงไปถึงอากิตะราว 4 โมงกว่า
จากนั้นก็ต่อรถไฟเข้าเมืองโอกะไปถึงราว 5 โมงครึ่ง
ทำไมผมถึงเลือกเมืองนี้? เกริ่นกันนิดหนึ่งว่า ตัวผมนั่นมีดีกรีเป็นถึงสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ผีนานาชาติ 2013 สาเหตุที่ผมเลือกจะมาเมืองที่น้อยคนไทย
จะมากัน เพราะเทศกาลปีศาจนามาฮาเกะที่ขึ้นชื่อ ซึ่งจะจัดกันทุกเดือน ก.พ. (แต่ผมมาถึงเทศกาลก็ผ่านไปแล้ว สาเหตุเพราะผมเลือกจะดูพิธีกรรมตัด
ผมผีโอคิคุเมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านไปนั่นเอง) และตัวผมนั้นก็ชอบสะสมหน้ากากจากทุกมุมของโลกเป็นของสะสมแปลกๆ ประจำตัวด้วย
ทีนี้ผมได้จองโรงแรมคิรารากะ (Kiraraka) ซึ่งเป็นโรแรมแบบเรียวกังเอาไว้ (คืนละราวๆ 10000 เยนหรือประมาน 3000 บาทต่อคืน)
เวบไซด์
http://www.tripadvisor.jp/Hotel_Review-g1022320-d1073170-Reviews-Hotel_Kiraraka-Oga_Akita_Prefecture_Tohoku.html
ทันทีที่ผมมาถึงสถานีโอกะ สิ่งแรกที่ผมเจอเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองนี้ก็คือปีศาจนามาฮาเกะนั่นเอง (Namahage) รอบๆ สถานีนั้นก็มีทั้งหุ่น ภาพวาด
และหน้ากากของปีศาจตนนี้อยู่เต็มไปหมด คิดแล้วคล้ายๆ บรรยากาศเมืองผีตาโขน อ.ด่านซ้าย จ.เลย
ในตอนแรกดีลเลอร์ได้บอกให้ผมไปก่อน 6 โมง ไม่งั้นจะอดทานมื้อเย็นของโรงแรม ผมก็แอบงงเล็กน้อยว่าทำไมจะไปกินหลังจากนั้นไม่ได้เหรอไง
ซึ่งเดี๋ยวจะมาเฉลยภายหลังนะครับ แต่พอลงมาจากรถไฟก็เป็นเวลา 5 โมงครึ่งนิดๆ แล้วด้วย ผมจึงถามนายสถานีว่าจะต่อรถไปยังไง ทางนายสถานี
ก็โทรไปถามให้ผมเลยนะครับ ซึ่งคำตอบที่ผมได้รับทำเอาผมอึ้งอยู่พอสมควร
"ต้องต่อแท็กซี่ไปเท่านั้นนะครับ"
อุตะ! ก็รู้ๆ กันว่าแท็กซี่ที่ญี่ปุ่นนั้นราคาโหดแสนโหด แต่ให้ทำไงได้ในเมื่อเขาว่างั้นก็ต้องว่าตามกันไป ก็โยนสำภาระขึ้นแท็กซี่และบอกชื่อโรงแรมไป
ระหว่างทางนั้นรอบข้างเริ่มมืดลงไปเรื่อยๆ รถแท็กซี่ผมแล่นอยู่ริมถนนหน้าผาที่สูงชัน วิวที่ผมเห็นตลอดเวลาไม่ขาดสายคือทะเลที่โหมกระหน่ำตลอดเวลา
บรรยากาศนั้นเหมือนกับผมที่กำลังจะเข้าไปสู่คดีฆาตกรรมปริศนายังไงก็ไม่รู้ แต่ที่สยองกว่านั้นก็คือ ค่ามิเตอร์แปปเดียวก็ไปแตะที่ 5000 เยนแล้ว
เพียง 30 นาทีผมก็มาถึง ร.ร.จนได้ ค่าแท็กซี่ก็โดนไปราว 8000 เยนหรือประมาน 2500 บาท T-T
ทันทีที่ผมก้าวเท้าลงจากรถ ร.ร.ที่อยู่ตรงหน้าสร้างความรู้สึกน่ากลัวจนขนลุกซู่อย่างพิลึกยังไงก็ไม่รู้ นึกว่าเป็น ร.ร.ของนอแมน เบนต์ (จากเรื่อง Phycho)
พนักงานโรงแรมมารอต้อนรับผมอยู่แล้ว ซึ่งพอผมเข้ามาภายในบรรยากาศกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพราะภายใน ร.ร.ตกแต่งได้สวยหรูและอบอุ่นดีมาก
หลังจากที่ผมเช็คอินแล้ว เขาบอกว่าอาหารเต็มพร้อมสำหรับผมแล้ว (ทำไมรีบร้อนเตรียมให้ผมรีบกินจัง)
ผมเองนั้นก็หิวอยู่ด้วยเลยแวะขึ้นห้องเอากระเป๋าไปวางไว้ก่อนที่จะลงมายังห้องทานอาหาร
ซึ่งภายในห้องอาหารแห่งนี้ดูสวยที่สุดแล้ว เพราะห้องได้ติดกระจกเป็นตอนยาวเห็นวิวทะเลไปได้ไกลมาก มีแขนภายในห้องนี้อยู่ราว 3 โต๊ะ ซึ่งถือว่า
เงียบเหงาเป็นอย่างมาก แต่ผมชอบนะ มันสงบดีมากๆ เลย ทั้งนี้ตัวห้องอาหารก็ตกแต่งหรูหราเหมือนกับว่าเป็น ร.ร.ระดับ 5 ดาว (แต่ที่อยู่คิดว่าเป็นแบบ 3 ดาวนะครับ)
อาหารจานแรกของผมคือของสดจากทะเล พวกกุ้ง หอย ปลาดิบ ไข่ตุ๋น ซึ่งสดมากๆๆๆ อร่อยอย่างบอกใครเชียว เสียดายที่เขาให้มาแค่อย่างละคำ
ตามมาติดๆ ก็คือปูยักษ์ โดยก่อนหน้านี้ผมได้ลองทานที่ซัปโปโร่ ฮอกไกโด ที่ร้านโชกุน คานิ ไปแล้ว แต่ปูที่นี่ก็อร่อยไม่แพ้กันเลยทีเดียว
จานต่อมาแอบทำผมงงเล็กน้อยกับก้อนดำที่เหมือนกับหินที่เขาเอามาเสริฟ ตอนแรกผมคิดว่ามันกินได้ก็พยายามเอาตะเกียบไปเจาะๆ มันดู
ปรากฏว่า...
ก็หินนี่หว่า! มันเป็นหินอบร้อนจัด เพื่อที่เราจะเอาเห็ดและผักไปย่างบนนั้น!!! ดีนะที่ไม่เผลองับเข้าไป ไม่งั้นได้ลวกปากแถมขายหน้าเขาแน่
ตอนนี้ท้องผมเริ่มตึงๆ เล็กน้อยแล้ว อาหารตบท้ายของวันนี้ก็คือผลไม้และวิปครีม
ทานเสร็จก็ถึงเวลาไปพักผ่อนสักที เพราะผมก็เดินทางอยู่แต่ในรถไฟมาทั้งวัน แต่ก่อนอื่นเลยนะ...
อองเซ็นจ๋าเฮียมาแล้ว!!!
ผมตั้งใจเลือกที่นี่เพราะเขามีอองเซ็นเนี่ยแหละ ก่อนหน้านี้ผมก็เคยแช่ตามโรงแรมแฟรนไชร้ของญี่ปุ่นที่เรียก Route นะ แต่ครั้งนี้อยากสัมผัสแบบ
ออริจินอลหน่อยเถอะ
อย่างแรกเลยนั้นก็ต้องเปลี่ยนชุดเป็นยูกาตะอย่างที่ชาวญี่ปุ่นเขาทำกัน
ซึ่งบ่ออองเซ็นที่นี่อยู่ชั้นล่างสุด ห้องของเขาจะมีเก้าอี้นวด (เท่าไรก็ไม่ทราบ) ตู้กดน้ำ น้ำดื่มฟรี ทีวี และก็มีห้องแต่งตัวซึ่งตรงนี้มีอุปกรณ์อำนวยความ
สะดวกครบเลย ตั้งแต่ไดท์เป่าผม ไม้เคาะหู เครื่องชั่งน้ำหนัก (ตอนหลังแอบเอากระเป๋าตัวเองมาชั่งก่อนขึ้นเครื่องด้วย) ซึ่งด่านนี้เราต้องถอดเสื้อผ้าเก็บ
ใส่ตระกล้าและไปอาบน้ำล้างตัวก่อนลงบ่อ ต้องบอกก่อนนะครับว่านอกจากกุญแจห้องแล้ว ผมไม่แนะนำให้นำของมีค่าติดตัวมาลงด้วย เพราะของๆ เรา
จะวางหลาอยู่อย่างไร้การป้องกันการขโมย ซึ่งผมว่าไม่น่าเป็นห่วงพฤติกรรมหัวขโมยจากชาวญี่ปุ่นนะครับ เพราะเขาค่อนข้างจะแอนตี้เรื่องการขโมยมาก
แต่เราอาจจะเจอชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวและหยิบยืมของเราไปได้ เพราะฉะนั้นเก็บไว้ในห้องของตัวเองจะดีกว่า
และแล้วก็มาเจอกับพระเอกของเราก็คือบ่อน้ำร้อนธรรมชาตินั้นเอง ซึ่งตัวบ่อนั้นแบ่งออกเป็นสองบ่อก็คือ บ่อในร่ม และบ่อกลางแจ้ง ซึ่งบ่อในร่มก็จะมี
ที่นั่งอาบน้ำ โดยมีบริการแชมพู ครีมอาบน้ำ รวมไปถึงโฟมล้างหน้า (ซึ่งขอบอกว่าดีมากๆ เลยครับ ผมถึงกับต้องซื้อกลับมาทั้งๆ ที่ไม่ได้ใส่ใจหนังหน้า
ตัวเองขนาดนั้น) เริ่มแรกผมลงไปอาบน้ำล้างเนื้อตัวให้สะอาดเป็นมารยาทที่ดีก่อนจะแช่บ่อรวม อ๋อ! ลืมบอกไปนะครับว่านี้เป็นบ่อรวม เพราะฉะนั้นของ
ลับทั้งหลายของใครก็จะเห็นทะลุปุโปร่งหมดนะครับ การแช่อองเซ็นแรกๆ ของผม ผมก็รู้สึกแปลกๆ นะครับ แต่ความสบายทำให้เราไม่ได้แคร์สื่อคนรอบ
ข้าง อีกทั้งไม่มีใครมานั่งจ้องของคุณด้วยหรอกครับ
...ทั้งนี้ แยกชายหญิงนะครับ นั่นแนะ หนุ่มๆ ฝันสลายเลยละสิ
ผมใช้เวลาแช่ตัวไปเกือบ 2 ชั่วโมงแนะ!!! ใช้ตายสิ ไม่เคยอาบน้ำที่ไหนแล้วรู้สึกสบายตัวเท่านี้มาก่อนเลยครับ แช่จนตัวเปื่อยเลย ผมจะสลับตั้งแต่
แช่ในร่ม และลุกไปแช่บ่อกลางแจ้ง ซึ่งบ่อกลางแจ้งนี้สุดยอดมากๆๆๆ ได้ลมหนาวปะทะหน้าแต่อุ่นไข่สบายกายเลยทีเดียว (แอบทะลึ่งนิดหน่อย ขออภัย)
ขึ้นไปนั่งอาบน้ำ สระผม ล้างหน้าด้วยโฟม จนของเขาแทบจะหมดไปครึ่งขวด จนในที่สุดตัวนุ่มกันไปเลย
ชั่วชีวิตของผมไม่เคยรู้สึกสะอาดและหอมขนาดนี้มาก่อนเลย
เอาละครับ อาบน้ำกันเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปพักผ่อนในห้องสักที ซึ่งระหว่างที่ผมกำลังกลับไปยังห้อง ผมก็ได้คำตอบของคำถามที่ว่า
ทำไมพนักงานต้องเร่งให้ผมกินข้าวให้ตรงเวลาด้วย เพราะตอนผมขึ้นมานั้นก็เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว ล็อบบี้กลางเงียบเชียบมากครับ
พนักงานกลับไปเกือบหมด!!!
มีพนักงานสแตนบายดูแลความเรียบร้อยอยู่ในออฟฟิสเพียงคนเดียว นอกจากแม้แต่ยามก็ไม่มี อีกทั้งไฟล็อบบี้ที่เคยสว่างจ้า บัดนี้ล็อบบี้กลายเป็นห้อง
ทางเดินผีผ่านไปซะแล้ว
ครืนนนนน...
มีแต่เสียงเครื่องกดน้ำดังยาวๆ ชวนให้รู้สึกชวนลุก ผมงี้รีบบึ้งกลับเข้าห้อง จากคนที่ไม่เคยกลัวผี จะหวาดผวาก็วันนี้เนี่ยแหละ
มาถึงในห้อง ห้องนอนของผมนั้นไม่มีเตียงนะครับ เขาให้เรานอนฟูกที่นอนที่ทางโรงแรมได้จัดไว้ให้ในตู้เก็บฟูก ผมต้องขนมาปูเอง
ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ลำบากอะไร มีขนมขบเคี้ยวเตรียมให้สำหรับเรา และกาแฟ ชาให้บริการตัวเอง ตู้เย็นขนาดเล็กสำหรับน้ำดื่ม
ที่สำคัญสำหรับพวกชาวโซเชียวที่ขาดไม่ได้ ในห้องก็มี WiFi ให้เล่นด้วยครับ
ห้องไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนัก แต่นั้นก็ถือว่าเพียงพอสำหรับผมแล้ว
จบตอนแรกการรีวิวเมืองโอกะที่โรงแรมก่อนนะครับ เดี๋ยวกลับมาต่อในวันรุ่งขึ้นที่ผมได้ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์และสถานที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้
ปล.มีคำถามอะไรแอดเฟสบุคผมได้ครับ ชื่อเฟสบุค ทอมมัส โฟเกิล (แฟนพันธุ์แท้ ผีนานาชาติ)
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น