เรื่องเงินกับความรักอันไหนสำคัญกว่ากันในสายตาผู้หญิง?

กระทู้คำถาม
ผมกับภรรยาแต่งงานกันมาหกปี มีลูกหนึ่งคน ตัวผมเองมีธุรกิจครอบครัวฐานะไม่ได้ร่ำรวยมากมายแต่ก็อยู่ได้แบบพอกินพอใช้ ทางแฟนมีภาระด้านการเงินหลายอย่างแต่ไม่ถึงกับเป็นหนี้มากมายอะไร ก่อนแต่งก็รักกันดีและผมเองก็เคยรับปากไว้จะช่วยแบ่งเบาภาระหนี้บางเรื่องให้ เมื่อแต่งมาได้ไม่กี่วันแฟนผมก็เริ่มทวงถามค่าซองจากงานแต่งงานซึ่งมีหลักแสนปลายๆทีเดียว แต่ตัวผมเองก็คืนไปให้พ่อแม่ซึ่งเป็นค่าจัดเลี้ยงที่พ่อแม่ผมออกเงินส่วนตัวให้ไปก่อนซึ่งค่าใช้จ่ายจริงๆมันสูงกว่าที่เราได้ซองพอสมควร แต่ทางพ่อแม่ก็ไม่ได้ร้องขออะไรเพราะถือว่าเป็นงานแต่งงานของลูกชาย ซึ่งแฟนดูไม่พอใจมากเพราะถือว่าครึ่งหนึ่งที่ได้เป็นเงินของเธอเอง แต่แฟนอาจมองข้ามสินสอด เครื่องประดับเพชร รถยนต์ และกิจการสาขาที่พ่อแม่ผมให้เธอเป็นคนดูแล

หลังจากผ่านงานแต่งงานมาได้ซักพักใหญ่แฟนผมก็เริ่มมีเรื่องทะเลาะกับผมมากมายไม่ว่าจะเรื่องค่าสินสอดที่โดนเพื่อนแฟนปั่นหูว่ามันดูน้อยไม่เหมาะสมกับหน้าตาแฟนบ้าง เรื่องเวลาการทำงานที่ไม่แน่นอนรวมถึงความตั้งใจในการทำงาน(แฟนผมอาสาขอมาช่วยงานที่บ้านผมเองตั้งแต่ก่อนแต่งงาน) อีกทั้งเรื่องสมาชิกในบ้านของผมเอง ไม่ว่าจะเรื่องความรู้สึกว่าพ่อแม่ผมเหมือนจะให้อะไรกับพี่สะใภ้มากกว่าตัวเค้า เช่น บ้านหนึ่งหลัง(แต่ก็ขายคืนพ่อแม่ไปเพราะไม่สะดวกอยู่ และกลับมาพักรวมกันในบ้านพ่อแม่) มองพี่สะใภ้เค้าไม่ดี คอยหาเรื่องแกล้งแฟนผมบ้าง และอื่นๆอีกมากมาย แต่ในทางกลับกันทางพ่อแม่ผมไม่เคยมีเรื่องกลั่นแกล้งลูกสะใภ้เหมือนในละครเลย อาจจะมีเรียกมาคุยจริงจังดุว่าในเรื่องการทำงานบ้างแต่ก็นานๆที แต่ทุกครั้งแฟนก็จะมาระเบิดอารมณ์กับผมต่อจนถึงขั้นจะเลิกรากับผมก็หลายครั้งจนสุดท้ายพ่อแม่ผมไม่กล้าจะพูดอะไรแบบนี้อีกเลยเพราะกลัวครอบครัวลูกจะมีปัญหา เรื่องเงินเดือนแฟนก็ถือว่าเยอะห้า-หกหมื่นในช่วงปีแรกและก็เพิ่มขึ้นทุกปี แต่บางปีขึ้นไม่มากหรือไม่ขึ้นก็มาโมโหใส่ผมจนเป็นเรื่องเป็นราว เรียกร้องยื่นคำขาดจะขอหย่าจะเลิกแล้วจะออกไปทำงานข้างนอก จนสุดท้ายที่บ้านผมก็ปรับให้ทั้งๆที่การทำงานของแฟนก็ไม่ได้เต็มที่กับภาระที่เค้ารับผิดชอบมากนัก ทั้งความทุ่มเททำงานและเวลา เหมือนทำงานไปวันๆเท่านั้น

ไม่กี่ปีต่อมาแฟนผมก็ตั้งครรภ์ ทางแฟนก็มีพูดคุยปรึกษาว่าอยากแยกบ้านที่อยู่รวมกับพ่อแม่ผม เพราะเมื่อคลอดลูกแล้วเค้าจะให้ญาติพี่น้องมาช่วยอยู่ดูแลลูกหลังคลอด ซึ่งคงไม่สะดวกนักและพ่อแม่ของแฟนเกรงใจมากหากจะเดินเข้าๆออกๆที่บ้านพ่อแม่ผม ซึ่งพอพ่อแม่ผมทราบข่าวก็เลยให้ผมรับช่วงภาระผ่อนห้องคอนโดที่เค้าซื้อทิ้งไว้ต่อให้ผม โดยผมเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเองคนเดียว ซึ่งช่วงเวลานี้เราไม่ค่อยมีปัญหาทะเลาะอะไรกันมากเพราะมีเรื่องลูกให้คิดห่วงมากมายและเป็นช่วงที่มีความสุขดี

จนมาวันนึงแฟนผมก็ปรึกษาคุยกับผมว่าอยากได้บ้านใหม่เพราะคอนโดที่อยู่มันคับแคบ ผมก็โอเคก็เริ่มไปหาบ้านใหม่กัน แต่หามากี่ที่ผมก็ไม่เอาเพราะไม่เดินทางไกลบ้าง บ้านเล็กจนดูไม่สมราคาบ้าง ก็ทะเลาะกันวุ่นวายอีกหาว่าผมไม่คิดตั้งใจจะซื้อ จนตอนหลังเค้าไปเจอที่นึงราคาสองล้านต้นๆ แต่สภาพแวดล้อมไม่ดีเลยเพราะอาคารนี้คนเยอะมาก สภาพอึดอัดทึบ เข้าไปในห้องมองผ่านหน้าต่างก็ตึกชนตึกและดูไม่ปลอดภัยนักสำหรับการเลี้ยงลูก เพราะคนอยู่ยาวอีกหลายปี แฟนผมก็รั้นจะซื้อให้ได้จนถึงขนาดว่าจะซื้อเองคนเดียวเป็นสมบัติเค้าคนเดียว พอดีตัวผมเองก็ไปเจอห้องคอนโดอีกที่ไม่ห่างกันราคาสี่ล้านกว่าแต่สภาพแวดล้อมดีกว่าเยอะมาก ก็บอกเค้าว่าจะเอาที่นี้โดยผมจะขายคอนโดเก่าและออกค่าตบแต่งทั้งหมดเองแต่ต้องช่วยกันผ่อนจ่ายเอาโดยผมจะออกมากกว่าเค้า ส่วนค่าน้ำไฟ ค่าเนท ค่าส่วนกลางปีละกว่าห้าหมื่นผมออกเองคนเดียว ถ้าเทียบกับการที่แฟนผมซื้อคอนโดสองล้านสามยังไม่รวมตบแต่ง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ผมเองก็มองว่ามันคุ้มกว่าที่แฟนผมจะรับภาระคนเดียว แต่อธิบายแบบนี้แฟนผมก็มองว่าแพงและรั้นจะซื้อคอนโดที่เค้าต้องการให้ได้ถึงขั้นทะเลาะบอกเลิกจะหย่ากับผมอีก จนสุดท้ายผมก็เชิญพ่อตาแม่ยายญาติพี่น้องเค้ามาดูทั้งสองสถานที่เปรียบเทียบ ซึ่งทุกคนเห็นมองในมุมเดียวกันกับผมเพราะสภาพแวดล้อมดีกว่ามาก การเดินทางสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย

เมื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่กับการย้ายบ้าน ปัญหาที่ไม่คิดว่าจะมีจะเกิดก็ตามมาอีก (รอว่างมาเขียนต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่