ตั้งชื่อได้อลังการจริงๆ...
เเล้วมันก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับเเค่คิดถึง ความคิดถึงล้วนๆ...
ก่อนหน้านี้หลายปีเเล้ว ผมจบมัธยมต้นมาได้เเบบไม่ค่อยสวยนัก ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียนเเย่ ปัญหาครอบครัวรุมเร้า การเปลี่ยนผ่านจากความเป็นเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ บลาๆๆ
เเละผมรู้ตัวเองตั้งเเต่ตอนนั้น ว่าผมอาจเป็นประเภทที่เปลี่ยนเเปลงไปมากเป็นพิเศษ
ก่อนพิธีจบการศึกษา ผมจึงตัดสินใจเเน่วเเน่ว่าจะไม่มีสมุดเฟรนด์ชิฟ ไม่รู้ซิครับ ตอนนั้นผมคิดอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับความเป็นเพื่อน ความสัมพันธ์
ผมมีสมุดเฟรนด์ชิฟตอนประถม เเละ ต่อมาก็มัธยม เเละคงจะต้องมีต่อไปอีกเรื่อยๆ...
ตลกดีที่ไม่ใครเป็นไปอย่างในสมุดนั้นสักอย่าง
เพื่อสมัยประถมที่เคยเขียนไว้รักมากมาย บางคนเจอหน้ากันยังเดินผ่านไปเฉยๆเหมือนเป็นอากาศธาตุ จบเเล้วก็จบเลย ความทรงจำ ความดีที่เคยทำให้กัน ลืมไปสิ้น...
น้อยใจได้ไม่นานก็เริ่มเรียนรู้ "ทุกคนเติมโตเเละเปลี่ยนเเปลง"
ตลกดีที่สุดท้ายเเล้วกลับเป็นผมเองที่เปลี่ยนไปมากที่สุด...
พิธีจบ ไกล้เข้ามาเเล้ว เพื่อนๆทยอยเซ็นชื่อลงสมุดของกันเเละกัน ผมนั่งมองดูอยู่ห่างๆ
บางคนเดินเข้ามาหา บอกช่วยเซ็นหน่อย ยกทั้งหน้านี่ให้เเกเลย
ผมเซ็นให้ตามที่ขอ อวยพรให้ตามที่อยาก เเละส่งกลับไปคืนไป
เเล้วของเเกล่ะ? เพื่อนถาม ผมตอบ ไม่มีหรอก
คำถามมากมาย ผมป่วยการจะตอบทั้งสิ้น บอกไปสั้นๆเเค่ว่า ไม่อยากมีสมุดเเบบนั้นอีกเเล้ว
ความทรงจำดีๆ มันดียิ่งขึ้นเมื่อมันอยู่ในนั้น
เเต่เปิดอ่านเเล้วเจ็บมาก เจ็บเกินไป บางครั้งเเค่นึกถึงเรื่องดีๆยังเจ็บซะกว่านึกถึงเรื่องร้ายๆ...
พิธีจบเริ่มเเล้ว สถานที่ประดับประดา
พิธีงาน กาละเล่น เสียงหัวเราะ เสียงปรบมือ เป่าปากสุดเสียง โห่ร้องดีใจ... เเค่ช่วงหนึ่ง
เสียงดังกล่าวเงียบลง เซ็นชื่อตามเสื้อ เเลกเปลี่ยนของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ
ไม่รู้โชคดีหรือร้าย ก่อนจบผมได้เข้าร่วมกับหลากหลายสังคมมาก อาจเพราะต้องมาเรียนเเก้สอบเเก้ออกบ่อยครั้ง เลยได้เพื่อนต่างห้องต่างชั้นเยอะหน่อย
ความทรงจำเลือนลางเเล้ว จำได้เเม่นเเค่ว่ามีหลายคนร้องให้ ส่วนผมมองดูอยู่ห่างๆ
หลายปีจากนั้น ผมต้องย้ายบ้านอีกเเล้ว เก็บของต่างๆจากที่หนึ่ง มาจัดการให้เป็นระเบียบในอีกที่หนึ่ง
สาละวนอยู่กับกองเสื้อผ้าเก่า บางส่วนคงต้องทิ้ง บางส่วนบริจาค บางส่วน...
ผมมองนิ่ง เสื้อที่อยู่ในมือทำให้ผมต้องหยุด
ตลกดีที่สุดท้ายเเล้วผมเองก็มีเฟรนชิฟจนได้...
ย้อนกลับไปวันนั้น พิธีจบการศึกษา ผมบอกซ้ำ ไม่มีเฟรนชิฟ เพื่อนตอบ เขียนที่เสื้อก็ได้ เเละไม่ลืมที่จะกลัดของที่ระลึกเล็กๆไว้ตามเสื้อ
ไม่รู้โชคดีหรือร้าย ก่อนจบผมได้เข้าร่วมกับหลากหลายสังคมมาก อาจเพราะต้องมาเรียนเเก้สอบเเก้ออกบ่อยครั้ง เลยได้เพื่อนต่างห้องต่างชั้นเยอะหน่อย
เเละของที่ระลึกเยอะไปหน่อย...
ไล่สายตาดูตามเนื้อผ้า หลายอย่างที่กลัดไว้เสียรูปทรงเดิมไปหมดเเล้ว เเม้พลาสติกเล็กๆยังเหลืองกรอบจนไม่รู้ของใครเป็นของใคร จำได้บ้างไม่ได้บ้าง...
ภาพเดียวเท่านั้น...
ผมหยุดที่ตรงหน้าอกด้านซ้าย กระเป๋าเสื้อ กลัดรูปเด็กผู้หญิงน่ารักคนหนึ่ง
ซุกตัวอยู่ในซองพลาสติกกรอบๆด้านหลังรูปมีลูกอมเม็ดเล็กๆติดมาด้วย
ผมค้นหาเธอในความทรงจำ ใครกันนะ ทั้งอยากหัวเราะอยากร้องให้ ผมจำชื่อเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ จำไม่ได้เลยว่าเธอเป็นใคร
นึกเกลียดตัวเองตอนนั้นที่บ้าบอ ไม่สุงสิงกับใครไม่สนใจใคร ทำตัวเเปลกเเยก จนสุดท้ายเเม้ความทรงจำอะไรก็ไม่เหลือให้นึกถึง
เเต่เหมือนจะจำได้ลางๆ การสนทนา ชุดคำพูด
เธอ/ ไม่มีเฟรนชิฟเหรอ?
ผม/ ไม่มี เเต่เราเขียนให้ได้นะ
เธอ/ เดี๋ยวเราติดนี่ให้ดีกว่า
เธอหยิบรูปเล็กๆจากกระเป๋าเสื้อ เขียนข้อความด้านหลัง ทับด้วยลูกอมเล็กๆหนึ่งเม็ด ทั้งหมดบรรจุในซองพลาสติก...
กลัด...
ผมถามเธอว่า "เขียนอะไร" เธอตอบ"กลับไปบ้านค่อยไปเปิดดูเอาเอง"
เเละผมก็พึ่งจะนึกได้เมื่อเวลาผ่านมาเเล้วเกือบ 10 ปี...
ตอนนี้น้ำตาเริ่มซึมเเล้ว ถ้าเป็นข้อความหวานๆหรือข้อความบอกรักอะไรทำนองนั้นผมคงใจสลาย ถ้าเธอกำลังรอการตอบกลับ ป่านนี้คงต้องเลิกหวัง
ผมเเกะห่อพลาสติกเบามือ มันกรอบจนเเทบจะเเตกออกเป็นเสี่ยงๆ ผมดึงเอาลูกอมออก
ถึงได้สังเกตุว่าเป็นลูกอมสีม่วง สีที่ผมชอบ เธอคงเป็นใครที่ไส่ใจผมไม่น้อย...
ดึงรูปออกมาช้าๆพลิกอ่านข้อความด้านหลัง...
"ขอบคุณสิ่งดีๆที่เคยทำให้กันนะ..."
วันนั้นผมน้ำตาไหล ทั้งดีใจทั้งเสียใจ ดีใจที่ยังมีคนคิดดีกับผม ทั้งที่ผมทำตัวเเปลกเเยก ไม่หยี่หระผู้คน ดีใจที่เธอเดินเข้ามาหา ติดของที่ระลึกให้
เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวเเล้วที่ยืนยันว่าครั้งหนึ่งผมเคยใช้ชีวิตอยู่ในห้วงเวลามัธยม ที่ตลอดมาผมมองว่าเลวร้าย มันบอกว่า ยังมีส่วนดีๆอีกมากที่ผมมองไม่เห็น
ถ้าไม่ได้รูปภาพใบนี้ผมคงเติบใหญ่ไปเป็นคนที่มีความคิดบิดเบี้ยว มองโลกในเเง่ร้าย เเละหมดโอกาศที่จะใด้เห็นสิ่งดีๆในชีวิต
ตลกดีที่ผ่านมาหลายปีเเล้วเธอยังกลับมาเตือนผม...
"ทุกคนเติมโตเเละเปลี่ยนเเปลง"
"ในความเปลี่ยนเเปลง เเม้ไม่มีอะไรเหมือนเดิม ด้านดีๆยังคงเติบโตอยู่ในนั้น"
ถ้าจะมีอะไรให้เสียใจ...
คงเป็นเรื่องที่ผมจำอะไรเกี่ยวกับเธอไม่ได้สักอย่าง ป่วยการจะตามหา เวลาผ่านมานานมากเเล้ว เเต่"การสนทนา ชุดคำพูด"นั้นยังวนเวียนอยู่ในหัว
ซ้ำๆ...
เนิ่นนานไม่ยอมสลาย...
"ความทรงจำดีๆ มันดียิ่งขึ้นเมื่อมันอยู่ในนั้น
เเต่เปิดอ่านเเล้วเจ็บมาก เจ็บเกินไป บางครั้งเเค่นึกถึงเรื่องดีๆยังเจ็บซะกว่านึกถึงเรื่องร้ายๆ..."
เธอกลายเป็นเฟรนชิฟของผมในที่สุด เเม้ไม่พอใจนักเเต่ก็ยอมรับได้ เพราะในที่สุดถึงมันจะเจ็บปวด เเต่ผมก็ได้เข้าใจเเล้วว่ามันไม่ได้มีเเค่นั้น...
ผมตื่นจากภวังความคิด เช็ดน้ำตา เก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ ลุกขึ้นยืนขึ้นมาเป็นคนใหม่ ยุคนี้สมัยนี้คงไม่มีเฟรนชิฟเเล้ว... เเต่การกระทำต่างๆของเรา ยังคงติดค้างอยู่ในความทรงจำของใครๆเเน่ เเละถ้าเป็นไปได้ ถ้ามีใครนึกถึงผม ก็อยากให้เขานึกถึงเรื่องดีๆ เหมือนที่ผมเคยได้รับ
เเละไม่ลืมทุกครั้งก่อนที่ผมจะต้องจากลากับใคร
ผมจะบอกพวกเขาว่า
"ขอบคุณสิ่งดีๆที่เคยทำให้กันนะ..."
ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ
ปล. เป็นผู้ชายมาเขียนอะไรเเบบนี้ออกจะน่าอายอยู่เหมือนกัน เเต่ได้เขียนเเล้วสบายใจขึ้น คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง...
ภาพเดียวเท่านั้น...
เเล้วมันก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับเเค่คิดถึง ความคิดถึงล้วนๆ...
ก่อนหน้านี้หลายปีเเล้ว ผมจบมัธยมต้นมาได้เเบบไม่ค่อยสวยนัก ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียนเเย่ ปัญหาครอบครัวรุมเร้า การเปลี่ยนผ่านจากความเป็นเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ บลาๆๆ
เเละผมรู้ตัวเองตั้งเเต่ตอนนั้น ว่าผมอาจเป็นประเภทที่เปลี่ยนเเปลงไปมากเป็นพิเศษ
ก่อนพิธีจบการศึกษา ผมจึงตัดสินใจเเน่วเเน่ว่าจะไม่มีสมุดเฟรนด์ชิฟ ไม่รู้ซิครับ ตอนนั้นผมคิดอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับความเป็นเพื่อน ความสัมพันธ์
ผมมีสมุดเฟรนด์ชิฟตอนประถม เเละ ต่อมาก็มัธยม เเละคงจะต้องมีต่อไปอีกเรื่อยๆ...
ตลกดีที่ไม่ใครเป็นไปอย่างในสมุดนั้นสักอย่าง
เพื่อสมัยประถมที่เคยเขียนไว้รักมากมาย บางคนเจอหน้ากันยังเดินผ่านไปเฉยๆเหมือนเป็นอากาศธาตุ จบเเล้วก็จบเลย ความทรงจำ ความดีที่เคยทำให้กัน ลืมไปสิ้น...
น้อยใจได้ไม่นานก็เริ่มเรียนรู้ "ทุกคนเติมโตเเละเปลี่ยนเเปลง"
ตลกดีที่สุดท้ายเเล้วกลับเป็นผมเองที่เปลี่ยนไปมากที่สุด...
พิธีจบ ไกล้เข้ามาเเล้ว เพื่อนๆทยอยเซ็นชื่อลงสมุดของกันเเละกัน ผมนั่งมองดูอยู่ห่างๆ
บางคนเดินเข้ามาหา บอกช่วยเซ็นหน่อย ยกทั้งหน้านี่ให้เเกเลย
ผมเซ็นให้ตามที่ขอ อวยพรให้ตามที่อยาก เเละส่งกลับไปคืนไป
เเล้วของเเกล่ะ? เพื่อนถาม ผมตอบ ไม่มีหรอก
คำถามมากมาย ผมป่วยการจะตอบทั้งสิ้น บอกไปสั้นๆเเค่ว่า ไม่อยากมีสมุดเเบบนั้นอีกเเล้ว
ความทรงจำดีๆ มันดียิ่งขึ้นเมื่อมันอยู่ในนั้น
เเต่เปิดอ่านเเล้วเจ็บมาก เจ็บเกินไป บางครั้งเเค่นึกถึงเรื่องดีๆยังเจ็บซะกว่านึกถึงเรื่องร้ายๆ...
พิธีจบเริ่มเเล้ว สถานที่ประดับประดา
พิธีงาน กาละเล่น เสียงหัวเราะ เสียงปรบมือ เป่าปากสุดเสียง โห่ร้องดีใจ... เเค่ช่วงหนึ่ง
เสียงดังกล่าวเงียบลง เซ็นชื่อตามเสื้อ เเลกเปลี่ยนของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ
ไม่รู้โชคดีหรือร้าย ก่อนจบผมได้เข้าร่วมกับหลากหลายสังคมมาก อาจเพราะต้องมาเรียนเเก้สอบเเก้ออกบ่อยครั้ง เลยได้เพื่อนต่างห้องต่างชั้นเยอะหน่อย
ความทรงจำเลือนลางเเล้ว จำได้เเม่นเเค่ว่ามีหลายคนร้องให้ ส่วนผมมองดูอยู่ห่างๆ
หลายปีจากนั้น ผมต้องย้ายบ้านอีกเเล้ว เก็บของต่างๆจากที่หนึ่ง มาจัดการให้เป็นระเบียบในอีกที่หนึ่ง
สาละวนอยู่กับกองเสื้อผ้าเก่า บางส่วนคงต้องทิ้ง บางส่วนบริจาค บางส่วน...
ผมมองนิ่ง เสื้อที่อยู่ในมือทำให้ผมต้องหยุด
ตลกดีที่สุดท้ายเเล้วผมเองก็มีเฟรนชิฟจนได้...
ย้อนกลับไปวันนั้น พิธีจบการศึกษา ผมบอกซ้ำ ไม่มีเฟรนชิฟ เพื่อนตอบ เขียนที่เสื้อก็ได้ เเละไม่ลืมที่จะกลัดของที่ระลึกเล็กๆไว้ตามเสื้อ
ไม่รู้โชคดีหรือร้าย ก่อนจบผมได้เข้าร่วมกับหลากหลายสังคมมาก อาจเพราะต้องมาเรียนเเก้สอบเเก้ออกบ่อยครั้ง เลยได้เพื่อนต่างห้องต่างชั้นเยอะหน่อย
เเละของที่ระลึกเยอะไปหน่อย...
ไล่สายตาดูตามเนื้อผ้า หลายอย่างที่กลัดไว้เสียรูปทรงเดิมไปหมดเเล้ว เเม้พลาสติกเล็กๆยังเหลืองกรอบจนไม่รู้ของใครเป็นของใคร จำได้บ้างไม่ได้บ้าง...
ภาพเดียวเท่านั้น...
ผมหยุดที่ตรงหน้าอกด้านซ้าย กระเป๋าเสื้อ กลัดรูปเด็กผู้หญิงน่ารักคนหนึ่ง
ซุกตัวอยู่ในซองพลาสติกกรอบๆด้านหลังรูปมีลูกอมเม็ดเล็กๆติดมาด้วย
ผมค้นหาเธอในความทรงจำ ใครกันนะ ทั้งอยากหัวเราะอยากร้องให้ ผมจำชื่อเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ จำไม่ได้เลยว่าเธอเป็นใคร
นึกเกลียดตัวเองตอนนั้นที่บ้าบอ ไม่สุงสิงกับใครไม่สนใจใคร ทำตัวเเปลกเเยก จนสุดท้ายเเม้ความทรงจำอะไรก็ไม่เหลือให้นึกถึง
เเต่เหมือนจะจำได้ลางๆ การสนทนา ชุดคำพูด
เธอ/ ไม่มีเฟรนชิฟเหรอ?
ผม/ ไม่มี เเต่เราเขียนให้ได้นะ
เธอ/ เดี๋ยวเราติดนี่ให้ดีกว่า
เธอหยิบรูปเล็กๆจากกระเป๋าเสื้อ เขียนข้อความด้านหลัง ทับด้วยลูกอมเล็กๆหนึ่งเม็ด ทั้งหมดบรรจุในซองพลาสติก...
กลัด...
ผมถามเธอว่า "เขียนอะไร" เธอตอบ"กลับไปบ้านค่อยไปเปิดดูเอาเอง"
เเละผมก็พึ่งจะนึกได้เมื่อเวลาผ่านมาเเล้วเกือบ 10 ปี...
ตอนนี้น้ำตาเริ่มซึมเเล้ว ถ้าเป็นข้อความหวานๆหรือข้อความบอกรักอะไรทำนองนั้นผมคงใจสลาย ถ้าเธอกำลังรอการตอบกลับ ป่านนี้คงต้องเลิกหวัง
ผมเเกะห่อพลาสติกเบามือ มันกรอบจนเเทบจะเเตกออกเป็นเสี่ยงๆ ผมดึงเอาลูกอมออก
ถึงได้สังเกตุว่าเป็นลูกอมสีม่วง สีที่ผมชอบ เธอคงเป็นใครที่ไส่ใจผมไม่น้อย...
ดึงรูปออกมาช้าๆพลิกอ่านข้อความด้านหลัง...
"ขอบคุณสิ่งดีๆที่เคยทำให้กันนะ..."
วันนั้นผมน้ำตาไหล ทั้งดีใจทั้งเสียใจ ดีใจที่ยังมีคนคิดดีกับผม ทั้งที่ผมทำตัวเเปลกเเยก ไม่หยี่หระผู้คน ดีใจที่เธอเดินเข้ามาหา ติดของที่ระลึกให้
เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวเเล้วที่ยืนยันว่าครั้งหนึ่งผมเคยใช้ชีวิตอยู่ในห้วงเวลามัธยม ที่ตลอดมาผมมองว่าเลวร้าย มันบอกว่า ยังมีส่วนดีๆอีกมากที่ผมมองไม่เห็น
ถ้าไม่ได้รูปภาพใบนี้ผมคงเติบใหญ่ไปเป็นคนที่มีความคิดบิดเบี้ยว มองโลกในเเง่ร้าย เเละหมดโอกาศที่จะใด้เห็นสิ่งดีๆในชีวิต
ตลกดีที่ผ่านมาหลายปีเเล้วเธอยังกลับมาเตือนผม...
"ทุกคนเติมโตเเละเปลี่ยนเเปลง"
"ในความเปลี่ยนเเปลง เเม้ไม่มีอะไรเหมือนเดิม ด้านดีๆยังคงเติบโตอยู่ในนั้น"
ถ้าจะมีอะไรให้เสียใจ...
คงเป็นเรื่องที่ผมจำอะไรเกี่ยวกับเธอไม่ได้สักอย่าง ป่วยการจะตามหา เวลาผ่านมานานมากเเล้ว เเต่"การสนทนา ชุดคำพูด"นั้นยังวนเวียนอยู่ในหัว
ซ้ำๆ...
เนิ่นนานไม่ยอมสลาย...
"ความทรงจำดีๆ มันดียิ่งขึ้นเมื่อมันอยู่ในนั้น
เเต่เปิดอ่านเเล้วเจ็บมาก เจ็บเกินไป บางครั้งเเค่นึกถึงเรื่องดีๆยังเจ็บซะกว่านึกถึงเรื่องร้ายๆ..."
เธอกลายเป็นเฟรนชิฟของผมในที่สุด เเม้ไม่พอใจนักเเต่ก็ยอมรับได้ เพราะในที่สุดถึงมันจะเจ็บปวด เเต่ผมก็ได้เข้าใจเเล้วว่ามันไม่ได้มีเเค่นั้น...
ผมตื่นจากภวังความคิด เช็ดน้ำตา เก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ ลุกขึ้นยืนขึ้นมาเป็นคนใหม่ ยุคนี้สมัยนี้คงไม่มีเฟรนชิฟเเล้ว... เเต่การกระทำต่างๆของเรา ยังคงติดค้างอยู่ในความทรงจำของใครๆเเน่ เเละถ้าเป็นไปได้ ถ้ามีใครนึกถึงผม ก็อยากให้เขานึกถึงเรื่องดีๆ เหมือนที่ผมเคยได้รับ
เเละไม่ลืมทุกครั้งก่อนที่ผมจะต้องจากลากับใคร
ผมจะบอกพวกเขาว่า
"ขอบคุณสิ่งดีๆที่เคยทำให้กันนะ..."
ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ
ปล. เป็นผู้ชายมาเขียนอะไรเเบบนี้ออกจะน่าอายอยู่เหมือนกัน เเต่ได้เขียนเเล้วสบายใจขึ้น คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง...