สวัสดีค่ะทุกคน กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของจขกท. หากผิดพลาดตรงไหนขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยค่ะ
(ขออนุญาตแทนตัวเองว่าเราเพื่อง่ายต่อการเล่าเรื่องนะคะ)
ขอแนะนำตัวก่อนค่ะ ปัจจุบันเราอายุ 20 ปี เพิ่งจบปี 2 กำลังศึกษาอยู่ที่คณะที่เกี่ยวกับการสื่อสารค่ะ
ขอชี้แจงว่าวัตถุประสงค์ของการตั้งกระทู้นี้เป็นเพราะ จขกท. อยากจะให้ประสบการณ์ ความผิดพลาด หรือข้อคิดใดๆก็ตามได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆคนหรือแม้แต่คนๆเดียวก็ได้ค่ะ โดยเฉพาะเพื่อนๆรุ่นราวคราวเดียวกันหรือจะเป็นน้องๆที่เด็กกว่า หรือใครก็ตามที่ประสบปัญหา ท้อแท้ หมดกำลังใจ หรือไร้เป้าหมายในชีวิตให้เขารับรู้ว่าเขาไม่ได้สู้อยู่คนเดียวและจะได้มีกำลังใจฮึดสู้อีกครั้งค่ะ
จขกท.และครอบครัวเป็นคนใต้ ครอบครัวของเรามีกัน 3 คน พ่อ แม่ ลูก แต่เดิมพ่อทำงานเป็นพนักงานของธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง ส่วนแม่ลาออกจากการเป็นพนักงานบัญชีตอนมีลูก ครอบครัวของเราตอนนั้นมีฐานะปานกลาง พอมีพอกินตามประสาคนต่างจังหวัด ด้วยความที่ทางบ้านไม่ได้ร่ำรวย พ่อแม่จึงปลูกฝังให้เราออมเงินจนเป็นนิสัย ไม่ว่าจะได้ค่าขนม 10 บาท 20 บาท พ่อก็จะคอยสอนว่าถึงจะเหลือแค่บาทเดียวก็ให้เอากลับมาหยอดกระปุก ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันนิสัยรักการออมของเราก็ไม่เคยหายไปเลยค่ะ
ครอบครัวเราอาศัยอยู่ภาคใต้จนกระทั่งเราจบ ป.3 พ่อต้องย้ายมาทำงานที่ภาคกลาง (แถบปริมณฑลจังหวัดหนึ่ง) การย้ายมาอยู่ภาคกลางนี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของอะไรหลายๆอย่าง เรารู้จักคำว่า ‘หุ้น’ เป็นครั้งแรกตอน ป.4 ด้วยความที่พ่อทำงานธนาคารและเห็นว่าเราชอบออมเงิน พ่อก็เลยมาแนะนำให้ลองนำเงินที่ออมมาแบ่งไปลงทุนในหุ้น (ใช้พอร์ตในนามพ่อนะคะ) จากการหยอดกระปุกตั้งแต่อนุบาล ไม่ว่าจะได้ค่าขนม ได้ตังตรุษจีนจากญาติ ได้อะไรมาก็หยอดหมดทุกอย่างประกอบกับลองเล่นหุ้นๆนิดๆหน่อยๆ ทำให้ตอนจบ ป.6 เรามีเงินเก็บในบัญชี 100,000 บาท ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อไหร่ที่เรามีเงินออมเราก็จะแบ่งไปลงทุนในหุ้นที่ละนิดทีละหน่อย โดยเลือกหุ้นจากพื้นฐานบริษัทแล้วก็เก็บสะสมไว้เรื่อยๆ นอกจากนี้เรามีโอกาสได้รู้จักและได้อ่านหนังสือประเภท self-improvement ตอน ม.1 หนังสือประเภทนี้นี่เองที่ช่วยให้เราพัฒนาตัวเองขึ้นได้มาก
พอเราอยู่ ม.1 เราสอบติดห้อง gifted ของโรงเรียนหญิงล้วนในกทม. ใครที่เคยผ่านห้อง gifted มาก่อนจะเข้าใจดีว่าการอยู่ในห้องเรียนที่เพื่อนทุกคนเก่งและเรียนกวดวิชากันเต็มไปหมดนั้นสร้างความกดดันแค่ไหน ยอมรับว่าตอนนั้นเราเรียนไม่รู้เรื่องหลายวิชาและเราเองก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่ผิดหวังในตัวเราจึงพยายามไปกวดวิชาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตรงนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของหนี้บัตรเครดิตของครอบครัว ประกอบกับพ่อโดนย้ายไปประจำตำแหน่งที่ภาคใต้อีกครั้ง ค่าใช้จ่ายในบ้านที่สูงอยู่แล้วยังต้องมาเพิ่มเป็นสองทางอีก ลำพังพ่อเราที่ทำงานคนเดียวก็เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลังก็เลยรูดบัตรเครดิตเป็นว่าเล่น เราเองก็ไม่รู้เลยว่าการเรียนกวดวิชาของเราจะมีส่วนสร้างความลำบากให้พ่อแม่ได้ขนาดนั้น มารู้ตัวอีกทีก็ประมาณ ม.3 เราเริ่มรู้สึกได้ว่าพ่อกับแม่กำลังลำบาก แถมยังต้องมาทนอยู่หอแคบๆเพื่อให้เราอยู่ใกล้โรงเรียน พ่อก็ไป-กลับทุกอาทิตย์เพื่อมาหาเรากับแม่ ไหนจะค่ากิน ค่าเช่าห้อง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเดินทาง และอื่นๆอีกมาก เรารู้ว่าลำพังเงินเดือนพ่อคนเดียวถ้านำมาผ่อนหนี้ด้วยแล้วก็ค่าใช้จ่ายในบ้านด้วยมันไม่พอหรอก แต่พ่อเล่าให้ฟังว่าพ่อใช้โบนัสประจำปีเก็บไว้ผ่อนหนี้ บ้านเราจึงอยู่ไปได้แบบเดือนชนเดือน เรารู้สึกสงสารพ่อแม่มากจึงตั้งเป้าหมายไว้ว่าถ้าพ่อยังทำงานผ่อนหนี้ไปได้ เราจะพยายามรีบเก็บเงินเพื่อสร้างบ้านให้พ่อแม่อยู่และจะรีบทำให้พ่อกับแม่สบายเอง
เมื่อเราสอบติดม.ปลายที่โรงเรียนสหชื่อดัง พ่อก็พยายามดิ้นรนหาทางขอย้ายกลับเข้ามาทำงานใกล้กทม.เพื่อให้ครอบครัวเราได้อยู่ด้วยกัน ค่าใช้จ่ายจะได้ไม่ต้องแบ่งออกเป็นสองทางอีก ตอนเรียนม.ปลาย เราเป็นเด็กที่ชอบทำกิจกรรมมากๆ (จริงๆชอบทำกิจกรรมมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว) ช่วงเวลานี้เองที่ทำให้ได้รู้จักกับเพื่อนหลายๆคน และได้เรียนรู้ทักษะการทำงานที่ใกล้เคียงกับโลกของความเป็นจริงมากขึ้น ถึงแม้เราจะชอบทำกิจกรรมมากเพียงใดแต่เราก็ยังคงรักนิสัยการออมและยังไม่ลืมเป้าหมายที่จะทำให้พ่อกับแม่สบาย เราขยันออมเงินและลงทุนในหุ้นอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งเราจบ ม.6 เรามีเงินเก็บของเรา 500,000 บาท
...ยอมรับว่าตอนนั้นดีใจมาก มีอะไรหลายๆอย่างที่อยากซื้อให้พ่อกับแม่เต็มไปหมด คิดอยากจะพาพ่อกับแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ อยากไปสร้างบ้านเล็กๆให้ที่ต่างจังหวัด คิดนู่นนี่สารพัดแต่มันก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เราไม่ได้ทำ...
แชร์เรื่องราวและข้อคิดดีๆ จากวัยรุ่นอายุ 20 ปีที่ออมเงินและหาเงินรวมแล้วกว่า 1 ล้านบาท
(ขออนุญาตแทนตัวเองว่าเราเพื่อง่ายต่อการเล่าเรื่องนะคะ)
ขอแนะนำตัวก่อนค่ะ ปัจจุบันเราอายุ 20 ปี เพิ่งจบปี 2 กำลังศึกษาอยู่ที่คณะที่เกี่ยวกับการสื่อสารค่ะ
ขอชี้แจงว่าวัตถุประสงค์ของการตั้งกระทู้นี้เป็นเพราะ จขกท. อยากจะให้ประสบการณ์ ความผิดพลาด หรือข้อคิดใดๆก็ตามได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆคนหรือแม้แต่คนๆเดียวก็ได้ค่ะ โดยเฉพาะเพื่อนๆรุ่นราวคราวเดียวกันหรือจะเป็นน้องๆที่เด็กกว่า หรือใครก็ตามที่ประสบปัญหา ท้อแท้ หมดกำลังใจ หรือไร้เป้าหมายในชีวิตให้เขารับรู้ว่าเขาไม่ได้สู้อยู่คนเดียวและจะได้มีกำลังใจฮึดสู้อีกครั้งค่ะ
จขกท.และครอบครัวเป็นคนใต้ ครอบครัวของเรามีกัน 3 คน พ่อ แม่ ลูก แต่เดิมพ่อทำงานเป็นพนักงานของธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง ส่วนแม่ลาออกจากการเป็นพนักงานบัญชีตอนมีลูก ครอบครัวของเราตอนนั้นมีฐานะปานกลาง พอมีพอกินตามประสาคนต่างจังหวัด ด้วยความที่ทางบ้านไม่ได้ร่ำรวย พ่อแม่จึงปลูกฝังให้เราออมเงินจนเป็นนิสัย ไม่ว่าจะได้ค่าขนม 10 บาท 20 บาท พ่อก็จะคอยสอนว่าถึงจะเหลือแค่บาทเดียวก็ให้เอากลับมาหยอดกระปุก ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันนิสัยรักการออมของเราก็ไม่เคยหายไปเลยค่ะ
ครอบครัวเราอาศัยอยู่ภาคใต้จนกระทั่งเราจบ ป.3 พ่อต้องย้ายมาทำงานที่ภาคกลาง (แถบปริมณฑลจังหวัดหนึ่ง) การย้ายมาอยู่ภาคกลางนี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของอะไรหลายๆอย่าง เรารู้จักคำว่า ‘หุ้น’ เป็นครั้งแรกตอน ป.4 ด้วยความที่พ่อทำงานธนาคารและเห็นว่าเราชอบออมเงิน พ่อก็เลยมาแนะนำให้ลองนำเงินที่ออมมาแบ่งไปลงทุนในหุ้น (ใช้พอร์ตในนามพ่อนะคะ) จากการหยอดกระปุกตั้งแต่อนุบาล ไม่ว่าจะได้ค่าขนม ได้ตังตรุษจีนจากญาติ ได้อะไรมาก็หยอดหมดทุกอย่างประกอบกับลองเล่นหุ้นๆนิดๆหน่อยๆ ทำให้ตอนจบ ป.6 เรามีเงินเก็บในบัญชี 100,000 บาท ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อไหร่ที่เรามีเงินออมเราก็จะแบ่งไปลงทุนในหุ้นที่ละนิดทีละหน่อย โดยเลือกหุ้นจากพื้นฐานบริษัทแล้วก็เก็บสะสมไว้เรื่อยๆ นอกจากนี้เรามีโอกาสได้รู้จักและได้อ่านหนังสือประเภท self-improvement ตอน ม.1 หนังสือประเภทนี้นี่เองที่ช่วยให้เราพัฒนาตัวเองขึ้นได้มาก
พอเราอยู่ ม.1 เราสอบติดห้อง gifted ของโรงเรียนหญิงล้วนในกทม. ใครที่เคยผ่านห้อง gifted มาก่อนจะเข้าใจดีว่าการอยู่ในห้องเรียนที่เพื่อนทุกคนเก่งและเรียนกวดวิชากันเต็มไปหมดนั้นสร้างความกดดันแค่ไหน ยอมรับว่าตอนนั้นเราเรียนไม่รู้เรื่องหลายวิชาและเราเองก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่ผิดหวังในตัวเราจึงพยายามไปกวดวิชาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตรงนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของหนี้บัตรเครดิตของครอบครัว ประกอบกับพ่อโดนย้ายไปประจำตำแหน่งที่ภาคใต้อีกครั้ง ค่าใช้จ่ายในบ้านที่สูงอยู่แล้วยังต้องมาเพิ่มเป็นสองทางอีก ลำพังพ่อเราที่ทำงานคนเดียวก็เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลังก็เลยรูดบัตรเครดิตเป็นว่าเล่น เราเองก็ไม่รู้เลยว่าการเรียนกวดวิชาของเราจะมีส่วนสร้างความลำบากให้พ่อแม่ได้ขนาดนั้น มารู้ตัวอีกทีก็ประมาณ ม.3 เราเริ่มรู้สึกได้ว่าพ่อกับแม่กำลังลำบาก แถมยังต้องมาทนอยู่หอแคบๆเพื่อให้เราอยู่ใกล้โรงเรียน พ่อก็ไป-กลับทุกอาทิตย์เพื่อมาหาเรากับแม่ ไหนจะค่ากิน ค่าเช่าห้อง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเดินทาง และอื่นๆอีกมาก เรารู้ว่าลำพังเงินเดือนพ่อคนเดียวถ้านำมาผ่อนหนี้ด้วยแล้วก็ค่าใช้จ่ายในบ้านด้วยมันไม่พอหรอก แต่พ่อเล่าให้ฟังว่าพ่อใช้โบนัสประจำปีเก็บไว้ผ่อนหนี้ บ้านเราจึงอยู่ไปได้แบบเดือนชนเดือน เรารู้สึกสงสารพ่อแม่มากจึงตั้งเป้าหมายไว้ว่าถ้าพ่อยังทำงานผ่อนหนี้ไปได้ เราจะพยายามรีบเก็บเงินเพื่อสร้างบ้านให้พ่อแม่อยู่และจะรีบทำให้พ่อกับแม่สบายเอง
เมื่อเราสอบติดม.ปลายที่โรงเรียนสหชื่อดัง พ่อก็พยายามดิ้นรนหาทางขอย้ายกลับเข้ามาทำงานใกล้กทม.เพื่อให้ครอบครัวเราได้อยู่ด้วยกัน ค่าใช้จ่ายจะได้ไม่ต้องแบ่งออกเป็นสองทางอีก ตอนเรียนม.ปลาย เราเป็นเด็กที่ชอบทำกิจกรรมมากๆ (จริงๆชอบทำกิจกรรมมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว) ช่วงเวลานี้เองที่ทำให้ได้รู้จักกับเพื่อนหลายๆคน และได้เรียนรู้ทักษะการทำงานที่ใกล้เคียงกับโลกของความเป็นจริงมากขึ้น ถึงแม้เราจะชอบทำกิจกรรมมากเพียงใดแต่เราก็ยังคงรักนิสัยการออมและยังไม่ลืมเป้าหมายที่จะทำให้พ่อกับแม่สบาย เราขยันออมเงินและลงทุนในหุ้นอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งเราจบ ม.6 เรามีเงินเก็บของเรา 500,000 บาท
...ยอมรับว่าตอนนั้นดีใจมาก มีอะไรหลายๆอย่างที่อยากซื้อให้พ่อกับแม่เต็มไปหมด คิดอยากจะพาพ่อกับแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ อยากไปสร้างบ้านเล็กๆให้ที่ต่างจังหวัด คิดนู่นนี่สารพัดแต่มันก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เราไม่ได้ทำ...