เผื่อใครจะยังไม่ทราบ ลองอ่านดูแล้วเจ๋งดี ที่สำคัญคือแกเรียนจนจบม.ธรรมศาสตร์ได้ทั้งๆ ที่ไปเรียนน้อยมาก เก่งจริงๆ
โชคทวี พรหมรัตน์ นักเตะ 4 แผ่นดิน
หากไม่ลองก้าวเดิน คุณจะไม่รู้ทางว่าจะเดินไปได้ไกลแค่ไหน ขอแค่ได้ก้าวก้าวแรก ย่อมต้องมีก้าวที่สองอยู่ที่ว่าจะกล้าเดินตามฝันหรือไม่
“ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่า ผมจะเดินมาได้ไกลถึงวันนี้ วันที่เป็นนักฟุตบอลทีมชาติ เรียนจบปริญญาตรี และได้ไปค้าแข้งที่ต่างประเทศนานถึง 7 ปี เพราะผมมาจากเด็กบ้านนอกธรรมดา แต่มีทุกวันนี้ได้เพราะฟุตบอล ฟุตบอลคือวีซ่าให้ชีวิตผมดีขึ้น”
นี่คือคำพูดของ “เจ้าโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ กองหลังพันธุ์ดีที่วันนี้นั้นเขาคือ นักเตะ 4 แผ่นดิน ผู้ที่ค้าแข้ง 4 ประเทศ คือ ไทย สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย
วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2518 ครอบครัวพรหมรัตน์แห่ง ต.ลำภี อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ให้กำเนิด ด.ช.โชคทวี พรหมรัตน์ เส้นทางชีวิตของนักเตะรายนี้ไม่แตกต่างจากนักเตะทั่วไปในประเทศไทย คือ ชอบเตะฟุตบอล และมีแววตอนเรียนอยู่ที่โรงเรียนทุ่งมะพร้าววิทยา ม.1 – ม.3 โชว์ฟอร์มได้โดดเด่น และเป็นธรรมดาที่จะได้รับโอกาสในชีวิต
“ชงโคสีม่วง” โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน มหาอำนาจขาสั้นในยุคนั้น ดึงตัวโชคทวีมาร่วมกับสถาบัน รูปร่างดี ฝีเท้าเยี่ยม ไม่มีเหตุผลใดที่ทีมชาติจะปฏิเสธ โชคทวี ติดทีมชาติครั้งแรกทำศึก เยาวชนโค้ก คัพ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ จากนั้นติดทีมชาติระดับเยาวชนมาทุกชุด
“รวงข้าว” สโมสรธนาคารกสิกรไทย ในอดีตคือทีมแห่งความฝันของประชากรลูกหนังไทย โชคทวี ได้ร่วมรังรวงข้าวตามคาด ในปี 2537 โชคทวีในวัยแค่ 19 ปี ก้าวขึ้นไปติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรก สู้ศึกเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 12 ที่ญี่ปุ่น จากนั้นเขากลายเป็นตัวกลักในเกมรับของทีม
แต่แล้วปี 2543 ฟ้าก็ผ่าทีมกสิกรไทย เมื่อผู้ใหญ่สั่งยุบสโมสร
ชีวิตนักเตะ แม้สโมสรจะยุติ แต่การค้าแข้งต้องไม่ปิดฉาก โชคทวี โกอินเตอร์ และนี่คือที่มาของนักเตะ 4 แผ่นดิน
หลังจากเริ่มต้นกับแผ่นดินสยาม โชคทวี บินลัดฟ้าไปยังแผ่นดินลอดช่อง ลุยศึก เอสลีก ของสิงคโปร์ กับทีม กอมบัค ยูไนเต็ด เล่นอยู่ 1 ปี รับค่าเหนื่อย 1 แสนบาทต่อเดือน แม้ผลงานไม่ดีนัก แต่ฟอร์มการเล่นของเขาก็เข้าตาโค้ช
ปี 2544 จึงโดนดึงตัวมายังทีม ตันจง ปาการ์ เล่นอยู่ 2 ปี รับค่าเหนื่อย 8 หมื่นบาทต่อเดือน การเป็นนักเตะอาชีพไม่มีอะไรง่ายเลย เพราะต้องแข่งขันตลอดเวลา ทั้งแข่งขันกับตัวเองในการรับผิดชอบ แข่งขันกับนักเตะคนอื่น และต้องแข่งขันกับทีมอื่นด้วย เพราะหากผลงานแย่ทีมก็จะแย่ตาม แม้ผลงานของ ตันจง ปาการ์ ไม่โดดเด่น แต่โชคทวี ยังรักษามาตรฐานการเล่นได้คงเส้นคงวา
ปี 2546 เขาได้ย้ายไป แทมปิเนส โรเวอร์ส ทีมที่น้ำเลี้ยงดี และมี “โค้ชป้า” วรวรรณ ชิตะวณิช เป็นโค้ช ที่นี่ค่าเหนื่อยเขาเพิ่มขึ้นรับ 1 แสนบาทต่อเดือน
เส้นทางลูกหนังของนักเตะแดนสะตอ เริ่มแสวงหาความท้าทายใหม่ เขาผันไปค้าแข้งแผ่นดินที่ 3 ปี 2548 ย้ายสู่เวียดนาม ร่วมรัง ฮอง อัน ยาลาย กับรุ่นพี่ที่รักนับถือในยุค “ดรีมทีม” กันมาอย่าง เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ตะวัน ศรีปาน, ดุสิต เฉลิมแสน รับเงิน 1.1 แสนบาทต่อเดือน แต่โชคทวี เล่นแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น รุ่งขึ้นอีกปีเขากลับไปยังรังเดิม แทมปิเนส โรเวอร์ส รับค่าเหนื่อย 1 แสนบาทต่อเดือน
ช่วงปลายปี 2549 ต้องย้ายทีมอีกครั้งคราวนี้ถือว่าเป็นแผ่นดินที่ 4 ร่วมทีม ยะโฮร์ ลีก ของมาเลเซีย รับ 1.2 แสนบาท แม้ทีมจะล้มเหลวช่วงออกสตาร์ท แต่เมื่อโชคทวีกลับไปช่วย หลังจากจบศึกอาเซียน คัพ ครั้งที่ 6 ทีมกลับผลงานดีขึ้นจนรอดพ้นการตกชั้นจากลีกสูงสุดได้สำเร็จ
จบเมเจอร์ลีก ปี 2550 โชคทวี กลับสู่มาตุภูมิอีกครั้งกับ สโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รับบทกัปตันทีม และกำลังพาทีมไล่ล่าหาความสำเร็จ
โชคทวี หาใช่นักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ที่ขึ้นหิ้งตำนานลูกหนังไทย แต่เขาเป็นคนที่เล่นเต็มที่ สู้เต็มร้อย ไม่ยอมแพ้ จึงมีชื่อติทำเนียบทีมชาติไทยเรื่อยมา หลังจบเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 12 ที่ญี่ปุ่น เขาก็ร่วมทีม “ดรีมทีม” อย่างต่อเนื่อง และติดทีมชาติมาตลอด
ผ่านสังเวียนทีมชาติมาโชกโชน ติดซีเกมส์ 2 ครั้ง กวาดแชมป์ทั้งหมด เอเชี่ยนเกมส์ 2 ครั้ง ครั้งที่ 12 และ 13 (ได้อันดับ 4), เอเชี่ยนคัพ 2 ครั้ง, คัดฟุตบอลโลก 1 ครั้ง ไทยเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายของโซนเอเชีย, ศึกคิงส์คัพ 3 ครั้ง ได้ทั้ง 3 ครั้ง, ไทเกอร์คัพ 2 ครั้ง แชมป์ 1 ครั้ง และรองแชมป์ 1 ครั้ง
ที่ไม่ธรรมดากว่านั้น โชคทวี จัดว่าเป็นนักเตะที่เรียนดีกีฬาเลิศ แม้จะติดทีมชาติใช้เวลาอยู่กับสนามฟุตบอลมากกว่าที่มหาวิทยาลัย อยู่กับเกมการแข่งขันมากกว่าห้องเรียน พบหน้าโค้ชมากกว่าพบหน้าอาจารย์ แต่เขาก็เอาตัวรอด จบการศึกษาปริญญาตรี “ลูกแม่โดม” ม.ธรรมศาสตร์ เป็น “ลูกสิงห์แดง” คณะรัฐศาสตร์ เอกบริหารรัฐกิจ
โชคทวี สร้างเนื้อสร้างตัวมาจากการเล่นฟุตบอลล้วน ๆ ปัจจุบันมีบ้าน 1 หลัง คอนโด 1 ห้อง รถยนต์ 2 คัน และเงินเก็บเย็น ๆ อีก 1 ล้านบาท
“ธรรมชาติของนักฟุตบอลต้องมีเพื่อน มีการสังสรรค์ แต่เราต้องรู้ว่าเรามีหน้าที่อะไรรออยู่ กินพองาม การไปอยู่ต่างประเทศ ต้องบังคับตัวเอง ต้องเป็นมืออาชีพ ต้องรู้ค่าของเงิน ผมค้นพบว่าเราต้องมีวินัย ผมมีภาษีคือวินัยการเงินต้องดี เหมือนกับมีวินัยในเกมรับของคนที่เล่นกองหลัง” บทพี่สอนน้องของโชคทวี
วันนี้ไอ้หนุ่มผิวเข้มที่ภาษาใต้บอกว่า ผิวเหมือนกล้วยหมกลืม ในวัย 32 ปี ผ่านชีวิตมาแล้วแทบทุกรูปแบ เขาฝากถึงน้อง ๆ ที่จะเอาดีทางฟุตบอลว่า “หากคิดจะฝันเป็นนักเตะอาชีพจริง ๆ ต้องทำตามฝันอย่างจริงจัง การกินเหล้า เที่ยวราตรีทำได้ แต่ควรรู้ว่าจะทำตอนไหน”
“สำหรับ โชคทวี พรหมรัตน์ การฉลองที่ดีที่สุด คือการกินเหล้าหลังจากที่ทีมได้แชมป์ ไม่ใช่กินเหล้าแกล้มน้ำตา เพราะเซ็งที่ทีมชวดแชมป์ และตัวเองไร้สังกัดหมดเงิน”
ที่มา :- นักเลงฟุตบอล ฉบับที่ 7 เดือนธันวาคม 2550
ประวัติโค้ชโชคทวี พรหมรัตน์นักเตะ 4 แผ่นดิน
หากไม่ลองก้าวเดิน คุณจะไม่รู้ทางว่าจะเดินไปได้ไกลแค่ไหน ขอแค่ได้ก้าวก้าวแรก ย่อมต้องมีก้าวที่สองอยู่ที่ว่าจะกล้าเดินตามฝันหรือไม่
“ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่า ผมจะเดินมาได้ไกลถึงวันนี้ วันที่เป็นนักฟุตบอลทีมชาติ เรียนจบปริญญาตรี และได้ไปค้าแข้งที่ต่างประเทศนานถึง 7 ปี เพราะผมมาจากเด็กบ้านนอกธรรมดา แต่มีทุกวันนี้ได้เพราะฟุตบอล ฟุตบอลคือวีซ่าให้ชีวิตผมดีขึ้น”
นี่คือคำพูดของ “เจ้าโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ กองหลังพันธุ์ดีที่วันนี้นั้นเขาคือ นักเตะ 4 แผ่นดิน ผู้ที่ค้าแข้ง 4 ประเทศ คือ ไทย สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย
วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2518 ครอบครัวพรหมรัตน์แห่ง ต.ลำภี อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ให้กำเนิด ด.ช.โชคทวี พรหมรัตน์ เส้นทางชีวิตของนักเตะรายนี้ไม่แตกต่างจากนักเตะทั่วไปในประเทศไทย คือ ชอบเตะฟุตบอล และมีแววตอนเรียนอยู่ที่โรงเรียนทุ่งมะพร้าววิทยา ม.1 – ม.3 โชว์ฟอร์มได้โดดเด่น และเป็นธรรมดาที่จะได้รับโอกาสในชีวิต
“ชงโคสีม่วง” โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน มหาอำนาจขาสั้นในยุคนั้น ดึงตัวโชคทวีมาร่วมกับสถาบัน รูปร่างดี ฝีเท้าเยี่ยม ไม่มีเหตุผลใดที่ทีมชาติจะปฏิเสธ โชคทวี ติดทีมชาติครั้งแรกทำศึก เยาวชนโค้ก คัพ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ จากนั้นติดทีมชาติระดับเยาวชนมาทุกชุด
“รวงข้าว” สโมสรธนาคารกสิกรไทย ในอดีตคือทีมแห่งความฝันของประชากรลูกหนังไทย โชคทวี ได้ร่วมรังรวงข้าวตามคาด ในปี 2537 โชคทวีในวัยแค่ 19 ปี ก้าวขึ้นไปติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรก สู้ศึกเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 12 ที่ญี่ปุ่น จากนั้นเขากลายเป็นตัวกลักในเกมรับของทีม
แต่แล้วปี 2543 ฟ้าก็ผ่าทีมกสิกรไทย เมื่อผู้ใหญ่สั่งยุบสโมสร
ชีวิตนักเตะ แม้สโมสรจะยุติ แต่การค้าแข้งต้องไม่ปิดฉาก โชคทวี โกอินเตอร์ และนี่คือที่มาของนักเตะ 4 แผ่นดิน
หลังจากเริ่มต้นกับแผ่นดินสยาม โชคทวี บินลัดฟ้าไปยังแผ่นดินลอดช่อง ลุยศึก เอสลีก ของสิงคโปร์ กับทีม กอมบัค ยูไนเต็ด เล่นอยู่ 1 ปี รับค่าเหนื่อย 1 แสนบาทต่อเดือน แม้ผลงานไม่ดีนัก แต่ฟอร์มการเล่นของเขาก็เข้าตาโค้ช
ปี 2544 จึงโดนดึงตัวมายังทีม ตันจง ปาการ์ เล่นอยู่ 2 ปี รับค่าเหนื่อย 8 หมื่นบาทต่อเดือน การเป็นนักเตะอาชีพไม่มีอะไรง่ายเลย เพราะต้องแข่งขันตลอดเวลา ทั้งแข่งขันกับตัวเองในการรับผิดชอบ แข่งขันกับนักเตะคนอื่น และต้องแข่งขันกับทีมอื่นด้วย เพราะหากผลงานแย่ทีมก็จะแย่ตาม แม้ผลงานของ ตันจง ปาการ์ ไม่โดดเด่น แต่โชคทวี ยังรักษามาตรฐานการเล่นได้คงเส้นคงวา
ปี 2546 เขาได้ย้ายไป แทมปิเนส โรเวอร์ส ทีมที่น้ำเลี้ยงดี และมี “โค้ชป้า” วรวรรณ ชิตะวณิช เป็นโค้ช ที่นี่ค่าเหนื่อยเขาเพิ่มขึ้นรับ 1 แสนบาทต่อเดือน
เส้นทางลูกหนังของนักเตะแดนสะตอ เริ่มแสวงหาความท้าทายใหม่ เขาผันไปค้าแข้งแผ่นดินที่ 3 ปี 2548 ย้ายสู่เวียดนาม ร่วมรัง ฮอง อัน ยาลาย กับรุ่นพี่ที่รักนับถือในยุค “ดรีมทีม” กันมาอย่าง เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ตะวัน ศรีปาน, ดุสิต เฉลิมแสน รับเงิน 1.1 แสนบาทต่อเดือน แต่โชคทวี เล่นแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น รุ่งขึ้นอีกปีเขากลับไปยังรังเดิม แทมปิเนส โรเวอร์ส รับค่าเหนื่อย 1 แสนบาทต่อเดือน
ช่วงปลายปี 2549 ต้องย้ายทีมอีกครั้งคราวนี้ถือว่าเป็นแผ่นดินที่ 4 ร่วมทีม ยะโฮร์ ลีก ของมาเลเซีย รับ 1.2 แสนบาท แม้ทีมจะล้มเหลวช่วงออกสตาร์ท แต่เมื่อโชคทวีกลับไปช่วย หลังจากจบศึกอาเซียน คัพ ครั้งที่ 6 ทีมกลับผลงานดีขึ้นจนรอดพ้นการตกชั้นจากลีกสูงสุดได้สำเร็จ
จบเมเจอร์ลีก ปี 2550 โชคทวี กลับสู่มาตุภูมิอีกครั้งกับ สโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รับบทกัปตันทีม และกำลังพาทีมไล่ล่าหาความสำเร็จ
โชคทวี หาใช่นักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ที่ขึ้นหิ้งตำนานลูกหนังไทย แต่เขาเป็นคนที่เล่นเต็มที่ สู้เต็มร้อย ไม่ยอมแพ้ จึงมีชื่อติทำเนียบทีมชาติไทยเรื่อยมา หลังจบเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 12 ที่ญี่ปุ่น เขาก็ร่วมทีม “ดรีมทีม” อย่างต่อเนื่อง และติดทีมชาติมาตลอด
ผ่านสังเวียนทีมชาติมาโชกโชน ติดซีเกมส์ 2 ครั้ง กวาดแชมป์ทั้งหมด เอเชี่ยนเกมส์ 2 ครั้ง ครั้งที่ 12 และ 13 (ได้อันดับ 4), เอเชี่ยนคัพ 2 ครั้ง, คัดฟุตบอลโลก 1 ครั้ง ไทยเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายของโซนเอเชีย, ศึกคิงส์คัพ 3 ครั้ง ได้ทั้ง 3 ครั้ง, ไทเกอร์คัพ 2 ครั้ง แชมป์ 1 ครั้ง และรองแชมป์ 1 ครั้ง
ที่ไม่ธรรมดากว่านั้น โชคทวี จัดว่าเป็นนักเตะที่เรียนดีกีฬาเลิศ แม้จะติดทีมชาติใช้เวลาอยู่กับสนามฟุตบอลมากกว่าที่มหาวิทยาลัย อยู่กับเกมการแข่งขันมากกว่าห้องเรียน พบหน้าโค้ชมากกว่าพบหน้าอาจารย์ แต่เขาก็เอาตัวรอด จบการศึกษาปริญญาตรี “ลูกแม่โดม” ม.ธรรมศาสตร์ เป็น “ลูกสิงห์แดง” คณะรัฐศาสตร์ เอกบริหารรัฐกิจ
โชคทวี สร้างเนื้อสร้างตัวมาจากการเล่นฟุตบอลล้วน ๆ ปัจจุบันมีบ้าน 1 หลัง คอนโด 1 ห้อง รถยนต์ 2 คัน และเงินเก็บเย็น ๆ อีก 1 ล้านบาท
“ธรรมชาติของนักฟุตบอลต้องมีเพื่อน มีการสังสรรค์ แต่เราต้องรู้ว่าเรามีหน้าที่อะไรรออยู่ กินพองาม การไปอยู่ต่างประเทศ ต้องบังคับตัวเอง ต้องเป็นมืออาชีพ ต้องรู้ค่าของเงิน ผมค้นพบว่าเราต้องมีวินัย ผมมีภาษีคือวินัยการเงินต้องดี เหมือนกับมีวินัยในเกมรับของคนที่เล่นกองหลัง” บทพี่สอนน้องของโชคทวี
วันนี้ไอ้หนุ่มผิวเข้มที่ภาษาใต้บอกว่า ผิวเหมือนกล้วยหมกลืม ในวัย 32 ปี ผ่านชีวิตมาแล้วแทบทุกรูปแบ เขาฝากถึงน้อง ๆ ที่จะเอาดีทางฟุตบอลว่า “หากคิดจะฝันเป็นนักเตะอาชีพจริง ๆ ต้องทำตามฝันอย่างจริงจัง การกินเหล้า เที่ยวราตรีทำได้ แต่ควรรู้ว่าจะทำตอนไหน”
“สำหรับ โชคทวี พรหมรัตน์ การฉลองที่ดีที่สุด คือการกินเหล้าหลังจากที่ทีมได้แชมป์ ไม่ใช่กินเหล้าแกล้มน้ำตา เพราะเซ็งที่ทีมชวดแชมป์ และตัวเองไร้สังกัดหมดเงิน”
ที่มา :- นักเลงฟุตบอล ฉบับที่ 7 เดือนธันวาคม 2550