สามสี่วันก่อนวันหยุดยาวสงกรานต์เป็นช่วงที่ร้านขายของจะยุ่งมากเป็นพิเศษ สินค้าทุกอย่างขายดีเป็นพิเศษ ทั้งของที่คนซื้อไปดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ เหล้ายาปลาปิ้งก็ขายกันอย่างไม่หวาดไม่ไหว บนถนนก็เต็มไปด้วยรถที่บรรทุกคนเต็มหลังรถสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็ขับรถกลับบ้านต่างจังหวัด เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่คนบ้านไกลที่ไปหางานในกรุง พ่อแม่ที่อยู่ที่บ้านก็เฝ้ารอการกลับมาของลูกหลาน เงินที่เก็บเอาไว้ก็จะได้ไปซื้อข้าวปลาอาหารมากินเลี้ยงกันที่บ้าน
วันที่ 13 เมษาฯถือว่าเป็นวันที่พีคสุดในวันหยุดปีใหม่ไทย คนกำลังจับจ่ายใช้สอยกันอย่างสนุกสนาน เป็นวันที่ตู้กดเงินถูกใช้งานมากที่สุดวันหนึ่งเพราะธนาคารก็ไม่เปิด และวันเดียวกันนี้แหละที่ตู้เอทีเอ็มมักจะเสียขึ้นมาและใช้งานไม่ได้ไปเฉยๆซะงั้น เหมือนตู้ของธนาคารสีเขียวที่หน้าร้านผมเป็นต้น
บ่ายวันนั้นภรรยาผมโทรมาบอกว่ามีคนมากดเงินแล้วไม่ได้เงินแต่กลับได้เอสเอ็มเอสบอกว่าบัญชีโดนตัดไปแล้ว ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ทางแก้ก็คือต้องโทรไปหาธนาคารของแบงค์ที่ตัวเองแล้วบอกเขาว่ากดเงินที่ตู้ไหนเท่าไหร่เวลาไหน เสร็จทางธนาคารก็จะตรวจสอบแล้วคืนเงินให้ในวันทำการถัดไป
พอเกิดเรื่องขึ้นปุ๊บผมก็รีบเขียนป้ายเอาไปติดไว้หน้าตู้ว่า "เงินหมด ห้ามกด" ปัญหามันเหมือนจะถูกแก้ไขไปแล้วเพราะหลังจากนั้นก็ไม่มีคนกดอีก จนมาตอนเย็นที่ผมกำลังเก็บข้าวเก็บของกลับบ้าน ก็มีคุณน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
"น้องครับ ป้ากดเงินแล้วไม่ออก แต่มันบัญชีโดนตัดไปแล้วสองพัน ทำยังไงดี" (คุณน้าเรียกตัวเองว่าป้า แต่เขาอายุอ่อนกว่าแม่ผมแน่นอน และปัญหาคือเขาไม่ใช่คนไทย เป็นไทยใหญ่ที่บ้านอยู่แถวนี้ อ่านภาษาไทยไม่ได้ พูดไทยไม่ชัด บทสนทนาต่อไปแปลมาจากภาษาเหนือ)
"อ้ออ ผมติดป้ายไว้ข้างหน้าแล้วนะครับ" ผมตอบไปแบบนั้น
"...ป้าอ่านภาษาไทยไม่ออก" เธอก้มหน้าตอบเบาๆ
"งั้นเดี๋ยวน้าโทรไปเบอร์ข้างหลังบัตรเอทีเอ็มนะครับ เขาจะคืนเงินให้" ผมบอกวิธีแก้ปัญหาไปให้ก่อน
"เบอร์หลังบัตรเหรอครับ โทรตอนนี้จะมีคนรับรึเปล่า" คุณน้าถามต่อ
"เขาเปิด 24 ชั่วโมงครับผม"
เธอขอบคุณแล้วก็เดินออกจากร้านไปยืนคุยกับสามีที่หน้าตู้เอทีเอ็มได้สักพักแล้วก็กลับเข้ามาใหม่
"น้องช่วยโทรให้หน่อยได้ไหมครับ ป้าพูดภาษาไทยไม่ได้ กลัวเขาฟังไม่รู้เรื่อง เงินในบัญชีก็เหลืออยู่แค่นั้น" เขาเสียงสั่นคล้ายกับกังวลว่าจะได้เงินคืนรึเปล่า
"ได้ครับ ขอบัตรหน่อยครับเดี๋ยวผมโทรให้"
ผมจัดแจงโทรหาเจ้าหน้าที่ของธนาคาร แม้จะใช้เวลานานในการตรวจสอบข้อมูล ผมเป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างคุณน้า เปลี่ยนภาษาเหนือ(ที่เพี้ยนเพราะเขาเองก็ไม่ใช่คนท้องถิ่น)เป็นภาษากลาง เปลี่ยนกลางจากปลายสายมาเป็นภาษาเหนืออธิบายขั้นตอนให้ฟัง ใช้เวลาไปเกือบยี่สิบนาที จนสุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเงินจะกลับมาในบัญชีในวันทำการถัดไปซึ่งคือวันที่ 16 ผมวางสายแล้วก็ยื่นโทรศัพท์คืนให้คุณน้าคนนั้น
"ถ้าไม่ได้น้องป้าต้องไม่ได้เงินคืนแน่เลย...." เสียงคุณน้าสั่นเครือ ในมือกำเงินแบงค์ยี่สิบสองสามใบกับแบงค์ร้อย เตรียมจะยื่นมาให้ผม
"ป้าไม่มีอะไรให้ เงินนี้ป้าจะให้...."
"เฮ้ยยยย ไม่เอาครับ ไม่เอาๆๆๆ" ผมรีบปฏิเสธบอกปัดเป็นการใหญ่
คุณป้าจับมือผมแล้วพูดว่า "ขอบคุณมากๆเลยครับ ถ้าไม่มีน้องป้าไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ขอบคุณมากเลยนะครับ ป้าไม่รู้จะพูดอะไร" สองตาของเธอแดงก่ำ น้ำใสๆกำลังจะเอ้อล้นออกมา
"สุขสันต์วันปีใหม่ครับ ขอให้ปีต่อไปมีแต่สิ่งดีๆนะครับผม"
เธอยิ้มแล้วก็เดินจากไปกับค่ำคืนแห่งฤดูร้อน ปีใหม่กำลังจะมาเยือนแล้วสินะ
ผมปิดประตูร้านกลับบ้านรู้สึกว่าวันนี้มันอบอุ่นมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา
เพราะน้ำตาที่เอ่อล้นสองตาไม่ได้แปลความว่าเศร้าเพียงอย่างเดียว
#lifenote #โสภณศุภมั่งมี
อีกเหตุผลของหยดน้ำตา
วันที่ 13 เมษาฯถือว่าเป็นวันที่พีคสุดในวันหยุดปีใหม่ไทย คนกำลังจับจ่ายใช้สอยกันอย่างสนุกสนาน เป็นวันที่ตู้กดเงินถูกใช้งานมากที่สุดวันหนึ่งเพราะธนาคารก็ไม่เปิด และวันเดียวกันนี้แหละที่ตู้เอทีเอ็มมักจะเสียขึ้นมาและใช้งานไม่ได้ไปเฉยๆซะงั้น เหมือนตู้ของธนาคารสีเขียวที่หน้าร้านผมเป็นต้น
บ่ายวันนั้นภรรยาผมโทรมาบอกว่ามีคนมากดเงินแล้วไม่ได้เงินแต่กลับได้เอสเอ็มเอสบอกว่าบัญชีโดนตัดไปแล้ว ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ทางแก้ก็คือต้องโทรไปหาธนาคารของแบงค์ที่ตัวเองแล้วบอกเขาว่ากดเงินที่ตู้ไหนเท่าไหร่เวลาไหน เสร็จทางธนาคารก็จะตรวจสอบแล้วคืนเงินให้ในวันทำการถัดไป
พอเกิดเรื่องขึ้นปุ๊บผมก็รีบเขียนป้ายเอาไปติดไว้หน้าตู้ว่า "เงินหมด ห้ามกด" ปัญหามันเหมือนจะถูกแก้ไขไปแล้วเพราะหลังจากนั้นก็ไม่มีคนกดอีก จนมาตอนเย็นที่ผมกำลังเก็บข้าวเก็บของกลับบ้าน ก็มีคุณน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
"น้องครับ ป้ากดเงินแล้วไม่ออก แต่มันบัญชีโดนตัดไปแล้วสองพัน ทำยังไงดี" (คุณน้าเรียกตัวเองว่าป้า แต่เขาอายุอ่อนกว่าแม่ผมแน่นอน และปัญหาคือเขาไม่ใช่คนไทย เป็นไทยใหญ่ที่บ้านอยู่แถวนี้ อ่านภาษาไทยไม่ได้ พูดไทยไม่ชัด บทสนทนาต่อไปแปลมาจากภาษาเหนือ)
"อ้ออ ผมติดป้ายไว้ข้างหน้าแล้วนะครับ" ผมตอบไปแบบนั้น
"...ป้าอ่านภาษาไทยไม่ออก" เธอก้มหน้าตอบเบาๆ
"งั้นเดี๋ยวน้าโทรไปเบอร์ข้างหลังบัตรเอทีเอ็มนะครับ เขาจะคืนเงินให้" ผมบอกวิธีแก้ปัญหาไปให้ก่อน
"เบอร์หลังบัตรเหรอครับ โทรตอนนี้จะมีคนรับรึเปล่า" คุณน้าถามต่อ
"เขาเปิด 24 ชั่วโมงครับผม"
เธอขอบคุณแล้วก็เดินออกจากร้านไปยืนคุยกับสามีที่หน้าตู้เอทีเอ็มได้สักพักแล้วก็กลับเข้ามาใหม่
"น้องช่วยโทรให้หน่อยได้ไหมครับ ป้าพูดภาษาไทยไม่ได้ กลัวเขาฟังไม่รู้เรื่อง เงินในบัญชีก็เหลืออยู่แค่นั้น" เขาเสียงสั่นคล้ายกับกังวลว่าจะได้เงินคืนรึเปล่า
"ได้ครับ ขอบัตรหน่อยครับเดี๋ยวผมโทรให้"
ผมจัดแจงโทรหาเจ้าหน้าที่ของธนาคาร แม้จะใช้เวลานานในการตรวจสอบข้อมูล ผมเป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างคุณน้า เปลี่ยนภาษาเหนือ(ที่เพี้ยนเพราะเขาเองก็ไม่ใช่คนท้องถิ่น)เป็นภาษากลาง เปลี่ยนกลางจากปลายสายมาเป็นภาษาเหนืออธิบายขั้นตอนให้ฟัง ใช้เวลาไปเกือบยี่สิบนาที จนสุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเงินจะกลับมาในบัญชีในวันทำการถัดไปซึ่งคือวันที่ 16 ผมวางสายแล้วก็ยื่นโทรศัพท์คืนให้คุณน้าคนนั้น
"ถ้าไม่ได้น้องป้าต้องไม่ได้เงินคืนแน่เลย...." เสียงคุณน้าสั่นเครือ ในมือกำเงินแบงค์ยี่สิบสองสามใบกับแบงค์ร้อย เตรียมจะยื่นมาให้ผม
"ป้าไม่มีอะไรให้ เงินนี้ป้าจะให้...."
"เฮ้ยยยย ไม่เอาครับ ไม่เอาๆๆๆ" ผมรีบปฏิเสธบอกปัดเป็นการใหญ่
คุณป้าจับมือผมแล้วพูดว่า "ขอบคุณมากๆเลยครับ ถ้าไม่มีน้องป้าไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ขอบคุณมากเลยนะครับ ป้าไม่รู้จะพูดอะไร" สองตาของเธอแดงก่ำ น้ำใสๆกำลังจะเอ้อล้นออกมา
"สุขสันต์วันปีใหม่ครับ ขอให้ปีต่อไปมีแต่สิ่งดีๆนะครับผม"
เธอยิ้มแล้วก็เดินจากไปกับค่ำคืนแห่งฤดูร้อน ปีใหม่กำลังจะมาเยือนแล้วสินะ
ผมปิดประตูร้านกลับบ้านรู้สึกว่าวันนี้มันอบอุ่นมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา
เพราะน้ำตาที่เอ่อล้นสองตาไม่ได้แปลความว่าเศร้าเพียงอย่างเดียว
#lifenote #โสภณศุภมั่งมี