แนวรุกจากโวล์ฟบวร์กกับราชาแอสซิตส์ของอาร์เซนอล ต่างโชว์ฟอร์มสะเด่าเหมาทำแฮตทริกยิงและจ่ายตามลำดับ ช่วยให้ทัพเยอรมนีบุกถล่มยิบรอลตาร์เละเทะ รั้งรองจ่าฝูงของกลุ่มดีต่อไป

การแข่งขันฟุตบอล ยูโร 2016 รอบคัดเลือก กลุ่มดี นัดที่ 6 ณ สนาม เอสตาดิโอ โด อัลการ์ฟ ระหว่าง ยิบรอลตาร์ ประเทศเล็กๆทางตอนใต้ของคาบสมุทรไอบีเรีย เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ เยอรมนี แชมป์โลก 2014 และอดีตแชมป์โลก 4 สมัย   

โยอาคิม เลิฟ บุนเดสเทรนเนอร์คนเก่งของทัพอินทรีเหล็ก ปรับมาใช้แผน 3-5-2 โดยให้ อังเดร ชูร์เล กับ มาริโอ เกิทเซ ยืนเป็นคู่หน้าไล่ล่าตาข่าย และมี พาทริค เแฮร์มันน์, อิลคาย กุนโดกัน, คาริม เบลลาราบี และเมซุต โอซิล คอยเติมเกมรุกสนุบสนุนอยู่ด้านหลัง



เริ่มเกมมาได้เพียง 10 นาที ทีมเยือนพลาดขึ้นนำไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อพวกเขามาได้ลูกจุดโทษ จากจังหวะที่ คาริม เบลลาราบี เคาะทะลุช่องเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายให้ โยนาส เฮคเตอร์ กำลังหลุดไปถึงสุดเส้นหลัง แต่โดน เจ็ค กอสลิง เบียดล้มลงไปเสียก่อน ทำให้ผู้ตัดสินไม่มีทางเลือกชี้เป็นลูกโทษทันที และเป็น บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ รับหน้าที่สังหาร แต่ จอร์แดน เปเรซ นายด่านเจ้าถิ่นสวมบทฮีโร่พุ่งเซฟออกไปได้อย่างหวุดหวิด



จากนั้นนาทีที่ 20 เจ้าบ้านมีโอกาสลุ้นประตูบ้าง จากลูกฟรีคิกระยะประมาณ 25 หลาเยื้องไปทางฝั่งซ้าย และเป็น อารอน ปายาส รับหน้าที่ปั่นด้วยขวา ทิศทางบอลโค้งหนีกำแพงกำลังจะเสียบเสาไกลอยู๋แล้ว ทว่า โรมัน ไวเดนเฟลเลอร์ ยังปฏิกิริยาไว พุ่งคว้าเข้าซองไว้ได้ติดมือ



กระทั่งนาทีที่ 28 ด้วยตัวผู้เล่นที่เหนือชั้นกว่า ทำให้แชมป์โลก 2014 มาทำประตูออกนำไปก่อนจนได้ จากจังหวะความผิดพลาดของ ไรอัน คาสชาโร แนวรับเจ้าถิ่นที่จับบอลลั่น ทำให้ถูก อังเดร ชูร์เล ฉกเข้าไปในเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนเลือกแปด้วยขวาสวนตัว จอร์แดน เปเรซ เข้าไปอย่างเยือกเย็น ให้เยอรมนีขึ้นนำ 1-0





แม้ช่วงเวลาที่เหลือในครึ่งแรก ยังเป็นเยอรมนีที่ขึงบุกอยู่ฝ่ายเดียว แต่ก็เจาะกำแพงรถบัสของเจ้าถิ่นเข้าไปบวกสกอร์เพิ่มไม่ได้ ทำให้จบ 45 นาทีแรก เยอรมนี ยังคงนำอยู่ที่สกอร์ 1-0

กลับมาเล่นในครึ่งหลังได้ไม่ถึง 2 นาที เยอรมนีขยับสกอร์หนีห่างเป็น 2-0 จากจังหวะทีมเวิร์คอันยอดเยี่ยม เริ่มจาก เยโรม บัวเต็ง โยนโด่งเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งขวาให้ เมซูต โอซฺล เคาะเบิ้ลเข้ากลางแบบไม่ต้องจับ และเป็น  มักซ์ ครูเซ ตัวสำรองชาร์จด้วยซ้ายจ่อๆเข้าไปไม่เหลือ





Goal! นาทีที่ 51 อดีตแชมป์โลก 4 สมัยมาได้ประตูที่สาม จากลูกที่ผู้เล่นยิบรอลตาร์จ่ายคืนหลังไม่ดีมาเข้าทาง  มักซ์ ครูเซ ดึงจังหวะรอเพื่อนเติม ก่อนไหลให้ อิลคาย กุนโดกัน แตะบอลยาวเข้าไปในเขตโทษ ซึ่งเหมือนจะเสียจังหวะไปแล้ว แต่บอลยังเป็นใจ ทำให้ กุนโดกัน ตามจิ้มด้วยขวาสวนตัว จอร์แดน เปเรซ เข้าไปตุงตาข่าย ช่วยให้เยอรมนีหนีห่างเป็น 3-0



จากนั้นนาทีที่ 57 ทีมเยือนมาบวกสกอร์ที่สี่เพิ่มได้อีก จากจังหวะที่ คาริม เบลลาราบี จ่ายเข้าไปในเขตโทษฝั่งขวาแต่ถูกผู้เล่นเจ้าบ้านล้มตัวสกัดเอาไว้ได้ ซึ่งเหมือนจะไม่มีอะไรแล้ว แต่ จอร์แดน เปเรซ ดันปัดบอลออกมาเข้าทาง เมซุต โอซิล บริเวณสุดเส้นหลังฝั่งขวา ก่อนไหลถวายพานย้อนกลับมาให้ เบลลาราบี แปเลียดด้วยขวาเข้าไปอย่างเฉียบคม



เท่านั้นไม่พอ นาที่ที่ 65 ทีมเยือนมาทิ้งห่างเป็น 5-0 จากจังหวะที่ อิลคาย กุนโดกัน โชว์สเต็ปพริ้ว แหวกฟ่าแนวรับเจ้าถิ่น 3-4 คนเข้าไปในเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนซัดเต็มข้อถูก จอร์แดน เปเรซ พุ่งปัดออกมาได้ ทว่าบอลยังเป็นใจมาเข้าทาง อังเดร ชูร์เล ซ้ำจ่อๆเข้าไปไม่พลาด



กระทั่งนาทีที่ 71 อังเดร ชูร์เล อดีตแนวรุก เชลซี ที่ปัจจุบันค้าแข้งกับ โวล์ฟบวร์ก ก็มาทำแฮตทริคให้ตนเองจนได้ในเกมนี้ จากจังหวะที่ ลูคัส โพโดลสกี้ ตัวสำรอง แทงทะลุช่องเข้าไปในเขตโทษฝั่งซ้ายให้ เมซุต โอซิล มีมุมให้ยิงมากมาย ทว่าจอมทัพจาก อาร์เซนอล ใจกว้างดั่งมหาสมุทรเลือกจ่ายออกไปทางฝั่งขวาโล่งๆให้ ชูร์เล แปด้วยขวาเน้นๆเข้าไปไม่เหลือ เยอรมนีทิ้งห่างเป็น 6-0



ท้ายเกมนาทีที่ 81 ทีมเยือนมาได้ประตูปิดกล่อง จากจังหวะที่ เมซุต โอซิล หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนกระดกให้ อังเดร ชูร์เล โหม่งชงไปตรงบริเวณหัวโหลก และเป็น มักซ์ ครูเซ ได้โอกาสวอลเลย์ด้วยขวาเต็มข้อทะลุบล็อคของ จอร์แดน เปเรซ เข้าประตูไป



จบเกม เยอรมนี บุกไปเอาชนะ ยิบรอลตาร์ ขาดลอย 7-0 รั้งรองจ่าฝูงกลุ่มดีต่อไปตามเดิม หลังแข่งไป 6 นัดมี 13 คะแนน ตามหลังจ่าฝูงอย่าง โปแลนด์ เพียงคะแนนเดียวเท่านั้น