การศึกษาไทยล้มเหลวโทษใครดี?

กระทู้คำถาม
เหมือนจะเป็นคำถาม  แต่ไม่ใช่คำถาม
เป็นการชำแหละ และ ระบายความอัดอั้นจากอดีตติวเตอร์อย่างผมมากกว่า
เนื่องจากผมไม่ใช่ติวเตอร์แล้ว ผมก็สามารถแขวะได้ทั้งระบบ ไม่ต้องกลัวเสียผลประโยชน์ใดๆ
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ “ครู” ตกเป็นจำเลยทางสังคม สาเหตุแห่งความล้มเหลวของการศึกษาไทย
“อ่านหนังสือไม่ออก”  “ทำงานไม่เป็น”  “ไม่มีความคิดสร้างสรรค์”   “เรียนภาษาอังกฤษมาเป็น 10 ปี ก็ยังพูดไม่ได้” ฯลฯ บลาบลา
ทั้งๆที่จริงๆแล้วครูไม่ใช่สาเหตุของปัญหาทั้งหมด  ..........
แต่คนทุกเหล่าชั้นก็เอาแต่ก่นด่า โดยเฉพาะ “นักเรียน” และ “พ่อแม่”
ใช่ครับ.....ผมไม่เถียงว่า ครูมีส่วนผิด
ครู”จำนวนหนึ่ง” เอาเวลาที่ควรอยู่กับนักเรียนสอนหนังสือ ไปปั่นผลงานเพื่อเลื่อนขั้น  (บ้างถูกสั่งจากผู้บริหารอย่างไม่เต็มใจ)
ครู”จำนวนหนึ่ง” หัวโบราณ ล้าหลัง วางอำนาจ ไม่ให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น  หรือ มีอิสระทางความคิด ต้องเรียนต้องจำ ตามหนังสือ
ครู”จำนวนหนึ่ง” ผันตัวเองมาเป็นติวเตอร์เสียเอง  กั๊กความรู้ บังคับด้วยหลากหลายวิธีเพื่อให้นักเรียนมาเสียเงินเรียนกับตัวเองนอกโรงเรียน
ครู”มากมาย” ไม่มีวิธีสอน ที่สามารถจูงใจ ให้นักเรียนเกิดความสนุก ในการเรียน    เรียนไปก็เบื่อหน่ายชีวิตไป
ครู”มากมาย” ทำร้ายนักเรียนทางอ้อม  ปล่อยเกรด   ไม่ให้นักเรียน”ซ้ำชั้น” ทั้งๆที่สอบตก เรียนไม่รู้เรื่อง อ่านหนังสือไม่ออก ปล่อยออกมาเดินลอยหน้าลอยตาอย่างภูมิใจ......เนื่องด้วยหลายเหตุผล ทั้งถูกผู้บริหารบังคับ หรือ กลัวตัวเองถูกประเมินคุณภาพต่ำ หรือ กลัวนักเรียนเกลียด หรือ ขี้เกียจใส่ใจรายละเอียด  หรือ บางคนมีตรรกะแบบไทยๆ “บาปกรรม?”
ครู”มากมาย” ขี้เกียจสอนหนังสือ ไม่มีการเตรียมการสอนให้นักเรียน เอาแต่สั่งการบ้านที่ไม่สร้างสรรค์ ไร้สาระ  เช่น คัดข้อความ  ,  สรุปย่อ  , แปล  จากหนังสือเรียน..........แถมเยอะด้วย! จากหลายๆวิชาพร้อมๆกัน    
ธุรกิจบางประเภท เช่น รับจ้างทำการบ้าน , รายงาน , แปล และ “ติวเตอร์ กวดวิชา!” จึงเกิดไงครับ  พวกเขาไม่ใช่ปัญหา  แต่เป็นช่องทางทำธุรกิจ มาสนอง need  และการที่ใครบางคนมองว่า ธุรกิจเต็มบ้านเต็มเมืองประเภทนี้ คือ ปัญหา   ต้องหาทางกำจัด เพื่อการศึกษาจะได้ดีขึ้น  ผมจึงไม่เห็นด้วย    เป็นวิธีแก้ปัญหาแบบโง่ๆ เพื่อปกป้องระบบเน่าๆ

“ระบบการศึกษาหลักเปลี่ยน   กวดวิชาก็เปลี่ยนตาม  เพื่อมาสนองความต้องการ ตราบที่ยังมีผู้เรียนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่เป็น”
จะมีความผิดเดียวของกวดวิชา ก็คือ บางครั้งก็ฟันค่าเรียนแพงเกินไป    
แต่จะมาโทษว่าสอนแบบให้จำสูตรสำเร็จไปสอบอย่างเดียว ..........ให้กลับไปอ่านประโยคข้างบนครับ
เพราะการศึกษาหลัก ยังวนเวียนอยู่แต่กับการทำข้อสอบปรนัย(multiple choices) ไม่ต้องแสดงความสามารถเชิงสร้างสรรค์อื่นๆ  แถมทำข้อสอบออกมามั่วๆ  มักง่ายเพื่อความรวดเร็วในการประเมินผล ทำให้มีคุณภาพห่วยอันดับโลก แต่ดันเอางบประมาณแผ่นดินไปผลาญมากที่สุด พวกที่จบดอกเตอร์นั่งหัวโด่ในกระทรวงมีปัญญาทำได้แค่นี้เองหรอครับ?
ภาษาอังกฤษในชีวิตจริง คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน และ แปลความนะครับ   ไม่ใช่อ่านแล้วกากบาทอย่างเดียว  
เวลาคุณไปสมัครงาน  HR เขาไม่ได้ยื่นข้อสอบกากบาทให้คุณทำเพื่อทดสอบความสามารถทางภาษาของคุณนะ
และมันก็เป็นเช่นเดียวกันกับ วิชาอื่นๆ
.........................................................................................................................
สะใจกันพอหรือยังครับ?  แต่จริงๆ ผมกะจะเล่นงานอีกฝ่ายมากกว่า...
สาเหตุหนึ่ง ที่ “ครู” มักถูกกล่าวโทษเป็นหลัก ก็เพราะ มันมองเห็นง่ายมากกว่า  เนื่องจากรูปแบบการเรียนดั้งเดิมที่ล้าหลัง
ชื่อว่า “ครูเป็นศูนย์กลาง” (Teacher-centered education)
แต่เทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ ใช้ระบบ “นักเรียนเป็นศูนย์กลาง” (student-centered education) เพราะ มันสร้างบุคลากรที่มีความกระตือรือร้น และสร้างสรรค์มากกว่าหุ่นยนต์ ที่ดีแต่ทำตามคำสั่ง    ซึ่งครูไม่ได้เป็นผู้สั่ง แต่กลายเป็นผู้ให้คำแนะนำแทน
ระบบการศึกษาไทยก็พยายามจะนำรูปแบบที่สองมาใช้อยู่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้จึงโทษครูอย่างเดียวไม่ได้  
ปัญหาจึงเกิดจาก  “นักเรียน”
ความเข้าใจผิดที่สุดของนักเรียน คือ การคิดว่าจะต้องมีคนมาคอยสั่งให้อ่าน สั่งให้จำ สั่งให้ทบทวน สั่งให้ทำทุกอย่างๆ เพื่อที่จะได้เรียนรู้
พอเรียนแย่ ตกงาน ก็โทษคนอื่นไปหมด…..ไม่เคยดูตัวเองว่าได้ขวนขวายนอกห้องเรียนหรือเปล่า  พอไม่มีคนสั่งให้เรียน ก็เออระเหยไปเรื่อย
อย่างภาษาอังกฤษ....ทำไมต้องสั่งให้อ่านตาม....ทั้งๆที่คอมพิวเตอร์ก็มีเครื่องมือมากมาย เช่น extension ของ web browser , google translate ที่อ่านออกเสียงให้ทันที ....แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครคิดจะทำ  ดีแต่ใช้เล่นเกม ดูหนัง?  ยิ่งพอมี smart phone ยิ่งแล้วใหญ่ พอเห็นว่าเรียนยาก ไม่สนุกแล้ว  ก็มุดหน้าลงมือถือทันที
อยากถามว่า ได้ระบบการศึกษาที่ดี ครูที่เก่ง แล้วยังไงห๊ะ?    
คุณจะต้องรอให้คนอื่นมาป้อนเข้าปากไปจนถึงอายุเท่าไหร่?อยากถูกเรียกว่าไม่รู้จักโตหรอ?
เพราะคิดกันแบบนี้ไม่เป็น  คนที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก จึงมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับประชากร 90 กว่าเปอร์เซนต์ที่ต้องถูกสั่ง
คนอย่าง สตีฟ จ๊อบ, บิล เกต ฯลฯ แม้เขาจะเคยออกจากโรงเรียน แต่เขาก็ไม่เคยหยุดเรียนรู้  

ต่อมาปัญหาของ”นักเรียน” ก็มักจะคาบเกี่ยวกับคนเป็น”พ่อแม่”เสมอ............พ่อแม่ที่ตามใจ กลัวลูกไม่รัก
...พ่อแม่หาให้  เรียนหนังสืออย่างเดียว...
...มีชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่ต้องลำบาก...
...ไม่มีแรงกดดัน...
...ไม่เห็นคุณค่าของเงิน...
...ไม่เห็นคุณค่าของการทำงาน...
...ไม่เห็นคุณค่าของการเรียน...
จนกำเนิดพวกประเภท “พ่อแม่จ้างมาเรียน”  
ซึ่งเรียกร้อง ความเข้าใจผิดที่สองคือ การเรียนต้องสนุก น่าดึงดูด
เพราะสื่อบันเทิง ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ  ทำให้นักเรียนมีนิสัยไม่สามารถมีสมาธิอยู่กับการอ่านหนังสือได้นานๆ
และเพราะการแข่งขันที่รุนแรงของกวดวิชาและสื่อบันเทิง ทำให้นักเรียนเข้าใจว่าครูต้องพูดกรอกหูตลอดเวลา ด้วยมุขตลกวัยรุ่น เรียกเสียงฮา
แต่นั้นคือสาระ? หรือ การเพิ่มอาการ”เสพติด ความบันเทิง”?
ลองถามคนที่เป็นโปรแกรมเมอร์ นักแปลภาษา หมอ ทนายความ ฯลฯ  ดูซิครับ  
เวลาเรียน พวกเขาต้องมีภาพเคลื่อนไหว เฮฮา ปาจิงโกะ มาดึงดูดไหม...
พูดตรงๆ นักเรียนสมัยนี้ยิ่งเรียน ยิ่งเรื่องมาก ด้อยคุณภาพ  นิสัยเสียขึ้นเรื่อยๆ
และไม่นานนักเรียนเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็จะโตขึ้นไปเป็นครู เป็นนักการเมือง ฯลฯ
ซ้ำเติมวัฏจักรแห่งความล่มสลายของสังคม

สรุป 1. ระบบการศึกษาแย่ เพราะ ครู และ คนในกระทรวงศึกษาธิการ
          2. แต่ ปัญหาการเรียนแย่  นักเรียนไม่มีสิทธิ์ไปโทษใคร  ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง
          3. สำหรับคนเป็นพ่อแม่  พอเถอะครับ ไอ้แผนการณ์ที่ว่า จะหาเงินให้ลูกได้อยู่อย่างสุขสบาย เรียนสูงๆอย่างเดียว เพื่อสนองปมด้อยที่      ขาดไปในสมัยตัวเอง  เพราะ สำหรับเด็ก 90 % มันไม่เวิร์คครับ ผลลัพธ์ที่ได้ ลูกจะไม่เห็นคุณค่าของการเรียน   ต้องให้ลำบากหาเงินเรียนด้วยตัวเอง

.......................................................................................
ปัญหาทั้งหมดนี้ ติวเตอร์อย่างผมแทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย  เพราะใช้เวลาแค่ 2-4 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์  กับนักเรียน
แต่กลับกลายเป็นว่า บ่อยครั้งผมต้องแบกรับความเสื่อมเสียของระบบการศึกษา และโดนด่า
นักเรียนอ่านหนังสือไม่ออกมายังไง  นักเรียนก็อ่านหนังสือไม่ออกอยู่อย่างนั้น
นักเรียนไม่กระตือรือร้นมายังไง  นักเรียนก็สอบไม่ติดอยู่อย่างนั้น
จนผมพอแหละ กับอาชีพนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่