ตำพูดที่ว่า ''ความสำเร็จ มัก จะผ่านความผิดพลาด ความล้มเหลว มาก่อน'' ผมว่ามันคือ เรื่อง จริง เป็น สัจธรรมของชีวิต
ก่อนหน้านั้น 1 ปี ผมเรียนที่ มหาลัยแห่งหนึ่ง เรียนภาคปกติก่อน เข้าเรียนตลอด แต่ ไม่ตั้งใจเรียน เวลาสอบมาก็ได้แค่ผ่าน = C และบางวิชาก็ได้ F และ D D+ เกรดของเทอมแรก ได้ 2.5 แต่พอมาเทอม 2 เหลือ 1.9 และ ปี 2 เทอม 1 เหลือ 1.2 เฉลี่ยกันแล้วได้น้อยกว่ามาตฐาน สุดท้ายก็โดนรีไทไปตามระเบียบ ร้องไห้หนักมาก และ ย้ายกลับมาอยู่บ้านที่ เชียงใหม่ และ นั้นคือจุดเปลี่ยนของชีวิตจากที่ เรียนๆ เที่ยวๆ ไม่ได้ทำงาน พอมาอยู่ที่เชียงใหม่แรกๆ ไม่ได้ทำงานอะไร แต่พอมีความคิดที่จะกลับเข้าไปเรียน มหาลัย อีกครั้งก็โดนทางบ้าน บ่นว่า กลับไปเรียนอีกทำไม เรียนไปก็เหมือนเดิม หากอยากเรียนก็ ส่งตัวเองเรียนแล้วกัน เรียนที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือนร้อน เรียนที่ไม่รบกวนเงินใครๆ ฟังทีแรกแล้วมันเจ็บแสบมากเพราะ เราอยากจะเรียนภาคปกติอ่ะ แต่อยากเรียนแต่ไม่มีใครส่ง มันก็เป็นไปไม่ได้อ่ะ ในเมื่ออยากเรียนอีก ก็ต้องยอมรับแล้วสินะ แม้จะเจ็บปวดแต่ยังไงก็ต้องยอมรับ ยอมทำงานและเก็บเงินและเรียนภาคพิเศษต่อไป ผมย้ายออกมาก ปี 2 เทอม 2 แน่นอนว่าจะต้องรออีก 1 เทอมหรือ ประมาณ 6 เดือนก่อน ก่อนที่มหาลัยจะเปิดสอบแ พอได้ยินคำพูดแบบนี้ผมก็ศึกษาข้อมูล และ พบว่า มีการเรียนมหาลัย รูปแบบหนึ่งที่น่าจะเหมาะกับผม นั้นคือ การเรียนมหาลัย ภาคพิเศษ เรียน เสาร์-อาทิตย์ และได้เปลี่ยนแปลงากที่ไม่มีงานทำเป็นมีงานทำประจำ เงินที่ได้ ก็ประมาณ 7000 บาท ต่อเดือน นั้นก็เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และ ค่าเทอม แต่ไม่เพียงพอในการนำไปใช้ เรื่อง จิปาถะ อื่นๆ
หลังจากที่เริ่มเก็บเงินไปเรื่อยๆ มหาลัยแห่งนี้ก็เปิดสอบ ให้นักเรียน เข้าสอบและผมก็ผ่าน ไม่ผ่านก็แปลกล่ะ มีคนสมัครสอบ 150 คน มีคนมาสออบ 105 คน จนหลายๆคนเอ่ยว่า กามั่วก็สอบผ่าน เห็นที่น่าจะจริง สำหรับภาคพิเศษ เนี้ย ล่าสุดตอนนี้ไม่มีการสอบแล้วนะ สมัคร และ รอจ่ายเงินได้เลย ผมว่า โอเค นะ เปลืองงบประมาณจัดสอบ แต่นั้นไม่สำคัญเท่าไหร่หากคุณเข้าไปและไม่ตั้งใจเรียน ไม่ใส่ใจการเรียน ไม่สนใจการเรียน ก็เท่านั้น
เทอมแรกที่เข้าไปเรียน เรียนตามปกติ วันธรรมดาก็ทำงาน วันเสาร์-อาทิตย์ เวลาแสนหวานของการพักผ่อนหย่อนใจ แต่คงไม่ใช่สำหรับผม เรียน ทั้งวันตั้งแต่ 8.00-18.00 เรียนสิบชั่วโมง สองวัน มันเหนื่อยสุดๆล่ะ กลับมาบ้าน วันอาทิตย์จากเลิกเรียนเนี้ย นอนเลยจร้า ไม่อาบน้ำอะไรเลย ตื่นมาอีกที เที่ยงคืน ก็ลุกไปอาบน้ำเล่น มือถือ สัก 2 ชั่วโมงและนอนตื่นอีกที 7.45 ก็กินข้าวและทำธุระส่วนตัว 9 โมงไปทำงาน เลิกงาน 17.30 กลับมาก็กินข้าวและทำธุระส่วนตัว พอถึงเวลา 19.30 ต้องมานั่งทำการบ้าน ทำจนถึงเวลา 20.30 ทำทุกวัน จ-ศ เลย ถยอยทำไปวันละนิดๆ ไปเรื่อย พอถึงเวลาใกล้จะสอบ แม่ มาบ่น อ่านหนังสือ อ่านหนังสือ แต่ก่อนนะอยู่ที่มหาลัยต่างจังหวัดนะ ไม่ค่อยได้อ่านเลย เพราะไม่มีใครมาคอยบ่นหรือว่าอะไรให้ฟัง แต่ตอนเนี้ยต้องอ่านล่ะดีกว่า โดนบ่น แต่พออ่านไปมันก็เริ่มรู้สึกว่ามัน สนุก โอเค อ่านไปได้ความรู้ ไป ผิดกบับความรู้สึกที่อ่านหนังสือตอนที่อยู่ที่มหาลัยเดิมที่ อ่านไปสัก ห้าบรรทัดแล้วปิดหนังสือ แต่ตอนนี้อ่านเยอะเป็น สิบๆ หน้า ไม่ใช่สิเป็น ร้อยเลยก็ว่าได มันเรียนตั้ง 5 วิชา ต่อ เทอม ถือว่าน้อยกว่ามหาลัยเดิมนะ ที่เรียน 7 วิชาต่อเทอม แต่ก็อย่างว่าภาคพิเศษเวลาเรียนมันจำกัด แต่วิชาแต่ละอันที่เรียนไปมันไม่ได้ง่ายเลย พูดตรงๆยากกว่า มหาลัยเดิมอีก แต่ ผลการเรียนในเทอมแรกที่ได้มาได้เกรดเฉลี่ยน 3.1 ตัว โอ้วๆ แถบจะตะลึง เป็นไปได้ เกรดของฉันเยอะขนาดนี้เลย วิชาแต่ละวิชาที่สอบก็ยากกว่ามหาลัยเดิมแท้ๆ เรียนก็เรียน ทำงานก็ทำงาน ทำงานเสร็จยังต้องมาทำการบ้าน บ้างครั้งทำการบ้านลากยาวไปตี 1 และจากเป็นเด็กหลังห้องตอนนี้กลายเป็นเด็กหน้าห้องไปแล้ว โฮะๆ และจากคนที่ไม่กล้าแสดงออก อาจารย์ถามไรมา นักศึกษาพอจะอธิบายเรื่องนี้ได้ไหม ผมเนี้ยตอบเลยครับ แรกๆ ก็กลัว กลัวทุกคนมองว่าเป็นตัวประหลาด แต่หลังๆ ชินล่ะ ใครจะมองอย่างไงก็ข่าง ฉันไม่ได้ทำผิดอะไรนิ 555+
ทำงานเอง จ่ายค่าเทอมเองดีกว่า เราคิดว่าเราได้ดีเพราะรู้จักคำว่ายากลำบากคืออะไร บางอย่างหน่ะ มันดีนะบางคนอาจจะคิดว่ามันน่าเบื่อ น่ารำคาญ อย่างการที่แม่บ่น หรือ ใครๆ บ่นให้เราไปอ่านหนังสือซะ ทำการบ้านซะ ตั้งใจเรียนซะ ผมว่ามันไม่ดีหรอกที่จะไปโกรธหรือเกลียดคำพูดเหล่านี้ คนที่หวังดีกับเราทำนั้นแหละที่จะพูดคำเหล่านี้ออกมาได้ คนที่ปฏิเสธความหวังดีของคนอื่นและคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แย่มาก ^^
เกรดเทอมล่าสุดปัจจุบัน 3.2 เฉลี่ย เทอม 1 3.2 เทอม 2 3.2 เฉลี่ยนได้ 3.2 ถึงจะได้เยอะแต่ความ Active ต้องมีเท่าเดิม ไม่ใช่ได้เยอะ แล้ว คิดว่าแน่ คงไม่ได้หรอก ประมาดเกินไปมันไม่ดีหรอก
#เกิดมาไม่เคยได้เกรด 3 กลับเขาเลย ตอนเรียนมัธยมปลาย ได้เกรดเฉลี่ยนรวม 2.32 เฮะๆ
# ณ ตอนนี้ยังแฮปปี้ดี จากที่เคยบ่น ชีวิตบัดซบ เปลี่ยนเป็นพูดว่า ชีวิตดีดี้ ไปล่ะ 5555
ตำพูดที่ว่า ''ความสำเร็จ มัก จะผ่านความผิดพลาด ความล้มเหลว มาก่อน'' ผมว่ามันคือ เรื่อง จริง เป็น สัจธรรมของชีวิต
ก่อนหน้านั้น 1 ปี ผมเรียนที่ มหาลัยแห่งหนึ่ง เรียนภาคปกติก่อน เข้าเรียนตลอด แต่ ไม่ตั้งใจเรียน เวลาสอบมาก็ได้แค่ผ่าน = C และบางวิชาก็ได้ F และ D D+ เกรดของเทอมแรก ได้ 2.5 แต่พอมาเทอม 2 เหลือ 1.9 และ ปี 2 เทอม 1 เหลือ 1.2 เฉลี่ยกันแล้วได้น้อยกว่ามาตฐาน สุดท้ายก็โดนรีไทไปตามระเบียบ ร้องไห้หนักมาก และ ย้ายกลับมาอยู่บ้านที่ เชียงใหม่ และ นั้นคือจุดเปลี่ยนของชีวิตจากที่ เรียนๆ เที่ยวๆ ไม่ได้ทำงาน พอมาอยู่ที่เชียงใหม่แรกๆ ไม่ได้ทำงานอะไร แต่พอมีความคิดที่จะกลับเข้าไปเรียน มหาลัย อีกครั้งก็โดนทางบ้าน บ่นว่า กลับไปเรียนอีกทำไม เรียนไปก็เหมือนเดิม หากอยากเรียนก็ ส่งตัวเองเรียนแล้วกัน เรียนที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือนร้อน เรียนที่ไม่รบกวนเงินใครๆ ฟังทีแรกแล้วมันเจ็บแสบมากเพราะ เราอยากจะเรียนภาคปกติอ่ะ แต่อยากเรียนแต่ไม่มีใครส่ง มันก็เป็นไปไม่ได้อ่ะ ในเมื่ออยากเรียนอีก ก็ต้องยอมรับแล้วสินะ แม้จะเจ็บปวดแต่ยังไงก็ต้องยอมรับ ยอมทำงานและเก็บเงินและเรียนภาคพิเศษต่อไป ผมย้ายออกมาก ปี 2 เทอม 2 แน่นอนว่าจะต้องรออีก 1 เทอมหรือ ประมาณ 6 เดือนก่อน ก่อนที่มหาลัยจะเปิดสอบแ พอได้ยินคำพูดแบบนี้ผมก็ศึกษาข้อมูล และ พบว่า มีการเรียนมหาลัย รูปแบบหนึ่งที่น่าจะเหมาะกับผม นั้นคือ การเรียนมหาลัย ภาคพิเศษ เรียน เสาร์-อาทิตย์ และได้เปลี่ยนแปลงากที่ไม่มีงานทำเป็นมีงานทำประจำ เงินที่ได้ ก็ประมาณ 7000 บาท ต่อเดือน นั้นก็เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และ ค่าเทอม แต่ไม่เพียงพอในการนำไปใช้ เรื่อง จิปาถะ อื่นๆ
หลังจากที่เริ่มเก็บเงินไปเรื่อยๆ มหาลัยแห่งนี้ก็เปิดสอบ ให้นักเรียน เข้าสอบและผมก็ผ่าน ไม่ผ่านก็แปลกล่ะ มีคนสมัครสอบ 150 คน มีคนมาสออบ 105 คน จนหลายๆคนเอ่ยว่า กามั่วก็สอบผ่าน เห็นที่น่าจะจริง สำหรับภาคพิเศษ เนี้ย ล่าสุดตอนนี้ไม่มีการสอบแล้วนะ สมัคร และ รอจ่ายเงินได้เลย ผมว่า โอเค นะ เปลืองงบประมาณจัดสอบ แต่นั้นไม่สำคัญเท่าไหร่หากคุณเข้าไปและไม่ตั้งใจเรียน ไม่ใส่ใจการเรียน ไม่สนใจการเรียน ก็เท่านั้น
เทอมแรกที่เข้าไปเรียน เรียนตามปกติ วันธรรมดาก็ทำงาน วันเสาร์-อาทิตย์ เวลาแสนหวานของการพักผ่อนหย่อนใจ แต่คงไม่ใช่สำหรับผม เรียน ทั้งวันตั้งแต่ 8.00-18.00 เรียนสิบชั่วโมง สองวัน มันเหนื่อยสุดๆล่ะ กลับมาบ้าน วันอาทิตย์จากเลิกเรียนเนี้ย นอนเลยจร้า ไม่อาบน้ำอะไรเลย ตื่นมาอีกที เที่ยงคืน ก็ลุกไปอาบน้ำเล่น มือถือ สัก 2 ชั่วโมงและนอนตื่นอีกที 7.45 ก็กินข้าวและทำธุระส่วนตัว 9 โมงไปทำงาน เลิกงาน 17.30 กลับมาก็กินข้าวและทำธุระส่วนตัว พอถึงเวลา 19.30 ต้องมานั่งทำการบ้าน ทำจนถึงเวลา 20.30 ทำทุกวัน จ-ศ เลย ถยอยทำไปวันละนิดๆ ไปเรื่อย พอถึงเวลาใกล้จะสอบ แม่ มาบ่น อ่านหนังสือ อ่านหนังสือ แต่ก่อนนะอยู่ที่มหาลัยต่างจังหวัดนะ ไม่ค่อยได้อ่านเลย เพราะไม่มีใครมาคอยบ่นหรือว่าอะไรให้ฟัง แต่ตอนเนี้ยต้องอ่านล่ะดีกว่า โดนบ่น แต่พออ่านไปมันก็เริ่มรู้สึกว่ามัน สนุก โอเค อ่านไปได้ความรู้ ไป ผิดกบับความรู้สึกที่อ่านหนังสือตอนที่อยู่ที่มหาลัยเดิมที่ อ่านไปสัก ห้าบรรทัดแล้วปิดหนังสือ แต่ตอนนี้อ่านเยอะเป็น สิบๆ หน้า ไม่ใช่สิเป็น ร้อยเลยก็ว่าได มันเรียนตั้ง 5 วิชา ต่อ เทอม ถือว่าน้อยกว่ามหาลัยเดิมนะ ที่เรียน 7 วิชาต่อเทอม แต่ก็อย่างว่าภาคพิเศษเวลาเรียนมันจำกัด แต่วิชาแต่ละอันที่เรียนไปมันไม่ได้ง่ายเลย พูดตรงๆยากกว่า มหาลัยเดิมอีก แต่ ผลการเรียนในเทอมแรกที่ได้มาได้เกรดเฉลี่ยน 3.1 ตัว โอ้วๆ แถบจะตะลึง เป็นไปได้ เกรดของฉันเยอะขนาดนี้เลย วิชาแต่ละวิชาที่สอบก็ยากกว่ามหาลัยเดิมแท้ๆ เรียนก็เรียน ทำงานก็ทำงาน ทำงานเสร็จยังต้องมาทำการบ้าน บ้างครั้งทำการบ้านลากยาวไปตี 1 และจากเป็นเด็กหลังห้องตอนนี้กลายเป็นเด็กหน้าห้องไปแล้ว โฮะๆ และจากคนที่ไม่กล้าแสดงออก อาจารย์ถามไรมา นักศึกษาพอจะอธิบายเรื่องนี้ได้ไหม ผมเนี้ยตอบเลยครับ แรกๆ ก็กลัว กลัวทุกคนมองว่าเป็นตัวประหลาด แต่หลังๆ ชินล่ะ ใครจะมองอย่างไงก็ข่าง ฉันไม่ได้ทำผิดอะไรนิ 555+
ทำงานเอง จ่ายค่าเทอมเองดีกว่า เราคิดว่าเราได้ดีเพราะรู้จักคำว่ายากลำบากคืออะไร บางอย่างหน่ะ มันดีนะบางคนอาจจะคิดว่ามันน่าเบื่อ น่ารำคาญ อย่างการที่แม่บ่น หรือ ใครๆ บ่นให้เราไปอ่านหนังสือซะ ทำการบ้านซะ ตั้งใจเรียนซะ ผมว่ามันไม่ดีหรอกที่จะไปโกรธหรือเกลียดคำพูดเหล่านี้ คนที่หวังดีกับเราทำนั้นแหละที่จะพูดคำเหล่านี้ออกมาได้ คนที่ปฏิเสธความหวังดีของคนอื่นและคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แย่มาก ^^
เกรดเทอมล่าสุดปัจจุบัน 3.2 เฉลี่ย เทอม 1 3.2 เทอม 2 3.2 เฉลี่ยนได้ 3.2 ถึงจะได้เยอะแต่ความ Active ต้องมีเท่าเดิม ไม่ใช่ได้เยอะ แล้ว คิดว่าแน่ คงไม่ได้หรอก ประมาดเกินไปมันไม่ดีหรอก
#เกิดมาไม่เคยได้เกรด 3 กลับเขาเลย ตอนเรียนมัธยมปลาย ได้เกรดเฉลี่ยนรวม 2.32 เฮะๆ
# ณ ตอนนี้ยังแฮปปี้ดี จากที่เคยบ่น ชีวิตบัดซบ เปลี่ยนเป็นพูดว่า ชีวิตดีดี้ ไปล่ะ 5555