สงคราม "อานามสยามยุทธ"

ค.ศ.1831 - 1834 และ ค.ศ.1841 - 1845) หรือสงครามระหว่างสยามกับอันนัม(เวียดนาม) ในสมัยรัชกาลที่สามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่นำเอาประวัติศาสตร์ในยุคดังกล่าวมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์
“อานามสยามยุทธ”เรียบเรียงจาก บันทึกรายงานราชการทัพ ในการศึกสงครามระหว่างไทย กับลาว
เขมรและญวน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ตั้งแต่เริ่มมีมูลเหตุ
ที่จุดชนวนสงคราม จนสงครามยุติลงด้วการเจรจาสงบศึก รวมเวลากว่า 21ปี
อานามสยามยุทธ คือสงครามระหว่างไทยกับญวนในสมัยรัชกาลที่ ๓ อันมีเหตุมาจากการ ที่ญวนพยายามเข้าแทรกแซงกิจการภายในเขมร และลาวซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของไทย ขณะเดียวกันเขมรก็มีทีท่าฝักใฝ่ญวนและยอมรับวัฒนธรรมของญวนในหลาย ๆ ด้าน เช่นการ ศาสนาเป็นต้น ในพ.ศ.๒๓๗๖ เมืองไซง่อนก่อการจราจลโดยฝ่ายกบฏ พระบาทสมเด็จพระนั่ง
เกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็น
แม่ทัพบกยกกองทัพไปตีเขมรและหัวเมืองญวนโดยมีกำลังพล 100,000 ลงไปถึงเมืองไซง่อนเพื่อช่วยฝ่ายกบฏ และให้
้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) เป็นแม่ทัพเรือไปตีหัวเมืองเขมรและญวนตามชายฝั่งทะเล
โดยไปสมทบกับกองทัพบกที่เมืองไซง่อน
หมายเลข 1 กองทัพบกของเจ้าพระยาบดินทรเดชา(อดีตคือพระยาราชสุภาวดี) แม่ทัพใหญ่ของสยามยกพลไปตามคลองสำโรง ล่องน้ำบางปะกงไปเมืองปราจีน จากนั้นเดินทัพบกเข้าเขมรที่พระตะบอง พนมเปญ นัดพบกับทัพเรือเข้าตีเมืองโจดก(เมืองที่อยู่ปากแม่น้ำโขง ท้ายโตนเลสาบ) เกณฑ์คนจากสยาม ๕๐,๐๐๐ คน(ส่วนมากเป็นคนลาวที่ถูกกวาดต้อนมารวมกับทหารมอญ) เกณฑ์คนจากโคราชและหัวเมืองลาวอีก ๒๐,๐๐๐ คน เกณฑ์หัวเมืองเขมรอีก ๒๐,๐๐๐ คน รวมเป็นพลประมาณ ๙๐,๐๐๐ คน
หมายเลข 2 กองทัพเรือของเจ้าพระยาพระคลัง(ดิศ บุนนาค) ยกพลเรียบอ่าวไปตีเมืองฮาเตียนหรือพุทไธมาศ เกณฑ์ทหารจากกรุงเทพฯและหัวเมืองริมน้ำ ๑๕,๐๐๐ คน เกณฑ์ทหารจากเมืองจันทบุรี ตราด และเขมรอีก ๕,๐๐๐ คน รวมเป็นพลประมาณ ๒๐,๐๐๐ คน
หมายเลข 3 กองทัพบกของพระมหาเทพ ยกพลไปเมืองนครพนม เข้าตีเมืองเหง่อานของเวียดนาม โดยไปเกณฑ์หัวเมืองลาวตะวันออกคือแถบสะหวันนะเขต จำปาสัก ๑๐,๐๐๐ คน และกองตำรวจจากกรุงเทพฯอีก ๔,๐๐๐ คน รวมเป็นพลประมาณ ๑๔,๐๐๐ คน
หมายเลข 4 กองทัพบกฝ่ายเหนือของเจ้าพระยาธรรมา(สมบุญ) ให้ยกขึ้นไปทางเมืองพิชัย ปากลาย หลวงพระบาง ให้ยกกำลังไปเกลี้ยกล่อม หรือตีหัวเมืองเล็กๆในลาวเหนือใกล้กับหลวงพระบางเอามาไว้ในเขตไทยให้หมด
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงมีพระราชดำริ เห็นเป็นโอกาสที่จะเอาเขมรคืนจากอำนาจญวน ให้ญวนหายกำเริบเสียบ้าง จึงโปรดฯให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาเป็นแม่ทัพบก โปรดให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) เป็นแม่ทัพเรือ ยกไปตีหัวเมืองเขมรและญวนตามชายทะเล แล้วจึงไปสมทบกับกองทัพบกเข้าตีไซ่ง่อนด้วยกัน กองทัพบกนั้น พอเข้าแดนเขมร สมเด็จพระอุทัยราชา (นักองจัน) ก็หนีไปไซ่ง่อน พวกเขมรจึงเข้าอ่อนน้อมโดยดี
เจ้าพระยาบดินทร์ จึงตีหัวเมืองชายแดนญวน เข้าไปสมทบกับกองทัพเรือ ซึ่งรอจะเข้าตีค่ายใหญ่ของญวนอันเป็นด่านปากคลองขุด แต่กองทัพเรือรบพุ่งอ่อนแอ พวกเขมรหัวเมืองข้างใต้คือที่ติดกับอาณาเขตญวน เห็นกองทัพไทยทำการไม่สำเร็จ ก็พากันกบฏขึ้นด้วย ทั้งกองทัพไทยยังขัดสนเสบียงอาหาร ต้องเลิกทัพกลับ
ญวนได้ทีจึงตั้งข้าหลวง และทหารนำสมเด็จพระอุทัยราชา (นักองจัน) กลับมาอยู่พนมเปญ เขมรจึงตกอยู่ในอำนาจญวนยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ จึงโปรดให้เจ้าพระยาบดินทร์ ตั้งทัพขัดตาทัพอยู่ที่เมืองพระตะบอง ซึ่งเป็นของไทยพร้อมกับเมืองเสียมราฐ มาแต่รัชกาลที่ ๑ โดยสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี (นักองเอง) ถวายให้เป็นสิทธิขาดแก่ไทย (ที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ต้นสกุล อภัยวงศ์ เป็นผู้ว่าราชการสืบต่อๆกันมา)
ปีต่อสมเด็จพระอุทัยราชา (นักองจัน) ถึงพิราลัย ไม่มีลูกชาย ญวนจึงยกลูกหญิงขึ้นครองเมือง แล้วกวาดเอาพวกราชวงศ์เขมรกับขุนนางผู้ใหญ่ไปไว้เมืองญวน เข้าปกครองเมืองเขมรอย่างหัวเมืองของญวน เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมให้เป็นอย่างญวน ให้รื้อวัด สึกพระภิกษุสามเณรเสียเป็นอันมาก พวกเขมรถูกบังคับรีดนาทาเร้น เดือดร้อน ก็พากันกบฏ เมืองเขมรก็วุ่นวายอยู่ตลอดเวลา
จนถึง พ.ศ.๒๓๘๐ พวกขุนนางพากันบอกมายังเจ้าพระยาบดินทร์ ที่ตั้งขัดตาทัพอยู่เมืองพระตะบอง ขอกลับมาอยู่กับไทย ขอกำลังช่วยปราบญวน และขอพระราชทาน นักองด้วง น้องชายของสมเด็จพระอุทัยราชา ที่อยู่ในกรุงเทพฯ ออกไปครองเขมร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ จึงโปรดฯให้เจ้าพระยาบดินทร์ยกกองทัพเข้าไปเขมร และโปรดฯให้พระองค์ด้วงออกไปเข้ากองทัพเจ้าพระยาบดินทร์ด้วย มีพระบรมราชโองการว่า หากเขมรสงบเรียบร้อยเมื่อใดให้อภิเษกนักองด้วงขึ้นครองเขมร
เจ้าพระยาบดินทรเดชา ต้องอยู่ในเขมร สู้รบกับญวนนานถึง ๑๖ ปี ตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๗๖ ถึง พ.ศ.๒๓๙๐ ศึกจึงสงบลงได้ นักองด้วง ขึ้นครองราชย์ เป็นสมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดี ณ กรุงอุดงมีชัย ในที่สุดการรบระหว่างญวนกับไทยที่ยืดเยื้อมาถึง ๑๔ ปี ก็ต้องยุติลงโดยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ยกเลิกการศึกครั้งนี้และมีการเจรจาสงบศึกใน พ.ศ.๒๓๙๐เพราะ ทรงพิจารณาเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองทรัพยากรและกำลังคนโดยฝ่ายไทยแทบจะไม่ได้ชัยชนะ
อ่านต่อได้ที่
http://e-shann.com/?p=8999
ต่อจากนี้ไป พ่อเหมก็จะได้เข้า ร่วมกับกองกำลังของเจ้าพระยาบดินทร์เดชา ร่วมรบในสงครามอานามสยามยุทธ ต่อไป
ศึกอานามสยามยุทธ ประวัติศาสตร์ไทยใน ข้าบดินทร์
“อานามสยามยุทธ”เรียบเรียงจาก บันทึกรายงานราชการทัพ ในการศึกสงครามระหว่างไทย กับลาว
เขมรและญวน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ตั้งแต่เริ่มมีมูลเหตุ
ที่จุดชนวนสงคราม จนสงครามยุติลงด้วการเจรจาสงบศึก รวมเวลากว่า 21ปี
อานามสยามยุทธ คือสงครามระหว่างไทยกับญวนในสมัยรัชกาลที่ ๓ อันมีเหตุมาจากการ ที่ญวนพยายามเข้าแทรกแซงกิจการภายในเขมร และลาวซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของไทย ขณะเดียวกันเขมรก็มีทีท่าฝักใฝ่ญวนและยอมรับวัฒนธรรมของญวนในหลาย ๆ ด้าน เช่นการ ศาสนาเป็นต้น ในพ.ศ.๒๓๗๖ เมืองไซง่อนก่อการจราจลโดยฝ่ายกบฏ พระบาทสมเด็จพระนั่ง
เกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็น
แม่ทัพบกยกกองทัพไปตีเขมรและหัวเมืองญวนโดยมีกำลังพล 100,000 ลงไปถึงเมืองไซง่อนเพื่อช่วยฝ่ายกบฏ และให้
้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) เป็นแม่ทัพเรือไปตีหัวเมืองเขมรและญวนตามชายฝั่งทะเล
โดยไปสมทบกับกองทัพบกที่เมืองไซง่อน
หมายเลข 1 กองทัพบกของเจ้าพระยาบดินทรเดชา(อดีตคือพระยาราชสุภาวดี) แม่ทัพใหญ่ของสยามยกพลไปตามคลองสำโรง ล่องน้ำบางปะกงไปเมืองปราจีน จากนั้นเดินทัพบกเข้าเขมรที่พระตะบอง พนมเปญ นัดพบกับทัพเรือเข้าตีเมืองโจดก(เมืองที่อยู่ปากแม่น้ำโขง ท้ายโตนเลสาบ) เกณฑ์คนจากสยาม ๕๐,๐๐๐ คน(ส่วนมากเป็นคนลาวที่ถูกกวาดต้อนมารวมกับทหารมอญ) เกณฑ์คนจากโคราชและหัวเมืองลาวอีก ๒๐,๐๐๐ คน เกณฑ์หัวเมืองเขมรอีก ๒๐,๐๐๐ คน รวมเป็นพลประมาณ ๙๐,๐๐๐ คน
หมายเลข 2 กองทัพเรือของเจ้าพระยาพระคลัง(ดิศ บุนนาค) ยกพลเรียบอ่าวไปตีเมืองฮาเตียนหรือพุทไธมาศ เกณฑ์ทหารจากกรุงเทพฯและหัวเมืองริมน้ำ ๑๕,๐๐๐ คน เกณฑ์ทหารจากเมืองจันทบุรี ตราด และเขมรอีก ๕,๐๐๐ คน รวมเป็นพลประมาณ ๒๐,๐๐๐ คน
หมายเลข 3 กองทัพบกของพระมหาเทพ ยกพลไปเมืองนครพนม เข้าตีเมืองเหง่อานของเวียดนาม โดยไปเกณฑ์หัวเมืองลาวตะวันออกคือแถบสะหวันนะเขต จำปาสัก ๑๐,๐๐๐ คน และกองตำรวจจากกรุงเทพฯอีก ๔,๐๐๐ คน รวมเป็นพลประมาณ ๑๔,๐๐๐ คน
หมายเลข 4 กองทัพบกฝ่ายเหนือของเจ้าพระยาธรรมา(สมบุญ) ให้ยกขึ้นไปทางเมืองพิชัย ปากลาย หลวงพระบาง ให้ยกกำลังไปเกลี้ยกล่อม หรือตีหัวเมืองเล็กๆในลาวเหนือใกล้กับหลวงพระบางเอามาไว้ในเขตไทยให้หมด
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงมีพระราชดำริ เห็นเป็นโอกาสที่จะเอาเขมรคืนจากอำนาจญวน ให้ญวนหายกำเริบเสียบ้าง จึงโปรดฯให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาเป็นแม่ทัพบก โปรดให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) เป็นแม่ทัพเรือ ยกไปตีหัวเมืองเขมรและญวนตามชายทะเล แล้วจึงไปสมทบกับกองทัพบกเข้าตีไซ่ง่อนด้วยกัน กองทัพบกนั้น พอเข้าแดนเขมร สมเด็จพระอุทัยราชา (นักองจัน) ก็หนีไปไซ่ง่อน พวกเขมรจึงเข้าอ่อนน้อมโดยดี
เจ้าพระยาบดินทร์ จึงตีหัวเมืองชายแดนญวน เข้าไปสมทบกับกองทัพเรือ ซึ่งรอจะเข้าตีค่ายใหญ่ของญวนอันเป็นด่านปากคลองขุด แต่กองทัพเรือรบพุ่งอ่อนแอ พวกเขมรหัวเมืองข้างใต้คือที่ติดกับอาณาเขตญวน เห็นกองทัพไทยทำการไม่สำเร็จ ก็พากันกบฏขึ้นด้วย ทั้งกองทัพไทยยังขัดสนเสบียงอาหาร ต้องเลิกทัพกลับ
ญวนได้ทีจึงตั้งข้าหลวง และทหารนำสมเด็จพระอุทัยราชา (นักองจัน) กลับมาอยู่พนมเปญ เขมรจึงตกอยู่ในอำนาจญวนยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ จึงโปรดให้เจ้าพระยาบดินทร์ ตั้งทัพขัดตาทัพอยู่ที่เมืองพระตะบอง ซึ่งเป็นของไทยพร้อมกับเมืองเสียมราฐ มาแต่รัชกาลที่ ๑ โดยสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี (นักองเอง) ถวายให้เป็นสิทธิขาดแก่ไทย (ที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ต้นสกุล อภัยวงศ์ เป็นผู้ว่าราชการสืบต่อๆกันมา)
ปีต่อสมเด็จพระอุทัยราชา (นักองจัน) ถึงพิราลัย ไม่มีลูกชาย ญวนจึงยกลูกหญิงขึ้นครองเมือง แล้วกวาดเอาพวกราชวงศ์เขมรกับขุนนางผู้ใหญ่ไปไว้เมืองญวน เข้าปกครองเมืองเขมรอย่างหัวเมืองของญวน เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมให้เป็นอย่างญวน ให้รื้อวัด สึกพระภิกษุสามเณรเสียเป็นอันมาก พวกเขมรถูกบังคับรีดนาทาเร้น เดือดร้อน ก็พากันกบฏ เมืองเขมรก็วุ่นวายอยู่ตลอดเวลา
จนถึง พ.ศ.๒๓๘๐ พวกขุนนางพากันบอกมายังเจ้าพระยาบดินทร์ ที่ตั้งขัดตาทัพอยู่เมืองพระตะบอง ขอกลับมาอยู่กับไทย ขอกำลังช่วยปราบญวน และขอพระราชทาน นักองด้วง น้องชายของสมเด็จพระอุทัยราชา ที่อยู่ในกรุงเทพฯ ออกไปครองเขมร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ จึงโปรดฯให้เจ้าพระยาบดินทร์ยกกองทัพเข้าไปเขมร และโปรดฯให้พระองค์ด้วงออกไปเข้ากองทัพเจ้าพระยาบดินทร์ด้วย มีพระบรมราชโองการว่า หากเขมรสงบเรียบร้อยเมื่อใดให้อภิเษกนักองด้วงขึ้นครองเขมร
เจ้าพระยาบดินทรเดชา ต้องอยู่ในเขมร สู้รบกับญวนนานถึง ๑๖ ปี ตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๗๖ ถึง พ.ศ.๒๓๙๐ ศึกจึงสงบลงได้ นักองด้วง ขึ้นครองราชย์ เป็นสมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดี ณ กรุงอุดงมีชัย ในที่สุดการรบระหว่างญวนกับไทยที่ยืดเยื้อมาถึง ๑๔ ปี ก็ต้องยุติลงโดยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ยกเลิกการศึกครั้งนี้และมีการเจรจาสงบศึกใน พ.ศ.๒๓๙๐เพราะ ทรงพิจารณาเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองทรัพยากรและกำลังคนโดยฝ่ายไทยแทบจะไม่ได้ชัยชนะ
อ่านต่อได้ที่ http://e-shann.com/?p=8999
ต่อจากนี้ไป พ่อเหมก็จะได้เข้า ร่วมกับกองกำลังของเจ้าพระยาบดินทร์เดชา ร่วมรบในสงครามอานามสยามยุทธ ต่อไป