คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
แปลว่าเป็นคนมีทัศนคติ "ก่นทุกข์"
คือจนก็ทุกข์ รวยก็ทุกข์ แบบนี้สภาวะจิตไม่ขึ้นกับสถานะการเงิน แต่ขึ้นกับตัวเองล้วนๆ
ส่วนคนที่คิดหรือแชร์ประโยคนี้ เพื่อเน้นให้เห็นว่า รวย = ทุกข์
เป็นคนที่มีทัศนคติการเงินที่เรียกว่า Poverty Consciousness-ทัศนคติยาจก
คือรู้สึกติดลบกับการเงินว่า เงิน = ไม่ดี รวย = แย่ จน = เป็นคนดี จน = มีความสุขกว่ารวย
พวกนี้ต่อให้ได้เงินมากจะมีแต่เรื่องต้องใช้ ต้องเสียเงิน
เพราะจิตใต้สำนึกฝังรากไปแล้วว่า อย่ามีเงิน ต้องจนถึงจะดีมีความสุข
จิตจึงทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ กันเงินส่วนเกินออกไปจากตัว ด้วยสถานการณ์เสียเงินรูปแบบต่างๆ
คือจนก็ทุกข์ รวยก็ทุกข์ แบบนี้สภาวะจิตไม่ขึ้นกับสถานะการเงิน แต่ขึ้นกับตัวเองล้วนๆ
ส่วนคนที่คิดหรือแชร์ประโยคนี้ เพื่อเน้นให้เห็นว่า รวย = ทุกข์
เป็นคนที่มีทัศนคติการเงินที่เรียกว่า Poverty Consciousness-ทัศนคติยาจก
คือรู้สึกติดลบกับการเงินว่า เงิน = ไม่ดี รวย = แย่ จน = เป็นคนดี จน = มีความสุขกว่ารวย
พวกนี้ต่อให้ได้เงินมากจะมีแต่เรื่องต้องใช้ ต้องเสียเงิน
เพราะจิตใต้สำนึกฝังรากไปแล้วว่า อย่ามีเงิน ต้องจนถึงจะดีมีความสุข
จิตจึงทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ กันเงินส่วนเกินออกไปจากตัว ด้วยสถานการณ์เสียเงินรูปแบบต่างๆ
แสดงความคิดเห็น
คิดยังไงกับคำพูดของคนรวยที่ว่า "ชีวิตที่เป็นอยู่หลังจากรวยแล้ว แย่กว่าตอนจน"
ซึ่งในความคิดผม ผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่สมเหตุสมผล มันคือสัจธรรม มันคือการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
ผมมักจะเห็นคำพูดแบบนี้ แชร์สอน ตามsocail network มากมาย
พยายามที่จะชี้นำ ว่าความร่ำรวย เป็นสิ่งที่ไม่ดี
คำพูดดังกล่าว น่าเชื่อถือแค่ไหน มีบ้างไหมที่เศรษฐีเหล่านั้นจะยอมกลับมาจนอีกครั้ง?
ความร่ำรวยเป็นสิ่งที่ผิด? หรือสิ่งที่ผิดคือการล้มเหลวในการหาความสุขของพวกเขาเอง?