ทุกปัญหามีทางออก แต่บางทีทางออก ไม่ใช่จุดหมายที่เราจะไป คุณจะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรช่วยผมด้วย TT

สวัสดีครับ ผมมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเรียนครับ ปัจจุบันผมเรียนครุศาสตร์ ตอนนี้ก็กำลังจะเข้าปี 3 แล้ว แต่ผมรู้สึกไม่ใช่ ผมไม่ชอบงานนั่งโต๊ะ งานที่ต้องมีใครมาตีกรอบให้ งานวิชาการ งานเอกสาร ตอนผมสอบเข้ามาครุศาสตร์ "เพราะค่านิยมเลย" คือสังคมสมัยนี้ อะไรก็ต้องแข่งขันกันไปหมด ที่เห็นๆกันบ่อยๆก็โรงเรียน มหาลัย คณะที่เรียน สาขา ไปจนถึงการทำงาน ซึ่งแน่นอน ต้องมีการเปรียบเทียบ จากเพื่อน หรือผู้ใหญ่(บางคน) จนบางทีดูถูกวิชาชีพอื่น มหาลัยนั้นไม่ดี คณะนั้นไม่ดี จบมาไม่มีงานทำ หางานยาก ต้องเป็น หมอ ทนาย อัยการ ผู้พิพากษา ครู ทันตแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ เภสัชกร
สัตว์แพทย์ ทหารเรือ เป็นอาชีพที่มีเกียร(ผมว่ามันอยู่ที่คน) ซึ่งแน่นอนมันไม่ส่งผลให้ผลให้คนบางคนมีความสุขได้หรอก รวมตัวผมด้วยแหละ ผมรักอิสระ รักความเป็นตัวเองสูง
ชอบงานที่ทำแล้วมีความสุข ถ้าถามผมเคยเป็นครูแล้วหรอ ถึงรู้ว่ามันไม่ใช่ความสุขของผม ป่าวครับ แต่อย่างที่บอกผมชอบอิสระมากกว่า ผมรักในการเล่นดนตรี เสียงดนตรี ชอบธรรมชาติ ป่าเข้า ที่ไกลเมือง ที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีความวุ่นวาย ที่ไม่มีการแข่งขัน ตอนนี้ผมทำงานอยู่ที่ผับแห่งหนึ่งเล่นดนตรีอยู่ครับ เงินเดินก็พอเลี้ยงตัวเองได้(ผมเป็นคนใช้เงินเก่งเกิน55) แต่ก็สามารถเครียค่าใช้จ่าย เช่นค่าไฟ ค่าเทอม ค่ากินค่าอยู่ เงินเก็บผมก็ จะใช้ในการเที่ยวตามธรรมชาติป่าเข้า ค่าใช้จ่ายก็ไม่มากมายเท่าไร ที่สำคัญผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำงานถึงจะมีเบื่อบ้าง แต่พอได้ขึ้นไปบนเวที ผมมีความสุขทุกครั้ง ผมทำมาปีกว่าหละครับทุกวัน หยุดแค่วันพระใหญ่ผมก็เข้าป่าขึ้นเขา หาอากาศบริสุทธิ แต่ก็ต้องมาหนักใจ เรื่องพ่อแม่ผมเค้าอยากให้ผม มีอนาคตที่ดี สุขสบายสวัสดิการดี เวลาเจ็บป่วย จะได้ไม่ต้องลำบากหาเงินมารักษา มีความมั่นคงในการงานการครองชีพการใช้ชีวิต โอ้วสุดยอดไปเลย แต่ผมไม่ได้ต้องการอะไรมากมายขนาดนั้น ผมแค่ต้องการทำวันนี้ให้มีความสุขที่สุดเท่าที่ผมทำได้ก็พอ พรุ้งนี้ค่อยว่ากัน ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน ผมก็เลยไปสมัคเรียนใหม่ สอบใหม่ เข้าเอกดนตรีการแสดง ผมบอกพ่อแม่ ว่าเรื่องค่าเรียนที่ผมกำลังจะเรียนผมจัดการเองได้ ผมไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบากเพราะผม ผมกะว่าจะส่งตัวเองเรียนจนจบ หลังจากนั้นผมก็จัดการเรื่องทั้งหมด เรื่องค่าเทอม9000+บ./เทอม รวมค่าลงทะเบียน ทุกอย่างเรียบร้อย แต่ถ้าว่าพ่อแม่ผมท่านไม่ยอมให้ย้าย คือถ้าไม่เซ็นใบลาออกให้ผมก็ออกไม่ได้(อันนี้ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนะครับ อ.ที่ปรึกษาบอกมา) คือเค้าโทรไปทางมหาลัยเรื่องผมเลย ไม่ยอมให้ผมลาออก แล้วให้กลับไปเรียนครูเหมือนเดิม อันนี้ผมก็เข้าใจนะครับ เสียเวลาไปตั้งหลายไปหละ แต่ก็นะ ความรู้สึกของคนที่ไม่ชอบอะไรแนวนี้ ต้องทำผลงาน ต้องออกแบบการสอน ต้องวางแผนการสอน เข้าร่วมโน่นนี่นั่น การเป็นครูไม่ได้ทำงานแค่สอนในห้องเรียนอย่างเดียวอยู่แล้ว สรุปก็คือไม่ชอบนั่นแหละ ทำเพราะเป็นหน้าที่ ไม่อยากทำก็เลี่ยงไม่ได้ ต่างกับดนตรี บอกเลย นักดนตรีไม่ได้จนกัดเกลือกินกันทุกคนหรอก ถ้ามีวินัยในการใช้เงิน ผมไม่กินเหล้า ไม่เสพยาทุกประเภท1234เลย แต่สูปบุหรี่ 7 วันก็แค่1-2ซอง ตก 80 บาท (sms) ทำงานเสร็จก็กลับบ้านฟังเพลงนอน ทำงานวันหละ 80 นาที เงินเดือน 9500 ค่าไฟเปิดแอร์ไม่เกิน1500 ค่ากินเดือนหละ 2000 ค่า ค่าน้ำมันเดือนหละ 7วัน 100 บ. 30 วันก็ตก400-500 บ. (บ้านใกล้ ม และ ที่ทำงาน) ค่าของใช้ก็ไม่เกิน1000/เดือน

ที่เหลือเก็บเป็นความลับ ^^

แล้วถ้าผมได้เรียนต่อเอกดนตรี เวลาผมก็จะมีเยอะขึ้น ความรู้ความเค้าใจมากขึ้น ผมจะได้เอาไปใช้ในการทำงาน
แต่ติดที่ว่า ผมไม่สามารถพูดให้เค้าเข้าใจผมได้ แล้วอีกไม่ถึงเดือนเค้าให้ผมคิดว่าจะทำยังไงกลับไปเรียน หรือ ไม่ไปเรียนเลย เพราะเค้าไม่ยอมเซ็นออกให้ไปเรียนสาขาอื่นคณะอื่น ผมควรทำยังไงดีครับ?

*เพิ่มเติมรายละเอียด
-ผมทำงานที่เดียว 9500 วันหละ 80 นาทีโดยเฉลี่ย(นักดนตรีเป็นอาชีพที่รับงานหลายที่ได้ถ้าเวลาไม่ทับกันถ้าทำสองที่ก็คงพอ)
-ทำงานนอก 800+ต่อชั่วโมง(บางที่ถึง3000เลยนะไม่รวมทิปอีก)

สุดท้ายนี้ผมว่าอาชีพไหนเรียนอะไรที่ไหนก็ไม่ต่างกันหรอกครับ คุณค่าของคนมันอยู่ที่การกระทำการใช้ชีวิตมากว่า ว่าคุณทำให้มีค่ามากแค่ไหน ต่อให้เป็นพระ เป็น ผู้ถือศิลมาจากไหน ถ้าทำตัวไม่มีคุณค่าก็ไม่มีใครเค้ารบนับถือหรอกครับ

ฝากด้วยนะครับพิมพ์ผิดพลาดประการใดขอโทษด้วยนะครับร้องไห้ร้องไห้
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ผมคิดอยู่....

- คุณค่าของคนอยู่ที่ทัศนะของบุคคล คุณค่าของอาชีพก็คล้ายๆ กัน คือมันทำประโยชน์ให้ใคร
- การเล่นดนตรีเป็น "ทางเลือก" ที่สร้างความสุข งานของคุณคือการเล่นดนตรีที่คนอื่นสร้างมา? หรือสร้างสรรค์เอง?
- ที่น่าคิดในบางมุมมอง... อาชีพนี้จะเสถียรพอมั๊ย งานแบบ creativity จะเจอคนที่ชอบมากน้อยขนาดไหน นานขนาดไหน มีคู่แข่งมากน้องขนาดไหน ยังมีโอกาสอื่นๆ อีกรึป่าว ถ้า trend เค้าเปลี่ยน เราจะทำยังไง จะตามกระแสรึป่าว etc... ทั้งมุมมองของดนตรี กับมุมมองของการเงิน
- เรื่องการเรียน.. ผมเชื่อว่าคนที่รู้ใจที่สุดว่าเราควรเรียนอะไร คือตัวเราเอง แต่ต้องมั่นใจว่าเรียนรู้กับประยุกต์ไปได้เรื่อยๆ ไม่ใช่แค่อยากรู้อยากลอง แต่ถ้าอยากลอง ก็ต้องรู้ความเสี่ยง ต้องมี plan B แล้วพร้อมที่จะถอยเมื่อรู้ว่ามันไม่ใช่ (จริงๆ แล้วอะไรก็ไม่แน่นอน มี plan B ไว้เสมอจะดีกว่า เช่น เกิดตกงาน แบบเราเลือกไม่ได้ เกิดเงินขาดฉุกเฉิน etc.)
- เรื่องทัศนะของพ่อแม่ อันนี้ผมเข้าใจว่าเป็นความห่วงอนาคต เหมือนไม่เห็นทิศทางในอนาคนที่ชัดเจน สิ่งนึงที่เราทำได้คือให้เห็นผลลัพธ์ ว่าเราเกิดมาเพื่ออันนี้จริงๆ... สุดท้ายก็ยังไม่ง่ายนักที่จะเปลี่ยนทัศนะคนอื่น รวมทั้งของพ่อแม่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่