สองวัน สองเรื่อง Jurassic World and Spy (มีสปอยล์)

สองวันที่ผ่านมานี้ ผมได้ตั๋วฟรีไปดู Jurassic World และ Spy มา ส่วนตัวเรื่อง Jurassic World ก็สนุกดี ส่วน Spy นี่สนุกมาก ความจริงไม่ได้คาดหวังอะไรจากทั้งสองเรื่อง และไม่ได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับทั้งสองเรื่องเลยด้วยซ้ำ คืองานเยอะมาก จนไม่ได้เปิดหูเปิดตาน่ะครับ ขอรีวิวทีละเรื่องเลยละกัน

Jurassic World นี่ผมว่า ความตื่นเต้นเร้าใจลุ้นระทึก ผมว่าดีนะ แต่เป็นลุ้นระทึกแบบดูหนังสัตว์ประหลาดน่ะครับ อารมณ์นึกไปถึง หนังวิ่งหนีพวกตัวประหลาดซ่อนอยู่ใต้ดินหรือที่ติดมากับอุกกาบาตนอกโลกผสมกับก๊อตซิลล่า ส่วนตัวคิดว่า หนังรุนแรงพอสมควรเพราะฉากมีการเสียชีวิตแบบซึ่งๆ หน้าของตัวละครที่เรารู้สึกว่า "ไม่น่าตาย" มีฉากเลือดสาด หลักๆ เรื่องก็เดินตามพล็อตฮอลีวู้ดที่สะท้อนปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวของคนอเมริกัน และมีแนวคิดที่แฝงอยู่ว่า หากมนุษย์ฝืนพระสงค์ของพระเจ้าก็ต้องเผชิญกับหายนะ แต่ผมว่า ภาคแรกทำได้กลมกล่อมกว่าในทุกมุม ปูเรื่องมาดีกว่า อย่างเช่นการสละเวลา 15 นาทีแรกในการเล่าที่มาที่ไปของการนำยีนในอำพันมาฟื้นไดโนเสาร์ มุกตลกก็ขำลงตัวกว่า อย่างเช่น ฉากเด็กเกาะรั้ว แล้วพอเปิดไฟฟ้า เด็กร่วงลงมา แล้วเดินเป๋ เชื่อว่าฉากนั้นหลายคนคงยังจำได้ ฉากจบก็ซึ้งกว่า ยังจำฉากเจ้าของนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับออกมาจากเกาะพร้อมความหมดหวังได้ ส่วนภาคนี้ รายละเอียดหลายอย่างถูกตัดทอนออกไป เหมือนกะเอาฉากมันส์ๆ มาต่อๆ กันมากกว่า เข้าใจว่า ผู้กำกับคงคิดว่าไม่จำเป็นเพราะหลายคนรู้อยู่แล้ว แต่เผอิญมันไม่ค่อยเนียน ตัวละครก็แปลกๆ อย่างฉากเด็กหนีไดโนเสาร์กระโดดลงน้ำตกไป อารมณ์หนังมันยังเป็นหนังทริลเลอร์ แต่คุณน้ากับพระเอกก็เล่นตลกเหมือนเรื่องอินเดียน่าโจนส์ อะไรแบบนี้ ความสัมพันธ์ของเด็กหรือพ่อแม่ที่ว่าไม่ลงรอยกันก็ไม่ชัดเจน เด็กเหมือนจะเนิร์ดแต่ก็ไปไม่สุด อะไรแบบนี้ เพราะฉะนั้น ในมุมของความเป็นหนังดราม่า ครอบครัว ผมว่ายังไม่ค่อยดี แต่ส่วนดีคือ ภาพสวย แม้หลายฉากจะเห็นชัดไปหน่อยว่าเป็นบลูสกรีน แต่ก็เอาเถอะ หนังไดโนเสาร์รีเมคดูเพลินๆ เห็นกระทู้อื่น ไม่ค่อยติเท่าไหร่ แต่ให้คะแนนกันโหดมาก บางท่านให้ 5 บางท่านให้ 6.5 ส่วนตัวผมให้ 7.5 แล้วกัน

ส่วนเรื่อง Spy นี่ไม่คาดหวังเลย แต่ดูแล้วสนุกมาก ช่วงแรกหนังเปิดมา นึกว่าจะอารมณ์มาแบบ scary movie เลียนแบบ James Bond แถมยังนึกไปว่านี่หนังตลกสังขารหรือเปล่า เพราะนางเอกอ้วน แถมยังเล่นมุกเฝือๆ แบบคนอเมริกันไปยุโรปแล้วสั่งอาหารไม่ถูก แต่งตัวน่าขำขัน อะไรแบบนี้ ยังนึกอยู่ว่าทำไม Jude Law รับเล่นหนังแบบนี้ แต่พอดูไปเรื่อยๆ บทมีความซับซ้อนและกลมกล่อมมากขึ้น ลูกล่อลูกชนมาถูกจังหวะ บวกกับความสามารถของนักแสดง ทำให้บางฉากอย่างเช่น ฉากมอเตอร์ไซค์ล้ม ที่ดูเหมือนจะ offensive สำหรับคนอ้วน กลับดูตลกดี แถมคนเขียนบทใช้ภาษาได้ปากจัดสุดๆ แต่ไม่เถื่อนแบบ f*ck you ass hole mother f*cker อะไรแบบนั้น แต่ออกไปทำนองปากจัดแบบฝรั่ง หรือเป็นมุกเชิงสื่อร่วมสมัยอย่างสปายอิตาเลียนพูดสำเนียงอังกฤษแล้วบอกฝึกมาจาก Downton Abbey หรือนางเอกที่ว่าชื่อ Cooper ไม่ใช่ Groupon อะไรแบบนี้ ก็ตลกดี สรุปว่า เรื่องนี้ฮาทั้งโรงครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่