"ลูกแย่งของกัน ลูกไม่ยอมแบ่งของเล่นกัน อยากให้ลูกรู้จักแบ่งปัน ควรทำยังไงบ้างค่ะ ???"



สวัสดีค่าาา
นี่เป็น กระทู้ที่ 2 ของ จขกท นะค่ะ
จขกท เป็นคุณครูที่ รร อนุบาลมอนเตสซอรี่ ในวอชิงตันดีซี อเมริกา ตอนนี้กลับมาอยู่เมืองไทย
ยาวๆชั่วคราว และเป็นนักการศึกษาปฐมวัย (แต่ตอนนี้มาทำงานสายกฏหมาย ไม่เกี่ยวอะไรกับเด็กๆเล้ยยย) 5555
เนื่องจากประสบการณ์ในชั้นเรียนที่น่ารักในอเมริกา ทำให้ได้เห็นถึงวิธีที่น่ารักในการสอนเด็กๆ มากมาย
(คือ ห้องเรียนที่อมเริกาเป็นห้องเรียนที่สบายมากกกก ไม่เคยต้องมีดราม่ากะเด็ก)
เพราะอะไรน่ะเหรอออ อืมมมม คงเพราะครูถูกปลูกฝังให้มีทัศนคติที่เคารพในความเป็นปัจเจกของเด็กและมีปณิฐานที่จะส่งเสริม
ศักยภาพของเด็กแต่ละคนออกมาอย่างจริงจังและเท่าเทียมกันด้วยมั้ง
วันนี้นึกถึงเรื่องนี้ได้ เลยเอามาแบ่งปันนะค่ะ

"การแบ่งปัน" คงจะเป็น 1 ในคุณสมบัติอันพึงปรารถนาของพ่อแม่หลาย ๆ ท่านที่อยากจะเห็นเป็นอุปนิสัยที่น่ารักของลูก

ทำไมเด็ก ๆ บางคน จึงพูดง่าย และทำไมเด็ก ๆ บางคน จึงพูดยาก

ทั้งนี้เกิดจากความแตกต่างรหว่างบุคคล เด็กทารกเกิดมาพร้อมกับ พื้นอารมณ์ ของตัวเองกันทุกคน
ถ้าเด็กโตอยู่กับเด็กเล็ก แน่นอน เด็กโตจะรู้ว่า ควร ยอมให้น้อง เล่นไปก่อน

แต่สำหรับเด็กเล็กแล้ว และจริงๆสำหรับเด็ก ๆ ทุกคน ไม่รู้จัก การ "แบ่งปัน" แต่จะมีพฤติกรรม "การแบ่งปัน"
ให้เห็น เช่น ยื่นขนม หรือ ขวดนมให้พ่อแม่ เป็นต้น


แล้วทำไมมันจึงเกิดกับเด็กบางคน แต่ไม่เกิดขึ้นกับเด็กอีกคนหนึ่งล่ะ

สาเหตุหลัก ๆ มาจากพฤติกรรมของผู้ใหญ่ในบ้าน เด็ก ๆ จะเลียนแบบพฤติกรรม ถ้าผู้ใหญ่แบ่งปัน
เช่น การแสดงน้ำใจต่อกัน หรือ แบ่งปันสิ่งของที่ตนเองถือไว้ให้ลูก (วิธีนี้ ผู้ปกครองต้องระวัง สิ่งที่จะยื่นให้เด็กต้องปลอดภัยสำหรับเด็ก
ในกรณีนี้ อาจจะทานขนมที่ซื้อมาให้ลูก และเชิญชวนลูกให้ทานด้วย โดยการ "แบ่ง" ให้)

ในเด็กเล็ก เมื่ออายุเข้าสู่ขวบปีที่ 2 จะเข้าสู่พัฒนาการด้าน การรับรู้ตนเอง self-awareness
นั่นก็คือ
1.) เด็กรับรู้ตัวตนของตัวเองว่ามีอยู่ และเป็นส่วนหนึ่งของโลก (สภาพแวดล้อมของเขา)
2.) ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตามองเห็น เด็กเข้าใจว่าเป็นของของเขา
เพราะว่า เด็กจะรุ้จักทุกสิ่งผ่านการสัมผัสและลิ้มรส คุณพ่อคุณแม่อย่าแปลกใจถ้าเห้นลูกน้อยคว้าของของคนอื่นมา และไม่ยอมคืน นั่นก็มาจากความสนใจใคร่รู้ของเขานั่นเอง (แหม ก็เพิ่งออกมาจากท้องแม่ได้ปีกว่า ๆ เอง ทุกสิ่งทุกอย่าง คือ ของแปลกใหม่ และเป็นโลกที่น่าตื่นตาตื่นใจของเด็กเสมอ)

ในขณะเดียวกัน ให้เด็กได้เล่นหรือสังเกตุการณ์สิ่งของที่เด็กสนใจ จนพอใจ ดังนั้น สภาพแวดล้อมที่เด็กอยู่ ควรเป็นสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ให้เด็กได้รู้จักสิ่งธรรมชาติรอบตัวจะดีมาก เช่น ต้นไม้ ดอกไม้ ให้เด็กได้สัมผัสดิน (ที่สะอาด) ใบไม้ ต้นไม้ ดอกไม้ หรือทราย หากเป็นของเล่นหรือหนังสือ ก็ต้องมั่นใจว่า เป็นของที่ไม่สามารถแยกชิ้นส่วนได้ และมีชิ้นใหญ่กว่ามือเด็ก
ส่วนสิ่งของที่เป็นอันตรายต่อเด็ก เช่น ยา เครื่องใช้ไฟฟ้า ของมีคม ดินสอ ให้ไว้ให้ไกลจากเด็กที่สุด (ถ้าเด้กเห็นแล้วอยากดู ให้เบนความสนใจด้วยวัตถุหรือกิจกรรมที่ปลอดภัยและเหมาะสมกว่าแทน)

แล้วมันเกี่ยวกับการ "แบ่งปัน" อย่างไรล่ะ

ข้างต้นที่กล่าวมา คือ ธรรมชาติของเด็ก สำหรับเด็กที่ได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอและเหมาะสมในช่วงวัยและพฤติกรรมดังกล่าว รวมทั้ง
อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ผู้ใหญ่ไม่ได้ยกหางเอาใจมากเกินไป อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหลือเฟือ เด็ก ๆ จะซึมซับพฤติกรรมการแบ่งปันได้เอง เพราะตนเองรู้ว่า
มันจะเป็นเหตุการณ์ win-win ไม่ใช่  win-lose  

ถ้าอยากให้ลูกแบ่งปัน ควรหลีกเลี่ยง
1.) การบังคับให้คนหนึ่งเสียสละให้อีกคนหนึ่ง
ให้ถามเด็กว่า ใครได้มาก่อน (ในกรณีเด็กที่พูดรู้เรื่องแล้ว)
ให้คนที่ได้ของมาครอบครองก่อนได้สิทธิ์นั้นก่อน ในเงื่อนไขว่า หากใช้เสร็จแล้ว
ก็ให้อีกคนได้ใช้ต่อ
ในกรณีที่ว่า ของสิ่งนั้นเป็นของรักหรือเป็นของส่วนตัวของคนหนึ่ง การแบ่งปันไม่ควรเป็นการบังคับ
หากเจ้าของปฏิเสธการให้ดู หรือให้ครอบครองชั่งขณะ พ่อแม่ ควรสอนให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจว่า สิ่งนี้คือสิ่งที่มีคุณค่าทางใจสำหรับเจ้าของ
และเราควรให้เกียรติการตัดสินใจของเจ้าของ โดยเสนอสิ่งอื่นให้แทน เช่น
ลูกคนเล็ก อยากได้หุ่นยนต์ทของขวัญวันเกิดของพี่ แล้วพี่ไมาแบ่ง พ่อแม่อาจถามว่า
(ถามคนเล็ก) มีอย่างอื่นที่เป็นของลูกและลูกอยากเล่นในเวลานี้มั้ย (แทนไอ้หุ่นยนต์นั่นน่ะ)
หรือ
(ถามคนโตด้วย) มีอย่างอื่นที่สามารถให้น้องได้เล่นแทนหุ่นยนต์ตัวนี้หรือไม่
เพราะบางทีเด็กเล็กจะอยากเล่นตามพี่ อยากได้ของพี่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
แค่ต้องให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย


การสินให้เด็กรู้จักการรอคอย และให้พวกเขาหยุดคิดและเลือกข้อเสนอที่เป็นทางออกของปัญหานั้นแล้ว
นอกจากจะลดการทะเลาะวิวาทและการเสียน้ำตาของลูกหรือเด็กคนใดคนหนึ่ง
ยังสร้างความรู้สึกเท่าเทียมกัน และไม่สร้างปมในใจให้ทุก ๆ ฝ่าย
เด็กยังรู้จักการรอคอย และการเคารพสิทธิของผู้อื่น


และการใช้ความอดทน เวลา และวัยวุฒิ คุณวุฒิที่สูงกว่าของผู้ใหญ่ เข้าไปเป็นผู้ช่วยและแนะแนวทางให้กับเด็กของพ่อแม่
ก็จะลดปัญหาพฤติกรรมเชิงลบในวัยรุ่นได้อย่างมากมาย จะลดปัญหาความขัดแย้งและไม่ค่อยลงรอยกันของพี่และน้อง ของเพื่อนร่วมชั้นเรียน
และจะสร้างสังคมเล็ก ๆ ที่สงบสุข และน่ารักได้ค่ะ

ที่สำคัญ ผู้ใหญ่ไม่ควรเข้าไปขัดจังหว่ะเด็ก บางครั้งเด็ก ๆ ควรได้รับพื้นที่และโอกาสในการแก้ไขปัญหา และใช้ทักษะนี้ให้มากที่สุด ผู้ใหญ่อาจเข้าไปด้วยทัศนคติและความเชื่อเดิม เช่น เด้กโตต้องให้เด็กเล็ก หรืออคติที่เกิดจากความโปรดปรานส่วนตัว หากใช้ไกด์ไลน์เหล่านี้แล้ว และฝึกให้เป็นนิสัย จะลดความปวดหัวให้พ่อแม่ได้มาก (เพราะส่วนมากเวลาอยากได้ของชิ้นเดียวกันต้องมีดราม่า และส่วนมากมีทั้งวัน) แต่เมื่อมีการลงไม้ลงมือเกิดขึ้นระหว่างเด็ก ผู้ใหญ่ต้องรีบเข้าไปห้ามและแยกเด็กออกทันทีค่ะ

จขกท ใช้วิธียึดของกลาง และให้เด็กทั้งสองคนแยกมุมกันไปสงบสติอารมณ์ หลังจากนั้นจึงเรียกมาคุย แต่ของดังกล่าวยังคงถูกยึดไว้อยู่ เพื่อให้จดจำ (อันนี้ดูตามความจำเป็นนะ) อย่างบางที่เด็กเล็กอยากเขียนการบ้านพี่แล้วทุบพี่ ก็ต้องพาตัวเล็กออกมา ให้พ้นซีนที่พี่อยู่แล้วหาอย่างอื่นให้เล่น) หลังจากอารมณ์ดีขึ้นก็จะต้องกลับมาสอนว่า พฤติกรรม เมื่อสักครู่นี่ไม่ดียังไง และให้เด้กกลับไปแก้ไขความผิดของตนเองค่ะ (อันนี้เดี่ยวไว้ลงในหัวข้อต่อไป)

(Courtesy photos from  www.facebook.com/withyourkids
and internet search)


I.P.
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่