{Review..ยาวไป} "Jurassic World" | เราๆได้คืนกลับสู่เกาะเก่าๆ แต่ลุงตี ขอคืนความสุขให้เธอ..เยาวชน!!



ไม่ต้องถามนะว่า ผมเคยมีความสุขกับ "Jurassic Park" มากแค่ไหน.. สำหรับเด็กอายุ 4-5 ขวบในตอนนั้น มันคืออะไรที่เกินฝัน และเกินความคาดหวังไปไกลแสนไกล

ยังจดจำภาพประทับใจแรกที่ เฮลิคอปเตอร์ บินข้ามเกาะ ได้เห็นทิวไม้ ป่าเขา เกาะที่มองไปมุมไหนก็มีแต่ความสมบูรณ์แบบ แล้วเมื่อขับรถ จนมาเจอป้าย Jurassic Park โชว์หราเต็มตา ก็บอกให้รู้เลยว่า นี่คือ ประสบการณ์การผจญภัยที่ชีวิตหนึ่งอาจจะมีแค่ครั้งเดียว (ทำเหมือนว่าเราเข้าไปอยู่ในหนังยังไงยังงั้น)

แล้วก็ไม่ต้องถามว่า ทำไมหลังจากนั้น ผมถึงได้ติดตามดูหนังของคุณลุงผู้หนึ่งที่ชื่อ "Steven Spielberg" มาโดยตลอด.. เพราะหลังจากที่รู้ว่า ผู้กำกับของหนังเรื่องนี้ คือใคร ผมก็ยินดีสมัครรักเป็นแฟนหนังของชายผู้นี้ จนได้พบว่าหนังเรื่องอื่นๆที่เขาทำนั้นมันก็มีดีไม่แพ้กัน และนี่แหละคือ พ่อมดแห่งฮอลลีวู้ด สมกับฉายาที่เขาได้รับมา

ยอมรับเลยครับว่า การได้ดูรู้ข่าวว่าจะมี Jurassic Park ภาคใหม่ มันมีอาการสองแบบเกิดขึ้นมาในเวลาเดียวกัน... หนึ่ง คือ ดีใจจนเนื้อเต้น เราจะได้กลับไปเที่ยวสวนสนุกที่โคตรสนุก(เมื่อตอนที่เรายังเด็ก)อีกครั้ง และ สอง คือ รู้สึกประหลาดชอบกล ที่จะได้มาดูหนังเรื่องนี้อีกสักภาค ในเวลาที่ต้องยอมรับว่า เราได้ดูหนังอีกมากมายมาจนรู้ไส้รู้พุงหมดแล้วว่า Jurassic Park ภาคใหม่ คงไม่น่าจะไปได้ไกลจากเดิมหรอก

เรื่องที่หนึ่ง มันดูเป็นเรื่องที่ดี แต่เรื่องที่สอง นี่มันก็บ่งบอกว่า ผมอาจจะแก่เกินไปที่จะกลับไปหามันอีกครั้งแล้วละมั้ง

"Jurassic World" ที่ยังอาจมีชื่อของลุงสตีเว่น ช่วยคุมหางในเบื้องหลังก็จริง แต่ความเป็นจริง นี่คือหนังที่เปิดโอกาสให้ผู้กำกับหน้าค่อนข้างใหม่ อย่าง "Colin Trevorrow" เข้ามาสานต่อโลกใบเก่าที่ลุงตี ยังรักและหวงแหนเยี่ยงไข่ในหินฟอสซิล!

คอลิน อาจจะพิสูจน์ความน่าเชื่อถืออะไรได้ไม่มากนัก เพราะนี่นับว่าเป็นหนังทุนสูงเรื่องแรกที่เขาได้มาจับ หลังก่อนหน้า ก็แค่มีประสบการณ์จากหนังตลกดรามาทุนเล็กน้อย ที่ใช้ชื่อว่า "Safety Not Guaranteed" (ที่ส่วนตัว ผมยังไม่ได้ดู ก็เลยไม่รู้ว่าอะไรกันที่การันตี ให้เราจะรู้สึก Safety ได้จริงๆ) ฉะนั้น นี่มันคือการยัดของยากกันชัดๆ และยิ่งจะรู้ว่ายากหนักๆ ก็ตรงที่มันเป็นของคลาสสิคด้วยนี่สิ

ซึ่งไม่รู้ว่า ลุงตี เอาอะไรมาการันตี ถึงเลือกจะไว้ใจ (และที่เคยอ่านข่าว ก็ดูมั่นใจมากด้วย เพราะเขาชอบในตอนที่มันยังเป็นบทหนังมากๆ) แต่เอาเถอะ ในเมื่อ เขาเลือกมาแล้ว คนที่ต้องก้มหน้ายอมรับผลที่ตามมา ถ้าไม่ใช่กับลุงตีเอง ก็จะเป็นใครไปได้อีก ถ้าไม่ใช่คนดูตาดำๆเราๆนี่แหละ

จากที่มี ข่าวบอกว่า บทของ Jurassic World นั้น มันWOWมาก!! ..คนดูอย่างผม ก็มารู้จนได้ว่า โดยโครงสร้างของมัน ก็คือการย้อนรอยเดิมที่ Jurassic Park ภาคแรกเดินมาก่อนชัดๆ

พอเป็นแบบนี้ ก็ไม่ใช่ผลดีต่อหนังแน่นอน... เพราะหลังจากจับจุดที่หลายอย่างดูเจตนาจะทำเพื่อรำลึกอดีต ก็พบว่า หนังมันระวังตัวเองสุดๆ (Play Safe) อาจด้วยกลัวว่าไปเปลี่ยนแปลงอะไรมาก ก็กลัวคนดูจะรับไม่ได้ หรือเสียความคาดหวังจะได้ Nostalgia

มันก็อาจจะได้ผลกับคนดูบางคน แต่กับคนดูอย่างผม คนที่เคยรู้สึกแปลกประหลาดชอบกลด้วยแล้ว การได้เห็นแบบนี้ มันช่วยตอกย้ำว่า ไม่แปลกใจเลย ที่ผมจะมีความคิดห้วงนี้เกิดขึ้นมาจริงๆ

แต่ท่ามกลางความคิดที่พิกลๆอยู่นั้น มันก็เกิดเรื่องอัศจรรย์ขึ้นมาตลอดเวลาที่ดูหนังอยู่ และช่วงอัศจรรย์เหล่านั้น มันเกิดขึ้นมาได้เพราะสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่า 'ไดโนเสาร์'

ในระหว่างที่หนังก็พยายามเหลือเกินที่จะเล่าเรื่องของ คน ให้มันประสบความสำเร็จ (อย่างน้อยๆก็แค่อยากให้คนดูรู้สึกร่วมไปกับอารมณ์ของคนด้วยกันเอง).. ท่ามกลางความล้มเหลวของ มนุษย์นั้นไซร้ ไดโนเสาร์ก็จักยิ่งใหญ่ในสายตาของเราทันที

อย่างน้อยๆ อารมณ์แบบ Jurassic Park ก็ยังตามกลับมาหลอนอย่างได้ผลที่ดีงาม.. ทุกคราที่หนังพาไดโนเสาร์ใดๆก็ตาม มาอยู่ร่วมจอกับคน

แม้ดีเทลความเหมือนจริงของงานซีจี จะไม่แจ่มจรัสจัดว่าว้าว!! เท่าความรู้สึกตื่นเต้นหัวใจจะหลุดอย่างที่เคยมีในยามเยาว์วัยอีกแล้ว (และนี่เราอยู่ในปี 2015 ที่หันมองไปทางไหน โดยเฉพาะในช่วงซัมเมอร์ ก็มักจะเจอหนังซีจีเยอะๆ ตามมาหลอกหลอนอย่างยั้วเยี้ย) แต่พอซีจีตรงหน้า มันก็คือ ไดโนเสาร์ เราก็ยังตื่นตากับมันได้อยู่ดี

Jurassic World ทำให้สัตว์ที่สูญพันธ์ไปหลายล้านปีเหล่านี้ กลับมาแจ้งเกิดในโลกภาพยนตร์ได้อีกครั้ง หลังจากที่ 22 ปีก่อนหน้า เคยทำได้สำเร็จมาหนึ่งหน.. และหนนี้ ที่เจ๋งกว่า Jurassic Park 'ตัวเอก' ของหนัง คือ ไดโนเสาร์ หรือพูดกันง่ายๆ คน ไม่ใช่ตัวละครที่สำคัญอีกต่อไป

คือ ครั้งนี้ ไม่ได้รู้สึกผูกพัน หรือมีพันธะทางจิตใจใดๆ กับตัวละครที่เป็นคนเลย.. หนำซ้ำ เรายังมองพวกเขา เหมือนตัวละครในหนังระทึกขวัญ ที่อยู่ในตระกูลเดียวกับ "Scream" หรือ "Saw" ด้วยอารมณ์ประมาณว่า ใครจะตายช่างหัวมันสิ แล้วใครที่เราหมั่นไส้มากๆ ก็อยากให้มันตายไปก่อนใครเพื่อนเลย

นี่มันแตกต่างกับตอน Jurassic Park ไปอีกฟีลหนึ่งเลย.. เพราะถึงตอนนั้น เราจะว้าวกับไดโนเสาร์มากแค่ไหน แต่สุดท้ายเราก็ยังอยากเอาใจช่วยตัวละครมนุษย์(หน้าไม่ฉลาด)ให้หลุดรอดจากเกาะอันตรายนี้ไปให้ได้

หากกับภาคนี้ นั้นรู้สึกแตกต่าง ที่ถึง(ตัวละครหลัก)จะรอดตายมาได้แน่ๆ แต่เราก็ไม่ใส่ใจความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้เท่าไหร่ และที่สำคัญ คนพวกนี้ มันไม่มีเสน่ห์มากพอ จะควรค่ากับการดึงกลับมาในภาคต่อ(หากว่ามันมี) ให้สิ้นสุดกันเลยที่ภาคนี้ยังจะดีซะกว่า

การดึงสองดารามีชื่ออย่าง "Chris Pratt" และ "Bryce Dallas Howard" แทนที่น่าจะทำให้ตัวละครมนุษย์มีความหมายขึ้นมา ก็กลับเอาสองคนนี้มาเป็นเพียงเหยื่อล่อ หนีการไล่ล่าจากมฤตยูอันตรายก็เท่านั้น.. นี่ไม่รวมกับตัวละครสองพี่น้อง(ชายคู่) ที่ถ้าไม่ติดว่าคนน้องมีภูมิความรู้เรื่องไดโนเสาร์มาบ้าง ก็มองหาประโยชน์จากไอ้สองคนนี้ไม่ได้เลย นอกเสียจากหน้าที่มีไว้ ช่วยพาคนดูไปลนหาที่ตาย ตามที่เอ็งสองคนสบายใจเลย

แล้วไหนจะความพยายาม สร้างตัวละครกายสมมติที่ชื่อว่า 'ความโลภ' ขึ้นมา เพื่อสร้างความปั่นป่วนให้ท้องเรื่องหนักขึ้นไปอีก รวมทั้งการโยนข้อหาความผิดพลาดทั้งหมดทั้งมวลใส่ มนุษย์ แบบเต็มๆ ซึ่งในมุมหนึ่ง ก็อาจจะทำให้หนังดูจับต้องสาระขึ้นมาได้ แต่มันก็ยังอยู่ในข่ายที่ ดูเหมือนจะพยายามจับยัดต้องมี มากกว่าป้อนเข้ามาอย่างแนบเนียน แล้วทำให้เส้นเรื่องมันดูมีอะไรที่สนุกพอๆกับ การที่เราเจอไดโนเสาร์

ในความรู้สึกผมนั้น ประเด็นหลักที่ทำให้หนังดูผิดที่ผิดทางมาเสียเยอะขนาดนี้ คือ การที่ผู้กำกับก็ไม่แม่นในจังหวะการเล่าเรื่องเท่าไหร่ ทำให้สิ่งที่ควรจะเข้าท่า กลายเป็นเรื่องไม่เข้าท่า เมื่อมันมาอยู่ในเวลาที่ผิด.. ก็ดูออกว่า ความพยายามที่จะทำให้หนังมันมีอะไรใหม่ๆ นั้นมันก็มีอยู่ แต่การใส่เข้ามาก็ออกจะดูเป็นช่วงเวลาที่มันไม่ใช่ หรือถึงต่อให้ใช่ (เพราะเดาไว้แล้วว่ามันต้องมีแน่ๆ) ก็ดูไม่เป็นธรรมชาติ แถมตัวละครก็โพล่งออกมาแบบค่อนข้างดัดจริตเลยทีเดียว  

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เจออะไรแบบนี้ มันทำให้ตัวละคร คน ดูโง่เกินกว่าที่เราควรจะทำความเข้าใจ และไม่ควรไปคาดหวังว่ามันจะมีอะไรดีขึ้น เมื่อหนังมาถึงฉากจบ

แล้วเมื่อจบ อย่างที่ผมคิดไว้ มันก็เป็นอย่างนั้น... หน้าที่ของคนในหนังนั้น คือขีดเส้นใต้หนาๆไปเลยว่า แค่หนีตาย เป็นพอ

ความดีที่ Jurassic World นั้นมี ทั้งหมดทั้งมวลต้องโยนไปที่ ไดโนเสาร์ ..หนังมันยังดูได้สนุก ลุ้นระทึก ตื่นเต้น หวาดเสียว และมีบางห้วงที่น้ำตาซึม เกิดขึ้นได้เพราะ ไดโนเสาร์ ทั้งนั้น

ในระหว่างที่เราต้องผจญกับเรื่องราวที่มันหนักหน่วง(ในทางลบ)อยู่อย่างนั้น สิ่งเดียวที่ยังคงยื้อเราให้ไม่อาจถอนสายตาไปจากหนังได้ คือ การได้กลับไปเจอเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ไม่ว่ามันจะทักทายเราในรูปแบบไหน แต่ถึงอย่างไร เราก็ยินยอมจะให้มันทัก เพราะนี่คือเพื่อนที่เราผูกพันกันจริงจัง.. 20 ปีที่ผ่านพ้นไป ที่เรายังคงคิดถึงมันอยู่บ้างเป็นบางเวลา การได้แลกกับเวลาร่วมสองชม.ที่เจอเพื่อน(ผู้เจอ)ยากได้อีกครั้ง มันก็ทำให้เราหายคิดถึงได้ในที่สุด

สำหรับผมแล้ว Jurassic World มันก็อาจไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า ปาร์ตี้พบปะเพื่อนฝูง ที่นานๆจะได้เจอกันสักหน คือถึงต่อให้ระหว่างทางจะมาเจอกันมันทุลักทุเล หรือเอาเข้าจริงในตัวงานก็อาจจะดูหมองๆหม่นๆไปบ้าง แต่เราก็ยังมีโอกาสได้สนุก ย้อนไปหวนนึกถึงวันเวลาเก่าๆ แล้วก็มีความสุขหลงเหลือคืนมา

แต่ถ้าเรียนกันตามตรง Jurassic World ก็ย่อมไม่ใช่งานปาร์ตี้ที่ดีที่สุด สำหรับเราๆ ผู้ที่ตอนนี้ต่างเติบโตเป็นผู้ใหญ่กันหมด จะมองหาความตื่นตาตื่นใจจนกลายเป็น First Impression มันไม่มีอีกแล้ว หากที่หลงเหลืออยู่ก็คือความรู้สึกคุ้นเคย ที่ช่วยตอกย้ำให้ภาพความทรงจำเก่าๆ ยังคงงดงามอยู่เสมอนั่นเอง

ซึ่งมันก็คงจะแตกต่างกับ คนดูที่ยังถือว่าเป็น เยาวชน.. แล้วโดยเฉพาะกับคนที่ไม่เคยดูไตรภาค Jurassic มาก่อนด้วย นี่ถือเป็นการเบิกฤกษ์ที่คงจะยอดเยี่ยมที่สุดเป็นแน่

ให้มองเป็นภาพแทน เยาวชนวันนี้ กับตัวเราในวันนั้น มันก็คือภาพความรู้สึกเดียวกัน ที่เจออะไรต่อมิอะไรมันก็เป็น First Impression ไปซะหมด.. ภาพที่เราได้เห็นป้ายทางเข้า เขียนว่า Jurassic World อาจจะทำให้เราพอขนลุกขึ้นมาได้ แต่ภาพเดียวกันในมุมมองของคนอีกช่วงวัย มันก็อาจคือภาพที่ต้องร้องอุทานเสียงหลงดัง WOW!!!

ผมก็ไม่รู้หรอกว่า ผมไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน.. แต่ถ้าคนดูคนใดเคยอินกับ Jurassic Park แล้วก็อยากลองให้ลูกได้รู้จักมันซะบ้าง จงห้ามเปิดไตรภาคก่อนให้ดูเป็นอันขาด และให้โอกาสครั้งแรกมาเริ่มต้นกับ Jurassic World นี้ได้เลย

เพราะผมมั่นใจว่า ลูกของคุณ จะต้องร้อง WOW!!! ด้วยสำเนียงเดียวกันกับที่คุณอาจเคยร้องคำนั้น ตอนที่คุณอายุใกล้เคียงกับเขานี่แหละครับ

ปล. ขอสปอยสักเล็กน้อย.. เกี่ยวกับตอนจบ แต่ถ้าใครยังไม่ได้ดู ห้ามเปิดอ่าน!!

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



Grade B+ [8/10] เท่

ปล.2 ลุงตี นี่ผมหมายถึง "สตีเว่น" นะ.. แม้หัวกระทู้มันจะดูมีเจตนาแซวๆ ลุง... ก็ตามที หุหุ

ขอบคุณที่อ่าน กันมาจนจบครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่