เป็นครั้งแรกนะครับ ที่เคยได้ลองเขียน ลองตั้งกระทู้รีวิวดูบ้าง หลังจากอ่านของคนอื่น ๆ มาตลอด เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์บ้างครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ
เข้าเรื่องเลยนะครับ ทริปนี้ เป็นทริปที่มาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ได้คิดมาก่อนว่าปีนี้จะได้เดินทางกลับไปยังเกาะอังกฤษอีกครั้ง (ตอนแรกปีนี้ตั้งใจว่าจะไปอินโดฯ ไปโบรโม่ เพราะเห็นคนกำลังฮิต หลังจากปีที่แล้วไปตะลุยฟิลิปปินส์มาแล้วหลายเกาะ) แต่หลังจากที่
สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด หรือ
เฮียเจิด สำหรับแฟนบอลไทยหลายคนที่ชอบเรียกสั้น ๆ ได้ประกาศอำลาสโมสรลิเวอร์พูลอันเป็นที่รัก ในวันที่ 2 ม.ค. ที่ผ่านมา ทั้งช็อคและเศร้ากับข่าวที่ได้ยิน (ถ้าใครเป็นแฟนลิเวอร์พูลมานานเหมือนผมจะเข้าใจ) ไม่แน่ใจว่าใช้เวลานานเท่าไหร่ ผมสลัดความมึนงง ความเศร้าทั้งหมด ถีบตัวเองกระเด้งขึ้นจากโซฟา และเริ่มปฏิบัติการ ตามล่าหาตั๋วนัดสุดท้ายใน Anfiled ของเจอร์ราร์ดในทันที โดยไม่ได้ปรึกษาใครทั้งสิ้น แม้กระทั่งแฟน 55555 (ปกติจะไปเที่ยวไหนต้องขอ approve จากแม่นางก่อน แต่งวดนี้รอไม่ได้แล้ว)
หลังจากดำเนินการใต้ดิน หาตั๋วจาก agent และ connection ทุก ๆ ทางแล้ว ผ่านไปหลายสัปดาห์ ผมถึงได้รับการการันตีว่า ผมได้ตั๋วนัด Liverpool vs Crystal Palace แน่นอนแล้ว ผมก็เริ่มดำเนินการเรื่องตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และแผนการเดินทาง
(ในช่วงหลายสัปดาห์ที่รอคำตอบเรื่องตั๋วนั้น แฟนผมได้รับทราบเรื่อง และอนุมัติอย่างง่ายดาย โดยมีข้อแม้เดียวว่า “เธอต้องไปด้วย”

จัดไป นอกจากนั้นเรายังได้เพื่อนสนิทมาร่วมทริปนี้อีก 3 คน รวมผมกับแฟนแล้ว ทริปนี้เลยเป็นการเดินทางของ 2 คู่ และ 1 ติ่ง)
ทีนี้ พอเป้าหมายชัดเจนว่าดูบอลแน่นอนละ สิ่งที่ต้องวางแผนต่อไปคือ แล้วจะไปเที่ยวไหนมั่ง (ไม่อยากแค่บินไปดูบอลให้เปลืองเล่น) ผมเองเคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวและดูบอลที่อังกฤษมาแล้วครั้งนึง เมื่อ 4-5 ปีก่อน ครั้งนั้นก็ตะลอนเที่ยวขับรถไปหลายที่ในอังกฤษแล้ว คราวนี้เลยอยากไปอะไรที่แตกต่างบ้าง (แต่สมาชิกในทริปที่เหลือ ไม่เคยมีใครเคยไปยุโรปมาก่อน ผมเลยต้องจัดทริปแบบให้คนอื่นได้เที่ยวด้วย ผมก็ซ้ำไปซะ) ผมเริ่มนั่งลง เปิดคอม และคุยกับเพื่อนรักทั้ง 2 ของผม........ google และ pantip
จากการค้นคว้าต่าง ๆ นานา อยู่หลายวัน ผมไม่สามารถสลัดหลุดภาพทุ่งหญ้าเขียวขจี, กำแพงภูเขาใหญ่ยักษ์, ทะเลสาบสุดลูกหูลูกตา และวัว แพะ แกะ ม้า ที่ใช้ชีวิตอยู่ในธรรมชาติจริง ๆ ของ Scotland ออกไปจากหัวผมได้ ทริประยะเวลา 13 วันรวมเดินทาง จึงเกิดขึ้นและออกมาหน้าตาประมาณนี้ครับ
14 พ.ค. ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ – London
15 พ.ค. Stratford Upon Avon – Manchester
16 พ.ค. “Matchday” Liverpool
17 พ.ค. York
18 พ.ค. Edinburgh
19 พ.ค. Stirling – Luss Village – Glencoe – Fort William
20 พ.ค. Isle of Skye
21 พ.ค. Inverness
22 พ.ค. Cairngorms
23-25 พ.ค. London
***มีการปรับเปลี่ยนอยู่หลายครั้งก่อนหน้านี้ ทั้งในเงื่อนไขของการเดินทาง งบประมาณ และความน่าสนใจ แต่ในที่สุดแผนดังกล่าวคือแผนที่เรายึดไว้เป็นหลัก แต่ตกลงร่วมกันว่า หน้างานว่ากันอีกทีหากอยากจะเปลี่ยนที่
ที่พัก จองเรียบร้อย
รถเช่า จองเรียบร้อย
เครื่องบิน จองเรียบร้อย
วีซ่า ได้เรียบร้อย (ลุ้นเหมือนกัน เพราะหลายคนไม่เคยไป แต่กลับได้ง่ายและเร็วกว่าที่คิดเยอะ)
พวกเราก็รอจนถึงวันเดินทาง...................................
สาย ๆ ของวันที่ 14 พ.ค. เราออกเดินทางจากบางกอก สุดศิวิไลซ์และร้อนเป็นไฟ ข้ามน้ำข้ามทะเล 6,000 กว่าไมล์ หยุดพักหนึ่งสต็อปที่กรุงปารีส ให้ได้พอยืดเส้นยืดสาย เจ้านกเหล็กลำถัดมา ก็ส่งพวกเราแตะพื้นลอนดอน อย่างปลอดภัยไร้กังวล
ผ่านไปครึ่งทาง มองวิวนอกหน้าต่าง อยู่แถว ๆ ตะวันออกกลางละ
พักแวะปารีสแป้บ
พวกเรามาถึงลอนดอนแล้ว เวลาท้องถิ่นประมาณ 18.00 น. แต่ขอโทษเราจะยังไม่พุ่งเข้าชนความศิวิไลซ์ระดับ 10 ของลอนดอนในเวลานี้ มันยังไม่ถึงเวลา บ่มเพาะมันเอาไว้ก่อน ถึงแม้ว่าช่วงนั้น พระอาทิตย์ยังยิ้มแฉ่ง ส่งแสงสบาย ๆ ให้กับเราจนถึง 4 ทุ่มก็เถอะ
เราจัดการกับการซื้อซิมโทรศัพท์, check-in เข้า รร. ใกล้ ๆ กับสนามบิน Heathrow เพื่อปรับสภาพร่างกาย นอนให้เต็มอิ่ม อดเปรี้ยวไว้ก่อน ยังต้องเดินทางอีกแยะ
เช้าวันที่ 15 พ.ค. เราตื่นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ บนอุณหภูมิ สิบองศากว่า ๆ หาอาหารเช้ายัดใส่ท้องระดับหนึ่ง รับรถเช่าเรียบร้อย การเดินทางที่แท้จริงจึงได้เริ่มต้น.......
วันนี้ เรามีเป้าหมายปลายทางอยู่ที่เมืองแมนเชสเตอร์ (Manchester) ระยะทาง 344 กม. แต่ระหว่างทางมีเมืองในประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรพลาด คือ Stratford Upon Avon – เมืองบ้านเกิดของ กวีเอกโลกที่เลื่องชื่ออย่าง วิลเลียม เช็กสเปียร์ (William Shakespeare) เมืองเล็กๆ แห่งแคว้น วอร์ริคเชียร์แห่งนี้เป็นที่ตั้งของบ้านที่เช็กสเปียร์เกิด และยังเป็นที่ตั้งของกระท่อมที่ แอนน์ แฮธาเวย์ (Anne Hathaway) พักอาศัยก่อนที่ทั้งคู่จะร่วมชีวิตกัน รวมถึงเป็นที่ตั้งของโบสถ์ที่ร่างทั้งสองหลับไหลอยู่คู่เคียงกันอีกด้วย
พวกเราใช้เวลาเดินเล่น ซึมซับบรรยากาศแห่งกวี (เข้าไม่ถึงหรอก 5555) หาอาหารเที่ยงง่าย ๆ ทาน ถ่ายรูป เดินดูตลาด กินไอศกรีม อาบแดด (อากาศประมาณ 10 องศา แดดเป็นอะไรที่เห็นแล้ววิ่งใส่ทันที)
บรรยากาศเมืองโดยทั่วไป มีนักเที่ยวค่อนข้างสูงอายุนิดนึงครับ วัยรุ่นไม่ค่อยเห็น สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่จะเป็นศิลปะ Tudor (ทูดอร์) ซะเกือบทั้งเมือง
คุณลุงคนนี้ ขายที่ปั่น universal อยู่ท้ายตลาด แกขายมันส์มาก คนมุงเต็มเลย แต่ซื้อแค่คนเดียว
ประมาณบ่าย 2 เราก็ตัดใจลา เมืองเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์นี้ไป และเดินทางสู่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ใช่แล้ว เรากำลังเดินทางสู่เมืองแมนนั่นเอง
หลังจากใช้เวลาอยู่บน Highway M1, M6 อยู่เกือบ 4 ชม. (ปกติจะเร็วกว่านี้ แต่ช่วงที่เราไปมีการทำถนน จึงดีเลย์ไปบ้าง) พวกเราก็มาถึงเมืองแมน ในเวลา 6 โมงเย็น และแน่นอน check in คือปฏิบัติการแรก หาที่จอดรถเสร็จเรียบร้อย (ที่จอดรถในอังกฤษ และประเทศนอก หลาย ๆ ประเทศไม่เหมือนบ้านเรานะครับ ของที่สหราชอาณาจักร ต้องหาป้ายสีน้ำเงินที่มีตัว “P” จะมีทั้งในรูปแบบเป็นลานจอดรถจริงจัง หรือจอดข้างถนนหรือฟุตบาท ตามเส้นประสีขาวที่กำหนดไว้เท่านั้น และส่วนใหญ่จะต้อง “เสียตังค์” ครับ ราคาก็จะแล้วแต่ที่ แล้วแต่บริษัทกันไป พอจอดรถเสร็จก็คำนวณเวลาที่จะจอด ไปหยอดเหรียญ แล้วจะได้สลิปมา 1 ใบ ก็ให้เอาไปแปะไว้ที่กระจกรถด้านใน ย้ำว่าด้านในนะครับ แปะด้านนอก อาจโดนลมพัด หรือรถคันอื่นเอาไปได้

)
เดินเล่นในเมืองกันเลยครับ เพราะต่อให้ 6 โมงเย็น แต่พระอาทิตย์ยังทำหน้าที่เหมือนบ่าย 3 ประเทศไทยแบบนี้ เราเลยเหลือเวลาบาน พวกเราเดินเล่นอยู่แถว Piccadilly garden ซึ่งเป็นเหมือนจุดรวมทุกอย่างของเมืองไว้ตรงนั้น ทั้งห้าง ร้านค้า รถราง (tram) เดินเลาะผ่านห้างใหญ่ไปเรื่อย ๆ ก็ไปเจอกับ ถนนและกลิ่นที่คุ้นเคย “ไชน่าทาวน์” เราเลยจัดดินเนอร์ที่ร้านอาหารจีนชื่อดังซะ แล้วเดินเล่นในเมืองต่ออีกหน่อย ก็กลับเข้าที่พัก
วันที่ 16 พ.ค. และแล้ว ก็ถึงวันที่ผมเฝ้ารอ............. งานเลี้ยงส่งกัปตันทีมคนสำคัญ “สตีวี่ จี”
ถึงแม้ว่า match นี้ ผมจะไปดูคนเดียว เพราะสมาชิกที่เหลือ 2 คนเป็นแฟนแมนยู และอีก 2 ไม่ใช่สายลูกหนังเลย แต่ทุกคนก็ตั้งใจจะไปที่ลิเวอร์พูลด้วยกัน เพราะมีอีกเป้าหมายสำคัญ คือ The Beatle story museum ครับ
พวกเราจับรถไฟจากแมนเชสเตอร์ ไปที่เมืองลิเวอร์พูล นั่งรถไฟ 2 ต่อ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. พวกเราก็มาถึงสถานี Liverpool Lime Street ที่เลือกนั่งรถไฟเพราะว่า เราพักที่แมนเชสเตอร์ และเป็นกังวลว่าในวันที่มีแมทช์แข่ง รถจะติดบวกกับหาที่จอดยาก
เดินเลาะท่าเรือ Albert Dock ชื่อดัง ที่มีเรือใหญ่น้อยมากมาย ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันมาใช้บริการ ชมวิวแม่น้ำ Mercy ที่ลดพัดแรงจนเจ้านกนางนวลทั้งหลายถึงกับต้องบินตะแคง 45 องศา
สัญลักษณ์ของเมือง Liverpool ครับ เจ้านก Liverbird (ไม่ใช่หงส์เด้อ)
คุณลุงคนนี้เป็น street musician ครับ เปิดหมวกร้องเพลงโต้ลมหนาว อยู่บริเวณ Albert Dock
เราก็มาถึง The Beatle Story Museum พิพิธภัณฑ์ของวงสี่เต่าทองที่โด่งดังในช่วง ’60 – ’70 เป็นตำนานวงดนตรี rock n roll ระดับโลกที่ทุกคนรู้จักกันดี ในพิพิธภัณฑ์รวบรวมประวัติ และเรื่องราวต่าง ๆ ของวง rock and roll ชื่อดังไว้ทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มตั้งวง จนถึงวันที่แยกจากกัน มีการจำลองสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ The Beatle ตั้งแต่ผับที่เล่นด้วยกันครั้งแรก, เครื่องดนตรีของลุง ๆ, ทางม้าลาย Abbey Road หรือแม้กระทั่งที่นั่งบนเครื่องบินส่วนตัวของอดีตหนุ่ม ๆ เหล่านี้ไว้ด้วย
ศิลปินคนโปรดของผม "เฮียจอห์น"
[CR] [CR] พกกล้องฟิล์ม ดูบอล (อำลากัปตัน) ท่องอิงแลนด์ สก็อตแลนด์ แอนด์ ไฮแลนด์
เข้าเรื่องเลยนะครับ ทริปนี้ เป็นทริปที่มาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ได้คิดมาก่อนว่าปีนี้จะได้เดินทางกลับไปยังเกาะอังกฤษอีกครั้ง (ตอนแรกปีนี้ตั้งใจว่าจะไปอินโดฯ ไปโบรโม่ เพราะเห็นคนกำลังฮิต หลังจากปีที่แล้วไปตะลุยฟิลิปปินส์มาแล้วหลายเกาะ) แต่หลังจากที่ สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด หรือ เฮียเจิด สำหรับแฟนบอลไทยหลายคนที่ชอบเรียกสั้น ๆ ได้ประกาศอำลาสโมสรลิเวอร์พูลอันเป็นที่รัก ในวันที่ 2 ม.ค. ที่ผ่านมา ทั้งช็อคและเศร้ากับข่าวที่ได้ยิน (ถ้าใครเป็นแฟนลิเวอร์พูลมานานเหมือนผมจะเข้าใจ) ไม่แน่ใจว่าใช้เวลานานเท่าไหร่ ผมสลัดความมึนงง ความเศร้าทั้งหมด ถีบตัวเองกระเด้งขึ้นจากโซฟา และเริ่มปฏิบัติการ ตามล่าหาตั๋วนัดสุดท้ายใน Anfiled ของเจอร์ราร์ดในทันที โดยไม่ได้ปรึกษาใครทั้งสิ้น แม้กระทั่งแฟน 55555 (ปกติจะไปเที่ยวไหนต้องขอ approve จากแม่นางก่อน แต่งวดนี้รอไม่ได้แล้ว)
หลังจากดำเนินการใต้ดิน หาตั๋วจาก agent และ connection ทุก ๆ ทางแล้ว ผ่านไปหลายสัปดาห์ ผมถึงได้รับการการันตีว่า ผมได้ตั๋วนัด Liverpool vs Crystal Palace แน่นอนแล้ว ผมก็เริ่มดำเนินการเรื่องตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และแผนการเดินทาง
(ในช่วงหลายสัปดาห์ที่รอคำตอบเรื่องตั๋วนั้น แฟนผมได้รับทราบเรื่อง และอนุมัติอย่างง่ายดาย โดยมีข้อแม้เดียวว่า “เธอต้องไปด้วย”
ทีนี้ พอเป้าหมายชัดเจนว่าดูบอลแน่นอนละ สิ่งที่ต้องวางแผนต่อไปคือ แล้วจะไปเที่ยวไหนมั่ง (ไม่อยากแค่บินไปดูบอลให้เปลืองเล่น) ผมเองเคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวและดูบอลที่อังกฤษมาแล้วครั้งนึง เมื่อ 4-5 ปีก่อน ครั้งนั้นก็ตะลอนเที่ยวขับรถไปหลายที่ในอังกฤษแล้ว คราวนี้เลยอยากไปอะไรที่แตกต่างบ้าง (แต่สมาชิกในทริปที่เหลือ ไม่เคยมีใครเคยไปยุโรปมาก่อน ผมเลยต้องจัดทริปแบบให้คนอื่นได้เที่ยวด้วย ผมก็ซ้ำไปซะ) ผมเริ่มนั่งลง เปิดคอม และคุยกับเพื่อนรักทั้ง 2 ของผม........ google และ pantip
จากการค้นคว้าต่าง ๆ นานา อยู่หลายวัน ผมไม่สามารถสลัดหลุดภาพทุ่งหญ้าเขียวขจี, กำแพงภูเขาใหญ่ยักษ์, ทะเลสาบสุดลูกหูลูกตา และวัว แพะ แกะ ม้า ที่ใช้ชีวิตอยู่ในธรรมชาติจริง ๆ ของ Scotland ออกไปจากหัวผมได้ ทริประยะเวลา 13 วันรวมเดินทาง จึงเกิดขึ้นและออกมาหน้าตาประมาณนี้ครับ
14 พ.ค. ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ – London
15 พ.ค. Stratford Upon Avon – Manchester
16 พ.ค. “Matchday” Liverpool
17 พ.ค. York
18 พ.ค. Edinburgh
19 พ.ค. Stirling – Luss Village – Glencoe – Fort William
20 พ.ค. Isle of Skye
21 พ.ค. Inverness
22 พ.ค. Cairngorms
23-25 พ.ค. London
***มีการปรับเปลี่ยนอยู่หลายครั้งก่อนหน้านี้ ทั้งในเงื่อนไขของการเดินทาง งบประมาณ และความน่าสนใจ แต่ในที่สุดแผนดังกล่าวคือแผนที่เรายึดไว้เป็นหลัก แต่ตกลงร่วมกันว่า หน้างานว่ากันอีกทีหากอยากจะเปลี่ยนที่
ที่พัก จองเรียบร้อย
รถเช่า จองเรียบร้อย
เครื่องบิน จองเรียบร้อย
วีซ่า ได้เรียบร้อย (ลุ้นเหมือนกัน เพราะหลายคนไม่เคยไป แต่กลับได้ง่ายและเร็วกว่าที่คิดเยอะ)
พวกเราก็รอจนถึงวันเดินทาง...................................
สาย ๆ ของวันที่ 14 พ.ค. เราออกเดินทางจากบางกอก สุดศิวิไลซ์และร้อนเป็นไฟ ข้ามน้ำข้ามทะเล 6,000 กว่าไมล์ หยุดพักหนึ่งสต็อปที่กรุงปารีส ให้ได้พอยืดเส้นยืดสาย เจ้านกเหล็กลำถัดมา ก็ส่งพวกเราแตะพื้นลอนดอน อย่างปลอดภัยไร้กังวล
ผ่านไปครึ่งทาง มองวิวนอกหน้าต่าง อยู่แถว ๆ ตะวันออกกลางละ
พักแวะปารีสแป้บ
พวกเรามาถึงลอนดอนแล้ว เวลาท้องถิ่นประมาณ 18.00 น. แต่ขอโทษเราจะยังไม่พุ่งเข้าชนความศิวิไลซ์ระดับ 10 ของลอนดอนในเวลานี้ มันยังไม่ถึงเวลา บ่มเพาะมันเอาไว้ก่อน ถึงแม้ว่าช่วงนั้น พระอาทิตย์ยังยิ้มแฉ่ง ส่งแสงสบาย ๆ ให้กับเราจนถึง 4 ทุ่มก็เถอะ
เราจัดการกับการซื้อซิมโทรศัพท์, check-in เข้า รร. ใกล้ ๆ กับสนามบิน Heathrow เพื่อปรับสภาพร่างกาย นอนให้เต็มอิ่ม อดเปรี้ยวไว้ก่อน ยังต้องเดินทางอีกแยะ
เช้าวันที่ 15 พ.ค. เราตื่นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ บนอุณหภูมิ สิบองศากว่า ๆ หาอาหารเช้ายัดใส่ท้องระดับหนึ่ง รับรถเช่าเรียบร้อย การเดินทางที่แท้จริงจึงได้เริ่มต้น.......
วันนี้ เรามีเป้าหมายปลายทางอยู่ที่เมืองแมนเชสเตอร์ (Manchester) ระยะทาง 344 กม. แต่ระหว่างทางมีเมืองในประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรพลาด คือ Stratford Upon Avon – เมืองบ้านเกิดของ กวีเอกโลกที่เลื่องชื่ออย่าง วิลเลียม เช็กสเปียร์ (William Shakespeare) เมืองเล็กๆ แห่งแคว้น วอร์ริคเชียร์แห่งนี้เป็นที่ตั้งของบ้านที่เช็กสเปียร์เกิด และยังเป็นที่ตั้งของกระท่อมที่ แอนน์ แฮธาเวย์ (Anne Hathaway) พักอาศัยก่อนที่ทั้งคู่จะร่วมชีวิตกัน รวมถึงเป็นที่ตั้งของโบสถ์ที่ร่างทั้งสองหลับไหลอยู่คู่เคียงกันอีกด้วย
พวกเราใช้เวลาเดินเล่น ซึมซับบรรยากาศแห่งกวี (เข้าไม่ถึงหรอก 5555) หาอาหารเที่ยงง่าย ๆ ทาน ถ่ายรูป เดินดูตลาด กินไอศกรีม อาบแดด (อากาศประมาณ 10 องศา แดดเป็นอะไรที่เห็นแล้ววิ่งใส่ทันที)
บรรยากาศเมืองโดยทั่วไป มีนักเที่ยวค่อนข้างสูงอายุนิดนึงครับ วัยรุ่นไม่ค่อยเห็น สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่จะเป็นศิลปะ Tudor (ทูดอร์) ซะเกือบทั้งเมือง
คุณลุงคนนี้ ขายที่ปั่น universal อยู่ท้ายตลาด แกขายมันส์มาก คนมุงเต็มเลย แต่ซื้อแค่คนเดียว
ประมาณบ่าย 2 เราก็ตัดใจลา เมืองเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์นี้ไป และเดินทางสู่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ใช่แล้ว เรากำลังเดินทางสู่เมืองแมนนั่นเอง
หลังจากใช้เวลาอยู่บน Highway M1, M6 อยู่เกือบ 4 ชม. (ปกติจะเร็วกว่านี้ แต่ช่วงที่เราไปมีการทำถนน จึงดีเลย์ไปบ้าง) พวกเราก็มาถึงเมืองแมน ในเวลา 6 โมงเย็น และแน่นอน check in คือปฏิบัติการแรก หาที่จอดรถเสร็จเรียบร้อย (ที่จอดรถในอังกฤษ และประเทศนอก หลาย ๆ ประเทศไม่เหมือนบ้านเรานะครับ ของที่สหราชอาณาจักร ต้องหาป้ายสีน้ำเงินที่มีตัว “P” จะมีทั้งในรูปแบบเป็นลานจอดรถจริงจัง หรือจอดข้างถนนหรือฟุตบาท ตามเส้นประสีขาวที่กำหนดไว้เท่านั้น และส่วนใหญ่จะต้อง “เสียตังค์” ครับ ราคาก็จะแล้วแต่ที่ แล้วแต่บริษัทกันไป พอจอดรถเสร็จก็คำนวณเวลาที่จะจอด ไปหยอดเหรียญ แล้วจะได้สลิปมา 1 ใบ ก็ให้เอาไปแปะไว้ที่กระจกรถด้านใน ย้ำว่าด้านในนะครับ แปะด้านนอก อาจโดนลมพัด หรือรถคันอื่นเอาไปได้
เดินเล่นในเมืองกันเลยครับ เพราะต่อให้ 6 โมงเย็น แต่พระอาทิตย์ยังทำหน้าที่เหมือนบ่าย 3 ประเทศไทยแบบนี้ เราเลยเหลือเวลาบาน พวกเราเดินเล่นอยู่แถว Piccadilly garden ซึ่งเป็นเหมือนจุดรวมทุกอย่างของเมืองไว้ตรงนั้น ทั้งห้าง ร้านค้า รถราง (tram) เดินเลาะผ่านห้างใหญ่ไปเรื่อย ๆ ก็ไปเจอกับ ถนนและกลิ่นที่คุ้นเคย “ไชน่าทาวน์” เราเลยจัดดินเนอร์ที่ร้านอาหารจีนชื่อดังซะ แล้วเดินเล่นในเมืองต่ออีกหน่อย ก็กลับเข้าที่พัก
วันที่ 16 พ.ค. และแล้ว ก็ถึงวันที่ผมเฝ้ารอ............. งานเลี้ยงส่งกัปตันทีมคนสำคัญ “สตีวี่ จี”
ถึงแม้ว่า match นี้ ผมจะไปดูคนเดียว เพราะสมาชิกที่เหลือ 2 คนเป็นแฟนแมนยู และอีก 2 ไม่ใช่สายลูกหนังเลย แต่ทุกคนก็ตั้งใจจะไปที่ลิเวอร์พูลด้วยกัน เพราะมีอีกเป้าหมายสำคัญ คือ The Beatle story museum ครับ
พวกเราจับรถไฟจากแมนเชสเตอร์ ไปที่เมืองลิเวอร์พูล นั่งรถไฟ 2 ต่อ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. พวกเราก็มาถึงสถานี Liverpool Lime Street ที่เลือกนั่งรถไฟเพราะว่า เราพักที่แมนเชสเตอร์ และเป็นกังวลว่าในวันที่มีแมทช์แข่ง รถจะติดบวกกับหาที่จอดยาก
เดินเลาะท่าเรือ Albert Dock ชื่อดัง ที่มีเรือใหญ่น้อยมากมาย ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันมาใช้บริการ ชมวิวแม่น้ำ Mercy ที่ลดพัดแรงจนเจ้านกนางนวลทั้งหลายถึงกับต้องบินตะแคง 45 องศา
สัญลักษณ์ของเมือง Liverpool ครับ เจ้านก Liverbird (ไม่ใช่หงส์เด้อ)
คุณลุงคนนี้เป็น street musician ครับ เปิดหมวกร้องเพลงโต้ลมหนาว อยู่บริเวณ Albert Dock
เราก็มาถึง The Beatle Story Museum พิพิธภัณฑ์ของวงสี่เต่าทองที่โด่งดังในช่วง ’60 – ’70 เป็นตำนานวงดนตรี rock n roll ระดับโลกที่ทุกคนรู้จักกันดี ในพิพิธภัณฑ์รวบรวมประวัติ และเรื่องราวต่าง ๆ ของวง rock and roll ชื่อดังไว้ทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มตั้งวง จนถึงวันที่แยกจากกัน มีการจำลองสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ The Beatle ตั้งแต่ผับที่เล่นด้วยกันครั้งแรก, เครื่องดนตรีของลุง ๆ, ทางม้าลาย Abbey Road หรือแม้กระทั่งที่นั่งบนเครื่องบินส่วนตัวของอดีตหนุ่ม ๆ เหล่านี้ไว้ด้วย
ศิลปินคนโปรดของผม "เฮียจอห์น"