สวัสดีครับ ชาวพันทิป
นี่เป็นกระทู้แรกของผมเลยที่ตั้ง เพราะรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนนะครับว่าผมเคยใช้ชีวิตอยู่อเมริกามา ที่นั่นเพื่อนๆฝรั่งผมทุกคนส่วนใหญ่ ทำงาน part-time เป็นพนักงานเสิร์ฟทั้งนั้น ทำให้ผมเป็นคนค่อนข้างจะใจดีกับเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหารตลอด ตั้งแต่วัยรุ่น ปกติแล้วเวลาทานอาหารผมมักจะเรียกพนักงานด้วยความสุภาพว่า “คุณ” ทุกครั้ง และเท่าที่จำได้ ผมเคยดุพนักงานเสิร์ฟ ทั้งชีวิตนี้ไม่เกิน 10 ครั้งและเฉพาะ ที่หนักมากๆจริงๆ ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในนั้น
เข้าเรื่องเลยนะครับ ตอนนี้ ภรรยา ตั้งครรภ์อยู่ ดังนั้นเวลาภรรยา อยากทานอะไร ก็จะค่อนข้างตามใจครับ บ้านของเราอยู่แถวศรีนครินทร์ แต่ปกติ เราจะขับเข้าไปกิน กันแถว ทองหล่อ, เอกมัย, หรือแถวสยาม แต่เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ภรรยา ผมบอกว่า อยากทาน หัวปลาหม้อไฟ ช่องนนทรี
ตอนแรกผมกะจะว่าจะพาไปที่พระราม 3 แต่ตอนนั้นก็เกือบ 3 ทุ่มกลัวว่ากว่าจะถึง เดี๋ยวร้านจะปิดเสียก่อน เลยเลือกไป สาขาศรีนครินทร์ แทน ถึงแม้จะไม่ได้ไปทาน ที่สาขานี้ มาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่เธอก็เชื่อว่าคุณภาพอาหารน่าจะเหมือนเดิม
เมื่อเราไปถึงที่ร้าน และเริ่มสั่งอาหาร พนักงานคนแรกที่รับออเดอร์ ไปก็สั่งอาหารให้ ไม่มีปัญหาครับ แต่พอเราเริ่มสั่งอาหารเพิ่มเท่านั้นแหละ
พนักงาน ซึ่งจะเป็นชาวต่างชาติ ฟังเราพูดไม่รู้เรื่องซักคำ ต้องวิ่งไปตามคนที่ 2 แล้วคนที่ 2 ก็ต้องไปตามคนที่ 3 จนคนที่ 4 น่ะครับ ถึงจะฟังผมพูดรู้เรื่อง แต่ ไม่เป็นไรครับ อย่างที่บอกผม เป็นคนใจดีไม่ค่อยอะไรมาก
เมื่อ ปลาหม้อไฟต้มบ๊วย อาหารที่ภรรยาผมถวิลหาถูกเสิร์ฟ ปรากฏว่า
ปลาต้มบ๊วยไม่มีบ๊วยซักเม็ดเลยครับ จนเราเลยต้องขอบ๊วยจากในครัวมาเพิ่มอีก 5 เม็ด แล้วบ๊วยใส่ในหม้อไฟ เพื่อต้มเอาเอง อีกครั้งครับที่ผมง่ายๆ และภรรยาผม ก็พอรับได้ เพราะพอต้มลงไปเลย น้ำซุปอร่อยเหมือนเดิม
แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น ตอนที่เรากินจะเสร็จครับ เพราะ
หลังจากเราทานไปเรื่อยๆและตักน้ำแข็งใส่น้ำ จนใกล้จะหมดถังนั้นปรากฏว่า “มีกระดาษเขียนบิลแผ่นหนึ่งอยู่ก้นถังน้ำแข็ง” ไม่ใช่แค่เศษนะครับ แต่มันทั้งแผ่นเลย
ภรรยาผมท้องอยู่ แล้วถ้าหมึกที่มันลายลงไปในน้ำแข็งส่งผลอะไรต่อ พัฒนาการลูกผม เด็กเสิร์ฟทั้งร้านมีปัญญารับผิดชอบอะไรมั้ย?? ผมโกรธมากครับ แต่ ยังคงใจเย็น ผมเรียกผู้จัดการมา แล้วหยิบถังน้ำแข็งให้ดู แล้วถามว่า “นี่มันอะไรเนี่ย” ไม่มีคำขอโทษใดๆ นอกจากหยิบถังน้ำแข็งถังนั้นไปเปลี่ยนถึงใหม่มา
ไม่ทราบว่าใช้อะไรคิดครับ ผมกินน้ำจนหมดจะเช็คบิลแล้ว ผมจะเอาน้ำแข็งฟรีอีกถังไปทำไม แล้วถังแรกเจออย่างงี้ คิดว่าผมจะกล้าให้ภรรยาผมกินอีกถึงเหรอ???
หลังจากการหยิบถังน้ำแข็งใหม่มาให้แล้ว ก็มีเช็คบิลผมตามปกติ โดยไม่มีการขอโทษ หรือพยายามจะแสดงความรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น วันนั้นโกรธ แต่ไม่อยากจะว่าอะไร เพราะคนเราก็ผิดพลาดกันได้ (เพิ่งบวชพระมาเมื่อสิ้นปี เลยพยายามฝึกตนเองให้เป็นคนเย็นๆ)
ผมตั้งใจไว้ว่า จะไม่กลับไปกินร้านนี้อีก แต่แล้วก็เหมือนเล่นตลก ให้เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมต้องไปกินร้านนี้อีกจนได้ เพราะผมดันเสร็จธุระค่ำมาก และตั้งใจจะพาภรรยา ไปกินร้านอาหารอีกร้านหนึ่งบริเวณนั้น แต่วันนี้ร้านหยุด ซึ่งคนที่เคยมีภรรยาท้องคงจะรู้ว่านะครับ ว่าคนท้องต้องทานอาหารสม่ำเสมอแค่ไหน ผมก็ไม่อยากให้ภรรยาต้องทนหิ้วท้อง เพื่อให้ผมขับรถพาเข้าไปหาร้านอาหารในเมือง เลยต้องจำใจแวะร้านนี้อีกรอบ
แต่บางครั้ง คนบางคนก็ไม่คู่ควรกับโอกาสที่ 2 จริงๆครับ ผมสั่งหัวปลาต้มบ๊วยให้ภรรยาผมกินเหมือนเดิม และครั้งนี้
ปลาต้มบ๊วยก็ไม่มีบ๊วยซักเม็ดเหมือนเดิม ภรรยาผมจึงขอบ๊วยมา 5 เม็ดเพื่อใส่ลงไปในน้ำซุป แต่ก็ยังแทบจะไม่มีรสชาติบ๊วยเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเธอจึงขอเพิ่มอีกครั้ง
ครั้งนี้ผู้จัดการร้านคนเดิม เดินมาแจ้งว่า
หากผมจะขอบ๊วยเพิ่มต้องโดนคิดเม็ดละ 5 บาท …จริงๆ แล้วกินอาหารมื้อหนึ่งหลายร้อย จะเสียอีก หลักสิบต้นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกนะครับ แต่ประเด็นคือ ปลาต้มบ๊วย มันควรจะมีบ๊วยตั้งแต่แรกแล้ว ในเมื่อทางร้านคุณ
ไม่ใส่เครื่องปรุงที่สำคัญเกือบที่สุดในรายการอาหารมา ผมขอเครื่องปรุงนี้มาใส่เองโดย ไม่ตำหนิพ่อครัวแม้แต่คำเดียว แต่คงยังจะหน้าด้านมาคิดเงินผม มันทุเรศไปมั้ยครับ??
ผมได้ยินว่าจะคิดเงินผมเพิ่ม เลยบอกว่าไม่เป็นไร ไม่เอาแล้ว งั้นเช็คบิลเลย แต่ขณะนั้น ภรรยาผมทนไม่ไหว เลยโวยวายไปว่า “สั่งปลาต้มบ๊วย ไม่มีบ๊วยให้ซักเม็ดยังจะมาคิดเงินอีกเหรอ? ถ้าทำอาหารมาดีแต่แรกจะต้องขอเพิ่มมั้ยล่ะ?” ผู้จัดการก็ขอโทษ เหมือนเดิมจะแสดงความรับผิดชอบแล้ว แล้วก็ไปเอาบ๊วยมาใส่ให้
แต่พอเช็คมาอะไร รู้มั้ยครับ คุณผู้อ่าน รายการบรรทัดรองสุดท้ายในบิล เขียนว่า
“ค่าบ๊วย 3 เม็ด 15 บาท” ผมเรียกผู้จัดการมาอีกรอบ บอกว่า “เมื่อกี้ผมบอกไปแล้วไงว่า เสียเงินเพิ่มไม่เอา แต่คุณก็ขอโทษภรรยาผม แล้วไปหยิบมาเอง แต่นี่ยังจะคิดเงินผมอีกเหรอ?” ผู้จัดการตอบมาสั้นๆว่า
“ขอโทษครับ ผมฟังเป็นว่าพี่จะเอาบ๊วย” แค่นั้นจริงๆครับ ไม่มีคำอธิบายอื่น
ผมบอกว่า
“ผมจะจ่ายก็ได้ แต่ถ้าคุณยืนยันจะคิดค่าบ๊วยผม ผมจะไม่มาเหยียบร้านคุณอีก” ผู้จัดการเดินหายไป ไม่สู้หน้าผม แต่ส่งเด็กเสิร์ฟอีกคนเอาบิลมาให้ผม
โดยที่ 15 บาทค่าบ๊วย ยังคงอยู่เหมือนเดิม ผมก็ทำตามนั้นครับ จ่ายเงินแล้วเดินออกมาทันที และคงจะไม่กลับไปเหยียบที่นี่อีกแล้ว
ใครจะไม่เชื่อผม อยากไปลองกินร้านนี้ก็ไม่เป็นไรนะครับ ขอให้คุณอร่อย กับ
น้ำแข็งผสมหยดหมึก และเมนูเด็ดสาขานี้
“ปลาต้มบ๊วยไม่ใส่บ๊วย”
[CR] หัวปลาหม้อไฟช่องนนทรี เมนูเด็ดกระดาษแช่น้ำแข็ง และปลาต้มบ๊วยไม่ใส่บ๊วย
นี่เป็นกระทู้แรกของผมเลยที่ตั้ง เพราะรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนนะครับว่าผมเคยใช้ชีวิตอยู่อเมริกามา ที่นั่นเพื่อนๆฝรั่งผมทุกคนส่วนใหญ่ ทำงาน part-time เป็นพนักงานเสิร์ฟทั้งนั้น ทำให้ผมเป็นคนค่อนข้างจะใจดีกับเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหารตลอด ตั้งแต่วัยรุ่น ปกติแล้วเวลาทานอาหารผมมักจะเรียกพนักงานด้วยความสุภาพว่า “คุณ” ทุกครั้ง และเท่าที่จำได้ ผมเคยดุพนักงานเสิร์ฟ ทั้งชีวิตนี้ไม่เกิน 10 ครั้งและเฉพาะ ที่หนักมากๆจริงๆ ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในนั้น
เข้าเรื่องเลยนะครับ ตอนนี้ ภรรยา ตั้งครรภ์อยู่ ดังนั้นเวลาภรรยา อยากทานอะไร ก็จะค่อนข้างตามใจครับ บ้านของเราอยู่แถวศรีนครินทร์ แต่ปกติ เราจะขับเข้าไปกิน กันแถว ทองหล่อ, เอกมัย, หรือแถวสยาม แต่เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ภรรยา ผมบอกว่า อยากทาน หัวปลาหม้อไฟ ช่องนนทรี
ตอนแรกผมกะจะว่าจะพาไปที่พระราม 3 แต่ตอนนั้นก็เกือบ 3 ทุ่มกลัวว่ากว่าจะถึง เดี๋ยวร้านจะปิดเสียก่อน เลยเลือกไป สาขาศรีนครินทร์ แทน ถึงแม้จะไม่ได้ไปทาน ที่สาขานี้ มาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่เธอก็เชื่อว่าคุณภาพอาหารน่าจะเหมือนเดิม
เมื่อเราไปถึงที่ร้าน และเริ่มสั่งอาหาร พนักงานคนแรกที่รับออเดอร์ ไปก็สั่งอาหารให้ ไม่มีปัญหาครับ แต่พอเราเริ่มสั่งอาหารเพิ่มเท่านั้นแหละ พนักงาน ซึ่งจะเป็นชาวต่างชาติ ฟังเราพูดไม่รู้เรื่องซักคำ ต้องวิ่งไปตามคนที่ 2 แล้วคนที่ 2 ก็ต้องไปตามคนที่ 3 จนคนที่ 4 น่ะครับ ถึงจะฟังผมพูดรู้เรื่อง แต่ ไม่เป็นไรครับ อย่างที่บอกผม เป็นคนใจดีไม่ค่อยอะไรมาก
เมื่อ ปลาหม้อไฟต้มบ๊วย อาหารที่ภรรยาผมถวิลหาถูกเสิร์ฟ ปรากฏว่า ปลาต้มบ๊วยไม่มีบ๊วยซักเม็ดเลยครับ จนเราเลยต้องขอบ๊วยจากในครัวมาเพิ่มอีก 5 เม็ด แล้วบ๊วยใส่ในหม้อไฟ เพื่อต้มเอาเอง อีกครั้งครับที่ผมง่ายๆ และภรรยาผม ก็พอรับได้ เพราะพอต้มลงไปเลย น้ำซุปอร่อยเหมือนเดิม
แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น ตอนที่เรากินจะเสร็จครับ เพราะ หลังจากเราทานไปเรื่อยๆและตักน้ำแข็งใส่น้ำ จนใกล้จะหมดถังนั้นปรากฏว่า “มีกระดาษเขียนบิลแผ่นหนึ่งอยู่ก้นถังน้ำแข็ง” ไม่ใช่แค่เศษนะครับ แต่มันทั้งแผ่นเลย ภรรยาผมท้องอยู่ แล้วถ้าหมึกที่มันลายลงไปในน้ำแข็งส่งผลอะไรต่อ พัฒนาการลูกผม เด็กเสิร์ฟทั้งร้านมีปัญญารับผิดชอบอะไรมั้ย?? ผมโกรธมากครับ แต่ ยังคงใจเย็น ผมเรียกผู้จัดการมา แล้วหยิบถังน้ำแข็งให้ดู แล้วถามว่า “นี่มันอะไรเนี่ย” ไม่มีคำขอโทษใดๆ นอกจากหยิบถังน้ำแข็งถังนั้นไปเปลี่ยนถึงใหม่มา
ไม่ทราบว่าใช้อะไรคิดครับ ผมกินน้ำจนหมดจะเช็คบิลแล้ว ผมจะเอาน้ำแข็งฟรีอีกถังไปทำไม แล้วถังแรกเจออย่างงี้ คิดว่าผมจะกล้าให้ภรรยาผมกินอีกถึงเหรอ???
หลังจากการหยิบถังน้ำแข็งใหม่มาให้แล้ว ก็มีเช็คบิลผมตามปกติ โดยไม่มีการขอโทษ หรือพยายามจะแสดงความรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น วันนั้นโกรธ แต่ไม่อยากจะว่าอะไร เพราะคนเราก็ผิดพลาดกันได้ (เพิ่งบวชพระมาเมื่อสิ้นปี เลยพยายามฝึกตนเองให้เป็นคนเย็นๆ)
ผมตั้งใจไว้ว่า จะไม่กลับไปกินร้านนี้อีก แต่แล้วก็เหมือนเล่นตลก ให้เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมต้องไปกินร้านนี้อีกจนได้ เพราะผมดันเสร็จธุระค่ำมาก และตั้งใจจะพาภรรยา ไปกินร้านอาหารอีกร้านหนึ่งบริเวณนั้น แต่วันนี้ร้านหยุด ซึ่งคนที่เคยมีภรรยาท้องคงจะรู้ว่านะครับ ว่าคนท้องต้องทานอาหารสม่ำเสมอแค่ไหน ผมก็ไม่อยากให้ภรรยาต้องทนหิ้วท้อง เพื่อให้ผมขับรถพาเข้าไปหาร้านอาหารในเมือง เลยต้องจำใจแวะร้านนี้อีกรอบ
แต่บางครั้ง คนบางคนก็ไม่คู่ควรกับโอกาสที่ 2 จริงๆครับ ผมสั่งหัวปลาต้มบ๊วยให้ภรรยาผมกินเหมือนเดิม และครั้งนี้ ปลาต้มบ๊วยก็ไม่มีบ๊วยซักเม็ดเหมือนเดิม ภรรยาผมจึงขอบ๊วยมา 5 เม็ดเพื่อใส่ลงไปในน้ำซุป แต่ก็ยังแทบจะไม่มีรสชาติบ๊วยเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเธอจึงขอเพิ่มอีกครั้ง
ครั้งนี้ผู้จัดการร้านคนเดิม เดินมาแจ้งว่า หากผมจะขอบ๊วยเพิ่มต้องโดนคิดเม็ดละ 5 บาท …จริงๆ แล้วกินอาหารมื้อหนึ่งหลายร้อย จะเสียอีก หลักสิบต้นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกนะครับ แต่ประเด็นคือ ปลาต้มบ๊วย มันควรจะมีบ๊วยตั้งแต่แรกแล้ว ในเมื่อทางร้านคุณ ไม่ใส่เครื่องปรุงที่สำคัญเกือบที่สุดในรายการอาหารมา ผมขอเครื่องปรุงนี้มาใส่เองโดย ไม่ตำหนิพ่อครัวแม้แต่คำเดียว แต่คงยังจะหน้าด้านมาคิดเงินผม มันทุเรศไปมั้ยครับ??
ผมได้ยินว่าจะคิดเงินผมเพิ่ม เลยบอกว่าไม่เป็นไร ไม่เอาแล้ว งั้นเช็คบิลเลย แต่ขณะนั้น ภรรยาผมทนไม่ไหว เลยโวยวายไปว่า “สั่งปลาต้มบ๊วย ไม่มีบ๊วยให้ซักเม็ดยังจะมาคิดเงินอีกเหรอ? ถ้าทำอาหารมาดีแต่แรกจะต้องขอเพิ่มมั้ยล่ะ?” ผู้จัดการก็ขอโทษ เหมือนเดิมจะแสดงความรับผิดชอบแล้ว แล้วก็ไปเอาบ๊วยมาใส่ให้
แต่พอเช็คมาอะไร รู้มั้ยครับ คุณผู้อ่าน รายการบรรทัดรองสุดท้ายในบิล เขียนว่า “ค่าบ๊วย 3 เม็ด 15 บาท” ผมเรียกผู้จัดการมาอีกรอบ บอกว่า “เมื่อกี้ผมบอกไปแล้วไงว่า เสียเงินเพิ่มไม่เอา แต่คุณก็ขอโทษภรรยาผม แล้วไปหยิบมาเอง แต่นี่ยังจะคิดเงินผมอีกเหรอ?” ผู้จัดการตอบมาสั้นๆว่า “ขอโทษครับ ผมฟังเป็นว่าพี่จะเอาบ๊วย” แค่นั้นจริงๆครับ ไม่มีคำอธิบายอื่น
ผมบอกว่า “ผมจะจ่ายก็ได้ แต่ถ้าคุณยืนยันจะคิดค่าบ๊วยผม ผมจะไม่มาเหยียบร้านคุณอีก” ผู้จัดการเดินหายไป ไม่สู้หน้าผม แต่ส่งเด็กเสิร์ฟอีกคนเอาบิลมาให้ผม โดยที่ 15 บาทค่าบ๊วย ยังคงอยู่เหมือนเดิม ผมก็ทำตามนั้นครับ จ่ายเงินแล้วเดินออกมาทันที และคงจะไม่กลับไปเหยียบที่นี่อีกแล้ว
ใครจะไม่เชื่อผม อยากไปลองกินร้านนี้ก็ไม่เป็นไรนะครับ ขอให้คุณอร่อย กับ น้ำแข็งผสมหยดหมึก และเมนูเด็ดสาขานี้ “ปลาต้มบ๊วยไม่ใส่บ๊วย”
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น