บทที่ 2 – คลีนเนอร์
สถานีตำรวจภูธรอำเภอประกายดาวมีสภาพไม่ใหม่ แต่ก็ไม่ได้เก่าจนชวนหดหู่ใจสำหรับผู้พบเห็น ราจิณณ์ถูกคุมตัวขึ้นไปในสภาพที่ยังคงสวมแจ็คเก็ตยีนส์และแว่นตาเรย์แบนสีดำราคาแพง คู่กรณีที่มีเรื่องกับเขาไม่ได้ติดตามมาด้วย เพียงแต่ออกคำสั่งก่อนพากันขี่มอเตอร์ไซค์สามคันหายจากไป ราวกับว่าตัวเองเป็นผู้ถือกฎหมายอย่างไรอย่างนั้น
สถานีตำรวจในสายตาของราจิณณ์แห่งนี้ค่อนข้างเงียบเหงา เขาได้ยินมาพักใหญ่ขณะค้นหาข้อมูลก่อนมายังอำเภอประกายดาวว่า ระยะห้าปีหลังสุด ชาวบ้านของที่นี่นิยมแก้ปัญหากันเอง และเห็นตำรวจเป็นเพียงเครื่องมืออำนวยความสะดวกในธุรกิจมืดบางอย่าง ชายหนุ่มจึงไม่แปลกใจที่ได้เห็นนายตำรวจบนสถานีกำลังนั่งทำงานกันแบบเหี่ยวเฉาเหมือนต้นไม้ที่ใกล้ตาย
“เอ้า เข้าไป ทีหน้าทีหลังไปมีเรื่องกับใครก็ดูตาม้าตาเรือบ้างนะเอ็ง รออีกสองสามวันให้ไอ้คุณดุ๊กมันลืมๆ ไปก่อนเอ็งค่อยออกมาก็แล้วกัน” จ่าเคราแพะพูดอย่างเหนื่อยหน่ายพลางไขกุญแจมือออกให้เขา ราจิณณ์ยืนรอให้หมู่คู่หูจ่าเปิดประตูห้องขังเรียบร้อย เขาก็ก้าวเท้าเข้าไปโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดซ้ำสอง
เสียงประตูห้องขังถูกปิดล็อคกุญแจดังกึงกัง ราจิณณ์นั่งลงที่มุมห้องขังและนวดข้อมือของตัวเองแก้เซ็ง ห้องขังที่เขาอยู่ไม่มีผู้ต้องหาคนอื่นอยู่ด้วย ห้องอื่นๆ ที่อยู่ถัดไปหรือแม้แต่ห้องขังที่เรียงเป็นแถวอยู่ด้านตรงข้าม มีผู้ต้องขังอยู่บ้างแต่มีจำนวนไม่มาก ราจิณณ์สังเกตพบว่าในขณะที่เขาถูกสองนายตำรวจคุมตัวเดินเข้ามา เสียงพูดคุยข้ามห้องขังระหว่างผู้ต้องหาได้สะดุดลง และทุกคนต่างพากันพุ่งความสนใจมาที่เขา
เมื่อสองนายตำรวจลับสายตาลงบันไดไป ก็บังเกิดเสียงทักทายขึ้น
“นี่ ไอ้น้องใหม่ ได้ยินว่าเอ็งไปมีเรื่องกะไอ้ดุ๊กลูกผู้ใหญ่ดอนหรอวะ นี่เอ็งบ้ารึเมาวะเนี่ย ไหนบอกข้ามาซิ” ผู้พูดหัวเราะปิดประโยคไม่เชิงเยาะหยัน แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่าเห็นใจ
ราจิณณ์ไม่สนใจตอบคำถาม ไม่แม้แต่จะสนใจว่าผู้พูดมีหน้าตาอย่างไร เขานั่งพิงซี่กรงและยกมือกอดอก กระเป๋าเป้ซึ่งใส่ข้าวของทั้งหมดของเขาตั้งใจลืมไว้ที่ร้านข้าวแกง ชายหนุ่มจึงไม่เหลือของอะไรที่พกมาติดกายนอกจากแว่นตาบนดั้งจมูกที่โด่งเป็นสัน แต่ราจิณณ์ก็ไม่ได้มีท่าทีทุกข์ใจแต่อย่างใด เขาเชื่อมั่นว่าอีกไม่นานตนเองจะต้องได้ออกจากสถานีตำรวจแห่งนี้ โดยไม่ต้องรอให้ ‘ไอ้คุณดุ๊ก’ ลืมๆ เรื่องการวิวาทของเขาไปก่อนอีกด้วย
“เอ๊ะ ไอ้นี่ ถามไม่ตอบทำหยิ่ง อย่าให้กูออกไปได้นะ กูเตะปากอ่วมแน่”
ผู้พูดคนเดิมตะโกนมาอย่างหัวเสีย จนเพื่อนๆ ที่อยู่ห้องขังข้างเคียงต้องออกปากปลอบให้ใจเย็น ราจิณณ์จำได้ว่าแว่วเสียงฝ่ายนั้นก่นด่าเขาอย่างสนุกปาก แล้วก็ไม่มีใครสนใจเขาอีก ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิมก่อนที่ราจิณณ์จะถูกพาตัวเข้ามา
แต่ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ราจิณณ์กลับพบว่า มีสายตาที่ยากบอกความมุ่งหมายคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองเขาเขม็งจากห้องขังด้านตรงข้าม ด้วยความที่ใส่แว่นดำเขาจึงลอบมองฝ่ายตรงข้ามได้โดยสะดวก มันทำให้ราจิณณ์ได้ทราบว่าผู้ที่กำลังจ้องมองเขาคือชายหนุ่มอายุกลางยี่สิบ ทั่วใบหน้าคมสันเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและทั่วแขนก็มีผ้าพันแผล ท่าทางเป็นนักมวยค่อนไปทางอันธพาลก็ไม่ผิดนัก
ราจิณณ์จำไม่ได้แน่ชัดว่าหลังจากนั้นเข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้าอีกกี่ชั่วโมง แต่แน่ใจว่าคงเป็นเวลาตรวจตรายามย่ำค่ำแล้วเพราะนายตำรวจที่มาสอดส่ายสายตาสำรวจความเรียบร้อยตามห้องขังต่างๆ ได้เปลี่ยนคนจากจ่าเคราแพะมาเป็นนายตำรวจศีรษะโล้นเลี่ยนหนวดเคราดำเฟิ้ม ซึ่งมีเสียงทักทายทันทีขณะก้าวเท้าอ้อมพ้นเฉลียงทางเดินมาว่า
“ดาบชัด จะมาปล่อยผมแล้วใช่มั้ย”
ผู้ทักเป็นอันธพาลที่คอยจ้องมองราจิณณ์นั่นเอง
นายตำรวจวัยใกล้ห้าสิบหัวเราะในลำคอหยันๆ “รอก่อนเถอะไอ้คิด เอ็งเล่นไปพังบาร์เขาเละทั้งร้านแบบนั้น จ่าเพิ่มเขาคงยินดีปล่อยให้เอ็งออกจากกรงไปง่ายๆ หรอก”
อันธพาลหนุ่มลุกพรวดมาเกาะลูกกรง “โธ่ ดาบ ก็มันจะเอาน้องผมไปขายตัวนี่ ดาบจะให้ผมยอมอยู่เฉยๆ งั้นหรอ”
ดาบที่ชื่อชัดแค่นหัวเราะอีกเบาๆ ก็ละความสนใจจากอันธพาลหนุ่มมายังห้องขังของราจิณณ์ผู้นั่งชิดผนังด้านใน ใบหน้าหลบอยู่ในเงามืดของแสงไฟสลัวครึ่งหนึ่ง นายตำรวจวัยเก๋าผิวปากด้วยความสนใจพลางเดินมาเอนตัวเท้าแขนกับประตูห้องขัง
“มีนักโทษมาใหม่ ทำไมในบันทึกไม่เห็นมีแจ้งไว้นะ”
แว่วเสียงผู้ต้องหาจากอีกห้องหนึ่งตะโกน “จ่าเสริมกับหมู่ส่งคุมตัวมาน่ะดาบ เห็นว่าไปมีเรื่องกะไอ้ดุ๊ก ไอ้ดุ๊กเลยสั่งให้เอามาขัง ผมถามอะไรมันก็ไม่ตอบ เป็นใบ้รึเปล่าก็ไม่รู้”
“เฮอะ ไอ้สองตัวนั่นเลียแข้งเลียขาไม่หยุดจริงๆ” ดาบชัดส่ายหน้าระอาใจหลังฟังผู้ต้องหารายงาน เขาหันกลับมาเอียงคอมองราจิณณ์ด้วยความสนใจที่เพิ่มขึ้น “ไอ้หนุ่ม ไหนหันหน้ามาให้อั๊วดูหน่อยซิ”
ราจิณณ์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและหันไปมองทางผู้เรียก เขาไม่เคยพบเห็นนายดาบตำรวจผู้นี้มาก่อน แต่ทันทีที่นายดาบตำรวจวัยเก๋าเห็นหน้าเขา คิ้วเข้มหนาราวกับปลิงทะเลบนใบหน้าของดาบชัดก็เลิกขึ้นสูง
“ละ...ลื้อมาจากบ้านไหน” ดาบชัดถามขณะสลัดอาการคล้ายตกตะลึงออกไป
ราจิณณ์ตอบเสียงเรียบ “ผมเพิ่งมาจากที่อื่น”
“หมายความว่าลื้อไม่ใช่คนที่นี่?”
“ครับ”
ดาบชัดยิ้มร่า พูดออกมาเสียงดัง “นายอั๊วคงอยากคุยกับลื้อแน่ๆ ...คลีนเนอร์!”
ทรชนพิฆาตรัก - บทที่ 2 - คลีนเนอร์
สถานีตำรวจภูธรอำเภอประกายดาวมีสภาพไม่ใหม่ แต่ก็ไม่ได้เก่าจนชวนหดหู่ใจสำหรับผู้พบเห็น ราจิณณ์ถูกคุมตัวขึ้นไปในสภาพที่ยังคงสวมแจ็คเก็ตยีนส์และแว่นตาเรย์แบนสีดำราคาแพง คู่กรณีที่มีเรื่องกับเขาไม่ได้ติดตามมาด้วย เพียงแต่ออกคำสั่งก่อนพากันขี่มอเตอร์ไซค์สามคันหายจากไป ราวกับว่าตัวเองเป็นผู้ถือกฎหมายอย่างไรอย่างนั้น
สถานีตำรวจในสายตาของราจิณณ์แห่งนี้ค่อนข้างเงียบเหงา เขาได้ยินมาพักใหญ่ขณะค้นหาข้อมูลก่อนมายังอำเภอประกายดาวว่า ระยะห้าปีหลังสุด ชาวบ้านของที่นี่นิยมแก้ปัญหากันเอง และเห็นตำรวจเป็นเพียงเครื่องมืออำนวยความสะดวกในธุรกิจมืดบางอย่าง ชายหนุ่มจึงไม่แปลกใจที่ได้เห็นนายตำรวจบนสถานีกำลังนั่งทำงานกันแบบเหี่ยวเฉาเหมือนต้นไม้ที่ใกล้ตาย
“เอ้า เข้าไป ทีหน้าทีหลังไปมีเรื่องกับใครก็ดูตาม้าตาเรือบ้างนะเอ็ง รออีกสองสามวันให้ไอ้คุณดุ๊กมันลืมๆ ไปก่อนเอ็งค่อยออกมาก็แล้วกัน” จ่าเคราแพะพูดอย่างเหนื่อยหน่ายพลางไขกุญแจมือออกให้เขา ราจิณณ์ยืนรอให้หมู่คู่หูจ่าเปิดประตูห้องขังเรียบร้อย เขาก็ก้าวเท้าเข้าไปโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดซ้ำสอง
เสียงประตูห้องขังถูกปิดล็อคกุญแจดังกึงกัง ราจิณณ์นั่งลงที่มุมห้องขังและนวดข้อมือของตัวเองแก้เซ็ง ห้องขังที่เขาอยู่ไม่มีผู้ต้องหาคนอื่นอยู่ด้วย ห้องอื่นๆ ที่อยู่ถัดไปหรือแม้แต่ห้องขังที่เรียงเป็นแถวอยู่ด้านตรงข้าม มีผู้ต้องขังอยู่บ้างแต่มีจำนวนไม่มาก ราจิณณ์สังเกตพบว่าในขณะที่เขาถูกสองนายตำรวจคุมตัวเดินเข้ามา เสียงพูดคุยข้ามห้องขังระหว่างผู้ต้องหาได้สะดุดลง และทุกคนต่างพากันพุ่งความสนใจมาที่เขา
เมื่อสองนายตำรวจลับสายตาลงบันไดไป ก็บังเกิดเสียงทักทายขึ้น
“นี่ ไอ้น้องใหม่ ได้ยินว่าเอ็งไปมีเรื่องกะไอ้ดุ๊กลูกผู้ใหญ่ดอนหรอวะ นี่เอ็งบ้ารึเมาวะเนี่ย ไหนบอกข้ามาซิ” ผู้พูดหัวเราะปิดประโยคไม่เชิงเยาะหยัน แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่าเห็นใจ
ราจิณณ์ไม่สนใจตอบคำถาม ไม่แม้แต่จะสนใจว่าผู้พูดมีหน้าตาอย่างไร เขานั่งพิงซี่กรงและยกมือกอดอก กระเป๋าเป้ซึ่งใส่ข้าวของทั้งหมดของเขาตั้งใจลืมไว้ที่ร้านข้าวแกง ชายหนุ่มจึงไม่เหลือของอะไรที่พกมาติดกายนอกจากแว่นตาบนดั้งจมูกที่โด่งเป็นสัน แต่ราจิณณ์ก็ไม่ได้มีท่าทีทุกข์ใจแต่อย่างใด เขาเชื่อมั่นว่าอีกไม่นานตนเองจะต้องได้ออกจากสถานีตำรวจแห่งนี้ โดยไม่ต้องรอให้ ‘ไอ้คุณดุ๊ก’ ลืมๆ เรื่องการวิวาทของเขาไปก่อนอีกด้วย
“เอ๊ะ ไอ้นี่ ถามไม่ตอบทำหยิ่ง อย่าให้กูออกไปได้นะ กูเตะปากอ่วมแน่”
ผู้พูดคนเดิมตะโกนมาอย่างหัวเสีย จนเพื่อนๆ ที่อยู่ห้องขังข้างเคียงต้องออกปากปลอบให้ใจเย็น ราจิณณ์จำได้ว่าแว่วเสียงฝ่ายนั้นก่นด่าเขาอย่างสนุกปาก แล้วก็ไม่มีใครสนใจเขาอีก ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิมก่อนที่ราจิณณ์จะถูกพาตัวเข้ามา
แต่ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ราจิณณ์กลับพบว่า มีสายตาที่ยากบอกความมุ่งหมายคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองเขาเขม็งจากห้องขังด้านตรงข้าม ด้วยความที่ใส่แว่นดำเขาจึงลอบมองฝ่ายตรงข้ามได้โดยสะดวก มันทำให้ราจิณณ์ได้ทราบว่าผู้ที่กำลังจ้องมองเขาคือชายหนุ่มอายุกลางยี่สิบ ทั่วใบหน้าคมสันเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและทั่วแขนก็มีผ้าพันแผล ท่าทางเป็นนักมวยค่อนไปทางอันธพาลก็ไม่ผิดนัก
ราจิณณ์จำไม่ได้แน่ชัดว่าหลังจากนั้นเข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้าอีกกี่ชั่วโมง แต่แน่ใจว่าคงเป็นเวลาตรวจตรายามย่ำค่ำแล้วเพราะนายตำรวจที่มาสอดส่ายสายตาสำรวจความเรียบร้อยตามห้องขังต่างๆ ได้เปลี่ยนคนจากจ่าเคราแพะมาเป็นนายตำรวจศีรษะโล้นเลี่ยนหนวดเคราดำเฟิ้ม ซึ่งมีเสียงทักทายทันทีขณะก้าวเท้าอ้อมพ้นเฉลียงทางเดินมาว่า
“ดาบชัด จะมาปล่อยผมแล้วใช่มั้ย”
ผู้ทักเป็นอันธพาลที่คอยจ้องมองราจิณณ์นั่นเอง
นายตำรวจวัยใกล้ห้าสิบหัวเราะในลำคอหยันๆ “รอก่อนเถอะไอ้คิด เอ็งเล่นไปพังบาร์เขาเละทั้งร้านแบบนั้น จ่าเพิ่มเขาคงยินดีปล่อยให้เอ็งออกจากกรงไปง่ายๆ หรอก”
อันธพาลหนุ่มลุกพรวดมาเกาะลูกกรง “โธ่ ดาบ ก็มันจะเอาน้องผมไปขายตัวนี่ ดาบจะให้ผมยอมอยู่เฉยๆ งั้นหรอ”
ดาบที่ชื่อชัดแค่นหัวเราะอีกเบาๆ ก็ละความสนใจจากอันธพาลหนุ่มมายังห้องขังของราจิณณ์ผู้นั่งชิดผนังด้านใน ใบหน้าหลบอยู่ในเงามืดของแสงไฟสลัวครึ่งหนึ่ง นายตำรวจวัยเก๋าผิวปากด้วยความสนใจพลางเดินมาเอนตัวเท้าแขนกับประตูห้องขัง
“มีนักโทษมาใหม่ ทำไมในบันทึกไม่เห็นมีแจ้งไว้นะ”
แว่วเสียงผู้ต้องหาจากอีกห้องหนึ่งตะโกน “จ่าเสริมกับหมู่ส่งคุมตัวมาน่ะดาบ เห็นว่าไปมีเรื่องกะไอ้ดุ๊ก ไอ้ดุ๊กเลยสั่งให้เอามาขัง ผมถามอะไรมันก็ไม่ตอบ เป็นใบ้รึเปล่าก็ไม่รู้”
“เฮอะ ไอ้สองตัวนั่นเลียแข้งเลียขาไม่หยุดจริงๆ” ดาบชัดส่ายหน้าระอาใจหลังฟังผู้ต้องหารายงาน เขาหันกลับมาเอียงคอมองราจิณณ์ด้วยความสนใจที่เพิ่มขึ้น “ไอ้หนุ่ม ไหนหันหน้ามาให้อั๊วดูหน่อยซิ”
ราจิณณ์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและหันไปมองทางผู้เรียก เขาไม่เคยพบเห็นนายดาบตำรวจผู้นี้มาก่อน แต่ทันทีที่นายดาบตำรวจวัยเก๋าเห็นหน้าเขา คิ้วเข้มหนาราวกับปลิงทะเลบนใบหน้าของดาบชัดก็เลิกขึ้นสูง
“ละ...ลื้อมาจากบ้านไหน” ดาบชัดถามขณะสลัดอาการคล้ายตกตะลึงออกไป
ราจิณณ์ตอบเสียงเรียบ “ผมเพิ่งมาจากที่อื่น”
“หมายความว่าลื้อไม่ใช่คนที่นี่?”
“ครับ”
ดาบชัดยิ้มร่า พูดออกมาเสียงดัง “นายอั๊วคงอยากคุยกับลื้อแน่ๆ ...คลีนเนอร์!”