บทที่ 1-5 อ่านย้อนหลังได้ที่
http://pantip.com/topic/33763651
“นักสู้ เอสเอ็มอี” ภาพยนต์สั้นจากปมชีวิตนักธุรกิจ SMEs (หน้าหนึ่ง M2F ฉบับวันที่ 16 มีนาคม 2558)
อ่านพาดหัวข่าวแล้วโกรธ ทำไม ทำไมไม่เลือกช้านเป็นนางเอก อ่านไปคิดไปต่างๆ นานา “มาริสรา เนื้อหาครบรสมีทั้งสาระและความบันเทิง เนื่องเรื่องดีงามแบบนี้ขายได้แน่ๆ” พลิกต่อหน้า 2 เพื่ออ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติม ทั้งๆ ที่ยังมีน้ำโห ผู้เข้ารอบคือ นักธุรกิจเอสเอ็มอี ที่ผ่านมรสุมทางธุรกิจทั้งร้อน ทั้งหนาว จนประสบความสำเร็จแล้วในปัจจุบัน (จะว่าให้เข้าใจง่ายก็คือ รวย แล้ว)
อารมณ์ร้อนผ่อนคลาย กลับเข้าสู่โหมดคนสวย มีเหตุผล ก็ฉันยังอยู่โหมดมรสุมร้อนหนาว ถ้าทำหนังชีวิต ณ จุดนี้ คงเป็นภาพยนตร์สั้นชนิดทำลายกำลังใจมากกว่าสร้างกำลังใจตามวัตถุประสงค์ของผู้สร้าง
ก็ได้ !!! คราวนี้ยอมให้ก่อนแล้วกัน เลิกฝาดงวง ฝาดงาแล้วกลับมาเล่าเรื่องมโน มโนของตัวเองต่อไป
“คุณนุ้ยค่ะ” เสียงสวยๆ ของเซลล์พื้นที่โทรเข้ามา “แอ้ม มีพื้นที่วอย ให้ลองลงขาย 10 วัน ช่วงปลายเดือนธันวาคม คุณนุ้ยสนใจมาลองตั้งบูทขายมั้ยค่ะ” (เปลี่ยนชื่อเซลล์ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของนาง) อึ้งไปนิด วอยคืออะไร ชั่งใจว่าจะถามโชว์โง่หรือจะยอมโง่ต่อไป ไม่เป็นไร อินเนอร์สาวมั่นหน้าแรงแซงความอาย เสียหน้าไม่กลัว กลัวไปแล้วเสียเวลาเปล่า “วอยคือ พื้นที่ส่วนกลาง บริเวณทางเดินนะคะ พื้นที่โปรโมชั่นซึ่งเราจะจัดให้ผู้เช่าผลัดเปลี่ยนกันมาออกบูท พื้นที่ตรงนี้เราไม่คิดค่าเช่านะคะ คิดเป็น GP 20% ของยอดขายทั้งหมด (GP คือ เงินเรียกเก็บจากเจ้าของพื้นที่โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดจากยอดขาย) โอเคก็ดีจะได้ทดสอบด้วยว่าแบบที่ที่ผลิตออกมานั้นจะขายได้มั้ย น้องคนขายก็หาได้แล้ว ชื่อน้องส้มจี๊ด เป็นสาวประเภทสองหน้าตาสวยอย่างกับแพททริเซีย กู๊ด ผิวก็ทั้งขาวทั้งเนียน สรุปว่าหน้าตาสวยไม่ไล่ลูกค้า ช่วงแรกหาพนักงานขายสินค้าแสนง่าย เดินถามร้านโน้นร้านนี้ในเทอมินอลตอนเที่ยง ทิ้งเบอร์ไว้วันรุ่งขึ้นได้เลย (แปลกใจว่าทำไม นานๆ ไปพนักงานขายไม่เพียงแต่หายาก พอหาได้ก็หน้าโหดอย่างกับนักฆ่า) วันแรกที่เริ่มขายเป็นวันเสาร์ เรายังจำลูกค้าคนแรกได้แม่นไม่มีวันลืมเลย ตอนนั้นเวลาประมาณ 11 โมงเช้าลูกค้าเข้ามาเลือกสินค้าที่ราวแล้วถามราคา เป็นสาวออฟฟิตชาวพม่าทำงานบริษัทสายการบินของไทยแห่งหนึ่ง เลือกไปเลือกมาตกลงซื้อเดรสไซส์ M ไปหนึ่งชุดด้วยราคา 1399 บาท ดีใจสุดขีด (อยากเข้าไปกอดลูกค้าคนแรกด้วยซ้ำแต่ก็เก็บอาการเอาไว้) มันเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ สรุปทั้ง 10 วันนั้น ยอดขายรวมแล้วได้ประมาณ 5 หมื่นบาท เฉลี่ยวันละ 5 พันบาท ประเมินคร่าวๆ แบบไม่คำนึงถึงเศรษฐกิจตกต่ำในภายภาคหน้า ว่าถ้าขายได้ขั้นต่ำเดือนละแสนห้า หักค่าเช่า 70,000 บาท เงินเดือนพนักงานขาย 12,000 บาท ต้นทุนสินค้า 50,000 บาท นี่ยังไม่ร่วมค่าใช้จ่ายในการผลิตอื่นๆ อีก เหลือกำไรขั้นต้น 18,000 บาท (แม่เจ้าโว้ย นี่มันเงินเดือนเด็กฝึกงานชัดๆ กำไรสุทธิต่อเดือนแค่นี้ไม่พอค่าใช้จ่าย Lifestyle คนเมืองของฉันหรอก! นั่นโอดครวญแบบวัยรุ่น ยิ่งถ้ารวมค่าใช้จ่ายทางฝ่ายผลิตด้วยแล้ว นี่มันมูลนิธิชัดๆ) แต่มัดจำก็จ่ายไปแล้ว แบบตกแต่งร้านก็ผ่านแล้ว ผู้รับเหมาก็จ่ายมัดจำแล้ว ณ จุดนี้ถอยไม่ได้ว่างั้น ต้องเดินหน้าต่อไป ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะเพิ่มยอดยังไงนั้น จู่ๆ ปาฏิหาริย์ก็ปรากฎ มีลูกค้า 2 ท่านติดต่อเข้ามาแบบมีอาการคลั่งไคล้สินค้าของเรามาก ถึงขั้นอยากสั่งไปขาย “Marisara” ถึงได้รู้จักกับการขายแบบ OEM คือการรับจ้างผลิตตามแบบของลูกค้า หากถามว่าลูกค้ามาได้อย่างไร คำตอบสั้นๆ คือ ดิฉันถวายของไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (อิอิ คิดว่าไสยศาสตร์ก็มีส่วน) นอกจากนั้นเราก็โพสเฟสบุคของเราอยู่เรื่อยๆ ช่วงประมาณ 2-3 อาทิตย์ก่อนเปิดร้านลูกค้าถามว่าเรารับจ้างผลิตหรือเปล่า แน๊ะ !!! มีคนจะเอาเงินมาให้ไม่รับได้ยังไงเสียน้ำใจกันพอดี ตอนนั้นเพิ่งเริ่มต้นจำนวนสั่งขั้นต่ำน้อยเชียวแบบละ 4 ตัว ไซส์ M 2, L 2 (ตอนนี้ขั้นต่ำ 6 ตัวนะคะ คละไซส์ S M L XL รับเฉพาะแบบของที่ร้านหรือใกล้เคียง ไม่ได้หยิ่งเพียงแค่รู้จักจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองมากขึ้น เลยต้องเลือกรับงาน) ยอดรวม ลูกค้าสั่งทั้งหมด 10 แบบ แบบละ 4 ตัวรวมเป็น 40 ตัว ในตอนนั้นรู้สึกอลังการงานสร้างมากๆ อารมณ์เหมือนตอนเรายังเป็นเด็กน้อยแค่เดินไปหน้าปากซอยก็ไกลแล้ว (ตอนนี้ 36 หน้าปากซอยก็ยังไกลยังเดินไม่ไหวเพราะปวดข้อเท้า) ข้อดีของการเขียนบันทึกแม่ค้าก็คือ เราได้รำลึกนึกถึงช่วงเวลาที่ธุรกิจนี้เพิ่งเริ่มต้น ตอนนั้นแม้มองไปทางไหนก็มีแต่ปัญหา อะไรๆ ก็ไม่มี อะไรๆ ก็ไม่พร้อม แต่เราไม่คิดมากและไม่คิดไกล เสียใจก็ร้องไห้ปาดน้ำตาแล้วตั้งหลักกับปัจจุบัน มีปัญหาก็แก้ไข มีอุปสรรคก็ฝ่าฟันไป จนถึงทุกวันนี้ พอมองย้อนกลับไปเราถึงได้เรียนรู้ว่า เราก็เดินทางมาได้ไกลเหมือนกันนะ

สู้ สู้ นะคะ พี่น้อง….ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส ใครๆก็…”เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ” เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ บอกมา (สาวก JT)
ภาคต่อของแม่ค้า ประสบการณ์สร้างธุรกิจเสื้อผ้า จากปากแม่ค้าโดยตรง (บทที่ 6 โชคดีของมือใหม่)
“นักสู้ เอสเอ็มอี” ภาพยนต์สั้นจากปมชีวิตนักธุรกิจ SMEs (หน้าหนึ่ง M2F ฉบับวันที่ 16 มีนาคม 2558)
อ่านพาดหัวข่าวแล้วโกรธ ทำไม ทำไมไม่เลือกช้านเป็นนางเอก อ่านไปคิดไปต่างๆ นานา “มาริสรา เนื้อหาครบรสมีทั้งสาระและความบันเทิง เนื่องเรื่องดีงามแบบนี้ขายได้แน่ๆ” พลิกต่อหน้า 2 เพื่ออ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติม ทั้งๆ ที่ยังมีน้ำโห ผู้เข้ารอบคือ นักธุรกิจเอสเอ็มอี ที่ผ่านมรสุมทางธุรกิจทั้งร้อน ทั้งหนาว จนประสบความสำเร็จแล้วในปัจจุบัน (จะว่าให้เข้าใจง่ายก็คือ รวย แล้ว)
อารมณ์ร้อนผ่อนคลาย กลับเข้าสู่โหมดคนสวย มีเหตุผล ก็ฉันยังอยู่โหมดมรสุมร้อนหนาว ถ้าทำหนังชีวิต ณ จุดนี้ คงเป็นภาพยนตร์สั้นชนิดทำลายกำลังใจมากกว่าสร้างกำลังใจตามวัตถุประสงค์ของผู้สร้าง
ก็ได้ !!! คราวนี้ยอมให้ก่อนแล้วกัน เลิกฝาดงวง ฝาดงาแล้วกลับมาเล่าเรื่องมโน มโนของตัวเองต่อไป
“คุณนุ้ยค่ะ” เสียงสวยๆ ของเซลล์พื้นที่โทรเข้ามา “แอ้ม มีพื้นที่วอย ให้ลองลงขาย 10 วัน ช่วงปลายเดือนธันวาคม คุณนุ้ยสนใจมาลองตั้งบูทขายมั้ยค่ะ” (เปลี่ยนชื่อเซลล์ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของนาง) อึ้งไปนิด วอยคืออะไร ชั่งใจว่าจะถามโชว์โง่หรือจะยอมโง่ต่อไป ไม่เป็นไร อินเนอร์สาวมั่นหน้าแรงแซงความอาย เสียหน้าไม่กลัว กลัวไปแล้วเสียเวลาเปล่า “วอยคือ พื้นที่ส่วนกลาง บริเวณทางเดินนะคะ พื้นที่โปรโมชั่นซึ่งเราจะจัดให้ผู้เช่าผลัดเปลี่ยนกันมาออกบูท พื้นที่ตรงนี้เราไม่คิดค่าเช่านะคะ คิดเป็น GP 20% ของยอดขายทั้งหมด (GP คือ เงินเรียกเก็บจากเจ้าของพื้นที่โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดจากยอดขาย) โอเคก็ดีจะได้ทดสอบด้วยว่าแบบที่ที่ผลิตออกมานั้นจะขายได้มั้ย น้องคนขายก็หาได้แล้ว ชื่อน้องส้มจี๊ด เป็นสาวประเภทสองหน้าตาสวยอย่างกับแพททริเซีย กู๊ด ผิวก็ทั้งขาวทั้งเนียน สรุปว่าหน้าตาสวยไม่ไล่ลูกค้า ช่วงแรกหาพนักงานขายสินค้าแสนง่าย เดินถามร้านโน้นร้านนี้ในเทอมินอลตอนเที่ยง ทิ้งเบอร์ไว้วันรุ่งขึ้นได้เลย (แปลกใจว่าทำไม นานๆ ไปพนักงานขายไม่เพียงแต่หายาก พอหาได้ก็หน้าโหดอย่างกับนักฆ่า) วันแรกที่เริ่มขายเป็นวันเสาร์ เรายังจำลูกค้าคนแรกได้แม่นไม่มีวันลืมเลย ตอนนั้นเวลาประมาณ 11 โมงเช้าลูกค้าเข้ามาเลือกสินค้าที่ราวแล้วถามราคา เป็นสาวออฟฟิตชาวพม่าทำงานบริษัทสายการบินของไทยแห่งหนึ่ง เลือกไปเลือกมาตกลงซื้อเดรสไซส์ M ไปหนึ่งชุดด้วยราคา 1399 บาท ดีใจสุดขีด (อยากเข้าไปกอดลูกค้าคนแรกด้วยซ้ำแต่ก็เก็บอาการเอาไว้) มันเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ สรุปทั้ง 10 วันนั้น ยอดขายรวมแล้วได้ประมาณ 5 หมื่นบาท เฉลี่ยวันละ 5 พันบาท ประเมินคร่าวๆ แบบไม่คำนึงถึงเศรษฐกิจตกต่ำในภายภาคหน้า ว่าถ้าขายได้ขั้นต่ำเดือนละแสนห้า หักค่าเช่า 70,000 บาท เงินเดือนพนักงานขาย 12,000 บาท ต้นทุนสินค้า 50,000 บาท นี่ยังไม่ร่วมค่าใช้จ่ายในการผลิตอื่นๆ อีก เหลือกำไรขั้นต้น 18,000 บาท (แม่เจ้าโว้ย นี่มันเงินเดือนเด็กฝึกงานชัดๆ กำไรสุทธิต่อเดือนแค่นี้ไม่พอค่าใช้จ่าย Lifestyle คนเมืองของฉันหรอก! นั่นโอดครวญแบบวัยรุ่น ยิ่งถ้ารวมค่าใช้จ่ายทางฝ่ายผลิตด้วยแล้ว นี่มันมูลนิธิชัดๆ) แต่มัดจำก็จ่ายไปแล้ว แบบตกแต่งร้านก็ผ่านแล้ว ผู้รับเหมาก็จ่ายมัดจำแล้ว ณ จุดนี้ถอยไม่ได้ว่างั้น ต้องเดินหน้าต่อไป ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะเพิ่มยอดยังไงนั้น จู่ๆ ปาฏิหาริย์ก็ปรากฎ มีลูกค้า 2 ท่านติดต่อเข้ามาแบบมีอาการคลั่งไคล้สินค้าของเรามาก ถึงขั้นอยากสั่งไปขาย “Marisara” ถึงได้รู้จักกับการขายแบบ OEM คือการรับจ้างผลิตตามแบบของลูกค้า หากถามว่าลูกค้ามาได้อย่างไร คำตอบสั้นๆ คือ ดิฉันถวายของไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (อิอิ คิดว่าไสยศาสตร์ก็มีส่วน) นอกจากนั้นเราก็โพสเฟสบุคของเราอยู่เรื่อยๆ ช่วงประมาณ 2-3 อาทิตย์ก่อนเปิดร้านลูกค้าถามว่าเรารับจ้างผลิตหรือเปล่า แน๊ะ !!! มีคนจะเอาเงินมาให้ไม่รับได้ยังไงเสียน้ำใจกันพอดี ตอนนั้นเพิ่งเริ่มต้นจำนวนสั่งขั้นต่ำน้อยเชียวแบบละ 4 ตัว ไซส์ M 2, L 2 (ตอนนี้ขั้นต่ำ 6 ตัวนะคะ คละไซส์ S M L XL รับเฉพาะแบบของที่ร้านหรือใกล้เคียง ไม่ได้หยิ่งเพียงแค่รู้จักจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองมากขึ้น เลยต้องเลือกรับงาน) ยอดรวม ลูกค้าสั่งทั้งหมด 10 แบบ แบบละ 4 ตัวรวมเป็น 40 ตัว ในตอนนั้นรู้สึกอลังการงานสร้างมากๆ อารมณ์เหมือนตอนเรายังเป็นเด็กน้อยแค่เดินไปหน้าปากซอยก็ไกลแล้ว (ตอนนี้ 36 หน้าปากซอยก็ยังไกลยังเดินไม่ไหวเพราะปวดข้อเท้า) ข้อดีของการเขียนบันทึกแม่ค้าก็คือ เราได้รำลึกนึกถึงช่วงเวลาที่ธุรกิจนี้เพิ่งเริ่มต้น ตอนนั้นแม้มองไปทางไหนก็มีแต่ปัญหา อะไรๆ ก็ไม่มี อะไรๆ ก็ไม่พร้อม แต่เราไม่คิดมากและไม่คิดไกล เสียใจก็ร้องไห้ปาดน้ำตาแล้วตั้งหลักกับปัจจุบัน มีปัญหาก็แก้ไข มีอุปสรรคก็ฝ่าฟันไป จนถึงทุกวันนี้ พอมองย้อนกลับไปเราถึงได้เรียนรู้ว่า เราก็เดินทางมาได้ไกลเหมือนกันนะ