กรณีที่สมาชิกบางท่าน เสนอความคิดเห็นว่า โพธิสัตว์ยกลูกของตนให้ไปเป็นข้าทาสของผู้อื่น ไม่เป็นการเบียดเบียน ไม่ผิดบาป
จนแม้แต่รู้ว่าเขาจะเอาไปฆ่า ก็จะยกให้ ซึ่งก็ไม่ผิดบาปอยู่ดีนั้น เมื่อถูกถามว่า มีหลักฐานยืนยันหรือไม่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ผิดบาป ปรากฏว่า ไม่มี
สิ่งที่ผมสงสัยมากๆก็คือ ในเมื่อไม่มีหลักฐานคำสอนดังกล่าว แล้วพวกท่านเหล่านั้น ไปเอาอะไรที่ไหนมาพูดกันหละครับ ?
เพราะประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ ก็คือ กฏแห่งกรรม เนื่องจากการที่พวกท่านบอกว่า พระโพธิสัตว์ ทำอะไรก็ได้ ก่อความเดือดร้อนให้ผู้อื่นมากแค่ไหน ก็ไม่ผิดบาป
มันก็เท่ากับว่า โพธิสัตว์ อยู่เหนือกฏแห่งกรรม ซึ่งตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นนี่ครับ
ผมลองตรวจสอบดูจากชาดก ปรากฏเรื่องที่น่าสนใจ ก็คือ กรณี พญากระต่ายสสปัณฑิต ซึ่งถูกระบุว่าเป็น ทานปรมัตถบารมี หมายถึง การให้ชีวิตของตนเป็นทาน
สสปัณฑิตจริยาที่ ๑๐
ว่าด้วยจริยาวัตรของสสบัณฑิต
[๑๐] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นกระต่ายเที่ยวอยู่ในป่า มีหญ้า
ใบไม้ ผักและผลไม้เป็นภักษา เว้นจากการเบียดเบียนผู้อื่น ใน
กาลนั้น ลิง สุนัขจิ้งจอก ลูกนาค และเราเป็นสหายอยู่ร่วมกัน
มาพบกันทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า เราสั่งสอนสหายเหล่านั้นในกุศล
ธรรมและอกุศลธรรมว่าท่านทั้งหลาย จงเว้นบาปกรรมเสีย จงตั้งอยู่
ในกรรมอันงาม เราเห็นพระจันทร์เต็มดวงในวันอุโบสถ จึงบอก
แก่สหายเหล่านั้นว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ ท่านทั้งหลายจงตระ
เตรียมทานทั้งหลายเพื่อให้แก่ทักขิไณยยบุคคล ครั้นให้ทานแก่ทักขิ
ไณยยบุคคลแล้ว จงรักษาอุโบสถ สหายเหล่านั้นรับคำของเราว่า
สาธุ แล้วได้ตระเตรียมทานต่างๆ ตามสติกำลัง แล้วแสวงหา
ทักขิไณยยบุคคล เรานอนคิดถึงทานอันสมควรแก่ทักขิไณยยบุคคล
ว่า ถ้าเราพึงได้ทักขิไณยยบุคคล เราจักให้อะไรเป็นทาน งา ถั่วเขียว
ถั่วเหลือง ข้าวสาร และเปรียง ของเราไม่มี เราเลี้ยงชีวิตด้วยหญ้า
ถ้าทักขิไณยยบุคคลมาสักท่านหนึ่ง เพื่อขอให้สำนักของเรา เราพึง
ให้ตนของตน ทักขิไณยยบุคคลจักไม่ไปเปล่า ท้าวสักกะทรงทราบ
ความดำริของเราแล้ว แปลงเพศเป็นพราหมณ์เสด็จเข้ามายังสำนัก
ของเรา เพื่อทรงทดลองทานของเรา เราเห็นพราหมณ์นั้นแล้วก็ยิน
ดี ได้กล่าวคำนี้ว่าท่านมาถึงในสำนักของเรา เพราะเหตุแห่งอาหาร
เป็นการดีแล วันนี้เราจักให้ทานอันประเสริฐที่ใครๆ ไม่เคยให้
แก่ท่าน ท่านผู้ประกอบด้วยศีลคุณ การเบียดเบียนผู้อื่นไม่ควรแก่
ท่าน ท่านจงไปนำเอาไม้ต่างๆ มาก่อไฟขึ้น เราจักปิ้งตัวของเรา
ท่านจักได้กินเนื้อที่สุกพราหมณ์รับคำแล้ว มีใจร่าเริง นำเอาไม้ต่างๆ
มาได้ทำเชิงตะกอนใหญ่ ทำเป็นห้องอันเต็มด้วยถ่านเพลิงก่อไฟ
โพลงขึ้น ณ ที่นั้นทันทีเหมือนไฟนั้นเป็นกองใหญ่ฉะนั้น เราสลัด
ตัวอันมีธุลีแล้ว เข้าไปนั่งอยู่ข้างหนึ่งในเมื่อกองไม้อันไฟติดทั่ว
แล้ว เป็นควันตระลบอยู่ ในกาลนั้น เราโดดลงในท่ามกลางระหว่าง
เปลวไฟ น้ำเย็นอันผู้ใดผู้หนึ่งดำลงแล้ว ย่อมระงับความกระวน
กระวายและความร้อน ย่อมให้ความยินดีและปีติ ฉันใดในกาลเมื่อ
เราเข้าไปยังไฟที่ลุกโพลง ก็ฉันนั้นเหมือนกันความกระวนกระวายทั้งปวง
ย่อมระงับ ดังดำลงในน้ำเย็นฉะนั้น เราได้ให้แล้วซึ่งกายทั้งสิ้น
โดยไม่เหลือ คือ ขน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และชิ้นเนื้อหทัย
แก่พราหมณ์ ฉะนี้แล.
จบสสปัณฑิตจริยาที่ ๑๐
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A=8906&Z=8951
ตามเนื้อเรื่อง สรุปได้ว่า สสปัณฑิต คิดจะทำทานแก่ทักขิไณยยบุคคล เทวดาทราบเรื่อง จึงแปลงเป็นพราหมณ์มารับทาน
พญากระต่ายจึงกระโดดเข้ากองไฟ ใช้ตนเองเป็นอาหารให้ทานแก่พราหมณ์แปลงนั้น
ซึ่งถ้าเราอ่านแค่นี้แล้วจบ ก็คงเข้าใจว่า พญากระต่าย ตายในกองไฟ แต่พอไปอ่านอรรถกถา ปรากฏว่า พญากระต่ายไม่ตาย
เพราะไฟจากกองไฟนั้นเป็นไฟเย็น ที่เทวดาสร้างขึ้นมาเพื่อลองใจพญากระต่าย
แม้พระโพธิสัตว์ก็ไม่สามารถทำความร้อนแม้เพียงขุมขนในร่างกาย
ของตนในกองไฟนั้นได้ จึงทำเป็นดุจเข้าห้องหิมะกล่าวกะท้าวสักกะผู้ทรงรูป
เป็นพราหมณ์อย่างนี้ว่า ท่านพราหมณ์ท่านทำไฟให้เย็นจัดได้ ทำได้อย่างไร.
พราหมณ์กล่าวว่า ท่านบัณฑิตข้าพเจ้ามิใช่พราหมณ์ดอก. ข้าพเจ้าเป็นท้าว
สักกะ. มาทำอย่างนี้ก็เพื่อทดลองท่าน. พระโพธิสัตว์ได้บันลือสีหนาทว่า
ข้าแต่ท้าวสักกะช่างเถิด. หากว่า โลกทั้งสิ้นพึงทดลองข้าพเจ้าด้วยทาน.
ความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะไม่ให้ของข้าพเจ้าคงไม่มีอีกแล้ว. ใครจะให้ทานเกิด
ขึ้น ท่านจะเห็นทานนั้นได้อย่างไรอีกเล่า.
ลำดับนั้นท้าวสักกะตรัสว่า ท่านสสบัณฑิตคุณธรรมของท่านจง
ปรากฏอยู่ตลอดกัปเถิด แล้วทรงบีบภูเขาคือเอายางภูเขาวาดลักษณะของ
กระต่ายไว้ ณ จันทมณฑลแล้วให้พระโพธิสัตว์นอนบนตั่งหญ้าแพรกอ่อนที่
พุ่มไม้ในราวป่านั้น แล้วเสด็จกลับเทวโลก. บัณฑิตทั้ง ๒ แม้เหล่านั้นก็
สมัครสมานเบิกบานบำเพ็ญนิจศีลและอุโบสถศีล กระทำบุญตามสมควรแล้ว
ก็ไปตามยถากรรม.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33.3&i=10
ตรงนี้ ผมสงสัยครับ เพราะถ้ากรณีเช่นนี้ เป็นเพียงแค่การลองใจ ไม่มีการตายจริง มันจะกลายเป็นว่า ไม่เคยมีโพธิสัตว์ที่สละชีวิตของตน เป็นทานปรมัตถบารมี เพื่อพระโพธิญาณจริงๆ น่ะสิครับ
และประเด็นสำคัญ ที่ผมสนใจก็คือ ในอรรถกถาของ สสปัณฑิตชาดก ได้ระบุข้อความเกี่ยวกับกฏแห่งกรรมเอาไว้ว่า .......
บทว่า สสโก ความว่า ดูก่อนสารีบุตร เราเที่ยวแสวงหาโพธิญาณ ในกาลเมื่อเราเป็นสสปัณฑิต (กระต่าย).
จริงอยู่ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย แม้ถึงความเป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจของกรรมก็ยังบังเกิด ในกำเนิดเดียรัจฉานเพื่ออนุเคราะห์สัตว์เดียรัจฉานเช่นนั้น.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33.3&i=10
ก็แปลว่า ทั้งหมดเป็นไปตามที่ผมเข้าใจ คือ พระโพธิสัตว์ ถึงยังไงๆ ก็ยังคงต้องอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรม หมายความว่า ทุกๆการกระทำ ย่อมได้รับผลนั้น
เช่น เบียดเบียนผู้อื่น ก็เป็นความผิดบาป เป็นกรรมดำ ที่ต้องได้รับวิบากดำ จะมากล่าวว่า ไม่ผิด ไม่บาป และไม่ต้องรับผล คงไม่ได้ นะครับท่าน
เพราะแม้แต่พญากระต่าย ซึ่งเป็นสัตว์ดิรัจฉานแท้ๆ ก็ยังมีจิตสำนึกในเรื่องนี้ คือ ก่อนที่จะกระโดดเข้ากองไฟ ก็ได้สลัดตัวสลัดขนเสียก่อน
เพราะเกรงว่า อาจมีสัตว์เล็กสัตว์น้อย ที่ติดตัวติดขนอยู่ จะตายไปพร้อมกับตนเองไปด้วย
แล้วกรณีของพระเวสสันดรหละ ท่านจะไม่มีจิตสำนึก ในความผิดบาป ที่ได้เบียดเบียนลูกเมียให้ได้รับความเดือดร้อนเลยหรือครับ ?
ถ้าถามผม ผมเข้าใจว่า พระเวสสันดร รู้ดีอยู่แก่ใจครับ เพียงแต่กล้ายอมรับผลอันนั้น ด้วยเชื่อว่า ผลคือ โพธิญาณ ยิ่งใหญ่กว่า สำคัญกว่า
ดังนั้น ที่เป็นปัญหาจริงๆ จึงไม่ใช่พระเวสสันดร แต่เป็นชาวพุทธงมงายในที่นี้ เสียมากกว่า ที่พยายามอวยพระโพธิสัตว์ เสียจนผิดหลักการ หลักธรรมในพระพุทธศาสนา จริงไหมครับท่าน ?
กรณีเผาจริง ตายจริง ก็มีอยู่นะครับท่าน ตัวอย่างเช่น นายเรือง นายนก ได้เผาตัวเพื่อบูชาธรรม เข้าสู่พุทธภูมิ
หากอธิบายอย่างที่สมาชิกหลายๆท่าน อธิบายเรื่องพระเวสสันดร นายเรือง นายนก ก็คงมีเจตนากุศล มั้งครับ
แต่คำถามก็คือ แล้วที่เขาเผาตัวตายไปนั้น จะเป็นการเบียดเบียนตนเอง เป็นความผิดบาป หรือไม่ ?
เพราะถ้า ท่านชาวพุทธทั้งหลาย จะบอกว่า การเบียดเบียนตนเอง ไม่ผิดบาป เหมือนกับที่ พระเวสสันดร เบียดเบียนลูกเมีย ก็ไม่ผิดบาป
ผมคงต้องเข้าใจว่า พวกท่านเป็น มิจฉาทิฐินอกพระพุทธศาสนา ดังเช่น วาทะของศาสดาปูรณะกัสสป ที่บอกในทำนองว่า
บุคคลทำกรรม ก็เป็นอันไม่ทำ คือ ทำชั่ว ทำบาป สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นอย่างไร ก็ไม่เกิดผลอะไรต่อตนเอง ........
เมื่อบุคคลทำเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำ ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช้ผู้อื่นให้เบียดเบียน ทำเขาให้เศร้าโศกเอง
ใช้ผู้อื่นทำเขาให้เศร้าโศก ทำเขาให้ลำบากเอง ใช้ผู้อื่นทำเขาให้ลำบาก ดิ้นรนเอง ทำเขาให้
ดิ้นรน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ตัดที่ต่อ ปล้นไม่ให้เหลือ ทำโจรกรรมในเรือนหลังเดียว ซุ่มอยู่ที่
ทางเปลี่ยว ทำชู้ภริยาเขา พูดเท็จ ผู้ทำไม่ชื่อว่าทำบาป แม้หาผู้ใดจะใช้จักรซึ่งมีคมโดยรอบ
เหมือนมีดโกน สังหารเหล่าสัตว์ในปัฐพีนี้ ให้เป็นลาน เป็นกองมังสะอันเดียวกัน บาปที่มี
การทำเช่นนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลจะไปยังฝั่งขวาแห่ง
แม่น้ำคงคา ฆ่าเอง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช้ผู้อื่นให้เบียดเบียน
บาปที่มีการทำเช่นนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบาปมาถึงเขา
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=9&A=1072&Z=1919
ท่านชาวพุทธ จะอธิบายเรื่องนี้ ว่าอย่างไรหละครับ ?
โพธิสัตว์เผาตัวตาย เพื่อเข้าสู่พุทธภูมิ ; บาป หรือไม่บาป ? เป็นพุทธธรรม หรือ มิจฉาทิฐิ ?
จนแม้แต่รู้ว่าเขาจะเอาไปฆ่า ก็จะยกให้ ซึ่งก็ไม่ผิดบาปอยู่ดีนั้น เมื่อถูกถามว่า มีหลักฐานยืนยันหรือไม่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ผิดบาป ปรากฏว่า ไม่มี
สิ่งที่ผมสงสัยมากๆก็คือ ในเมื่อไม่มีหลักฐานคำสอนดังกล่าว แล้วพวกท่านเหล่านั้น ไปเอาอะไรที่ไหนมาพูดกันหละครับ ?
เพราะประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ ก็คือ กฏแห่งกรรม เนื่องจากการที่พวกท่านบอกว่า พระโพธิสัตว์ ทำอะไรก็ได้ ก่อความเดือดร้อนให้ผู้อื่นมากแค่ไหน ก็ไม่ผิดบาป
มันก็เท่ากับว่า โพธิสัตว์ อยู่เหนือกฏแห่งกรรม ซึ่งตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นนี่ครับ
ผมลองตรวจสอบดูจากชาดก ปรากฏเรื่องที่น่าสนใจ ก็คือ กรณี พญากระต่ายสสปัณฑิต ซึ่งถูกระบุว่าเป็น ทานปรมัตถบารมี หมายถึง การให้ชีวิตของตนเป็นทาน
สสปัณฑิตจริยาที่ ๑๐
ว่าด้วยจริยาวัตรของสสบัณฑิต
[๑๐] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นกระต่ายเที่ยวอยู่ในป่า มีหญ้า
ใบไม้ ผักและผลไม้เป็นภักษา เว้นจากการเบียดเบียนผู้อื่น ใน
กาลนั้น ลิง สุนัขจิ้งจอก ลูกนาค และเราเป็นสหายอยู่ร่วมกัน
มาพบกันทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า เราสั่งสอนสหายเหล่านั้นในกุศล
ธรรมและอกุศลธรรมว่าท่านทั้งหลาย จงเว้นบาปกรรมเสีย จงตั้งอยู่
ในกรรมอันงาม เราเห็นพระจันทร์เต็มดวงในวันอุโบสถ จึงบอก
แก่สหายเหล่านั้นว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ ท่านทั้งหลายจงตระ
เตรียมทานทั้งหลายเพื่อให้แก่ทักขิไณยยบุคคล ครั้นให้ทานแก่ทักขิ
ไณยยบุคคลแล้ว จงรักษาอุโบสถ สหายเหล่านั้นรับคำของเราว่า
สาธุ แล้วได้ตระเตรียมทานต่างๆ ตามสติกำลัง แล้วแสวงหา
ทักขิไณยยบุคคล เรานอนคิดถึงทานอันสมควรแก่ทักขิไณยยบุคคล
ว่า ถ้าเราพึงได้ทักขิไณยยบุคคล เราจักให้อะไรเป็นทาน งา ถั่วเขียว
ถั่วเหลือง ข้าวสาร และเปรียง ของเราไม่มี เราเลี้ยงชีวิตด้วยหญ้า
ถ้าทักขิไณยยบุคคลมาสักท่านหนึ่ง เพื่อขอให้สำนักของเรา เราพึง
ให้ตนของตน ทักขิไณยยบุคคลจักไม่ไปเปล่า ท้าวสักกะทรงทราบ
ความดำริของเราแล้ว แปลงเพศเป็นพราหมณ์เสด็จเข้ามายังสำนัก
ของเรา เพื่อทรงทดลองทานของเรา เราเห็นพราหมณ์นั้นแล้วก็ยิน
ดี ได้กล่าวคำนี้ว่าท่านมาถึงในสำนักของเรา เพราะเหตุแห่งอาหาร
เป็นการดีแล วันนี้เราจักให้ทานอันประเสริฐที่ใครๆ ไม่เคยให้
แก่ท่าน ท่านผู้ประกอบด้วยศีลคุณ การเบียดเบียนผู้อื่นไม่ควรแก่
ท่าน ท่านจงไปนำเอาไม้ต่างๆ มาก่อไฟขึ้น เราจักปิ้งตัวของเรา
ท่านจักได้กินเนื้อที่สุกพราหมณ์รับคำแล้ว มีใจร่าเริง นำเอาไม้ต่างๆ
มาได้ทำเชิงตะกอนใหญ่ ทำเป็นห้องอันเต็มด้วยถ่านเพลิงก่อไฟ
โพลงขึ้น ณ ที่นั้นทันทีเหมือนไฟนั้นเป็นกองใหญ่ฉะนั้น เราสลัด
ตัวอันมีธุลีแล้ว เข้าไปนั่งอยู่ข้างหนึ่งในเมื่อกองไม้อันไฟติดทั่ว
แล้ว เป็นควันตระลบอยู่ ในกาลนั้น เราโดดลงในท่ามกลางระหว่าง
เปลวไฟ น้ำเย็นอันผู้ใดผู้หนึ่งดำลงแล้ว ย่อมระงับความกระวน
กระวายและความร้อน ย่อมให้ความยินดีและปีติ ฉันใดในกาลเมื่อ
เราเข้าไปยังไฟที่ลุกโพลง ก็ฉันนั้นเหมือนกันความกระวนกระวายทั้งปวง
ย่อมระงับ ดังดำลงในน้ำเย็นฉะนั้น เราได้ให้แล้วซึ่งกายทั้งสิ้น
โดยไม่เหลือ คือ ขน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และชิ้นเนื้อหทัย
แก่พราหมณ์ ฉะนี้แล.
จบสสปัณฑิตจริยาที่ ๑๐
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A=8906&Z=8951
ตามเนื้อเรื่อง สรุปได้ว่า สสปัณฑิต คิดจะทำทานแก่ทักขิไณยยบุคคล เทวดาทราบเรื่อง จึงแปลงเป็นพราหมณ์มารับทาน
พญากระต่ายจึงกระโดดเข้ากองไฟ ใช้ตนเองเป็นอาหารให้ทานแก่พราหมณ์แปลงนั้น
ซึ่งถ้าเราอ่านแค่นี้แล้วจบ ก็คงเข้าใจว่า พญากระต่าย ตายในกองไฟ แต่พอไปอ่านอรรถกถา ปรากฏว่า พญากระต่ายไม่ตาย
เพราะไฟจากกองไฟนั้นเป็นไฟเย็น ที่เทวดาสร้างขึ้นมาเพื่อลองใจพญากระต่าย
แม้พระโพธิสัตว์ก็ไม่สามารถทำความร้อนแม้เพียงขุมขนในร่างกาย
ของตนในกองไฟนั้นได้ จึงทำเป็นดุจเข้าห้องหิมะกล่าวกะท้าวสักกะผู้ทรงรูป
เป็นพราหมณ์อย่างนี้ว่า ท่านพราหมณ์ท่านทำไฟให้เย็นจัดได้ ทำได้อย่างไร.
พราหมณ์กล่าวว่า ท่านบัณฑิตข้าพเจ้ามิใช่พราหมณ์ดอก. ข้าพเจ้าเป็นท้าว
สักกะ. มาทำอย่างนี้ก็เพื่อทดลองท่าน. พระโพธิสัตว์ได้บันลือสีหนาทว่า
ข้าแต่ท้าวสักกะช่างเถิด. หากว่า โลกทั้งสิ้นพึงทดลองข้าพเจ้าด้วยทาน.
ความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะไม่ให้ของข้าพเจ้าคงไม่มีอีกแล้ว. ใครจะให้ทานเกิด
ขึ้น ท่านจะเห็นทานนั้นได้อย่างไรอีกเล่า.
ลำดับนั้นท้าวสักกะตรัสว่า ท่านสสบัณฑิตคุณธรรมของท่านจง
ปรากฏอยู่ตลอดกัปเถิด แล้วทรงบีบภูเขาคือเอายางภูเขาวาดลักษณะของ
กระต่ายไว้ ณ จันทมณฑลแล้วให้พระโพธิสัตว์นอนบนตั่งหญ้าแพรกอ่อนที่
พุ่มไม้ในราวป่านั้น แล้วเสด็จกลับเทวโลก. บัณฑิตทั้ง ๒ แม้เหล่านั้นก็
สมัครสมานเบิกบานบำเพ็ญนิจศีลและอุโบสถศีล กระทำบุญตามสมควรแล้ว
ก็ไปตามยถากรรม.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33.3&i=10
ตรงนี้ ผมสงสัยครับ เพราะถ้ากรณีเช่นนี้ เป็นเพียงแค่การลองใจ ไม่มีการตายจริง มันจะกลายเป็นว่า ไม่เคยมีโพธิสัตว์ที่สละชีวิตของตน เป็นทานปรมัตถบารมี เพื่อพระโพธิญาณจริงๆ น่ะสิครับ
และประเด็นสำคัญ ที่ผมสนใจก็คือ ในอรรถกถาของ สสปัณฑิตชาดก ได้ระบุข้อความเกี่ยวกับกฏแห่งกรรมเอาไว้ว่า .......
บทว่า สสโก ความว่า ดูก่อนสารีบุตร เราเที่ยวแสวงหาโพธิญาณ ในกาลเมื่อเราเป็นสสปัณฑิต (กระต่าย).
จริงอยู่ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย แม้ถึงความเป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจของกรรมก็ยังบังเกิด ในกำเนิดเดียรัจฉานเพื่ออนุเคราะห์สัตว์เดียรัจฉานเช่นนั้น.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33.3&i=10
ก็แปลว่า ทั้งหมดเป็นไปตามที่ผมเข้าใจ คือ พระโพธิสัตว์ ถึงยังไงๆ ก็ยังคงต้องอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรม หมายความว่า ทุกๆการกระทำ ย่อมได้รับผลนั้น
เช่น เบียดเบียนผู้อื่น ก็เป็นความผิดบาป เป็นกรรมดำ ที่ต้องได้รับวิบากดำ จะมากล่าวว่า ไม่ผิด ไม่บาป และไม่ต้องรับผล คงไม่ได้ นะครับท่าน
เพราะแม้แต่พญากระต่าย ซึ่งเป็นสัตว์ดิรัจฉานแท้ๆ ก็ยังมีจิตสำนึกในเรื่องนี้ คือ ก่อนที่จะกระโดดเข้ากองไฟ ก็ได้สลัดตัวสลัดขนเสียก่อน
เพราะเกรงว่า อาจมีสัตว์เล็กสัตว์น้อย ที่ติดตัวติดขนอยู่ จะตายไปพร้อมกับตนเองไปด้วย
แล้วกรณีของพระเวสสันดรหละ ท่านจะไม่มีจิตสำนึก ในความผิดบาป ที่ได้เบียดเบียนลูกเมียให้ได้รับความเดือดร้อนเลยหรือครับ ?
ถ้าถามผม ผมเข้าใจว่า พระเวสสันดร รู้ดีอยู่แก่ใจครับ เพียงแต่กล้ายอมรับผลอันนั้น ด้วยเชื่อว่า ผลคือ โพธิญาณ ยิ่งใหญ่กว่า สำคัญกว่า
ดังนั้น ที่เป็นปัญหาจริงๆ จึงไม่ใช่พระเวสสันดร แต่เป็นชาวพุทธงมงายในที่นี้ เสียมากกว่า ที่พยายามอวยพระโพธิสัตว์ เสียจนผิดหลักการ หลักธรรมในพระพุทธศาสนา จริงไหมครับท่าน ?
กรณีเผาจริง ตายจริง ก็มีอยู่นะครับท่าน ตัวอย่างเช่น นายเรือง นายนก ได้เผาตัวเพื่อบูชาธรรม เข้าสู่พุทธภูมิ
หากอธิบายอย่างที่สมาชิกหลายๆท่าน อธิบายเรื่องพระเวสสันดร นายเรือง นายนก ก็คงมีเจตนากุศล มั้งครับ
แต่คำถามก็คือ แล้วที่เขาเผาตัวตายไปนั้น จะเป็นการเบียดเบียนตนเอง เป็นความผิดบาป หรือไม่ ?
เพราะถ้า ท่านชาวพุทธทั้งหลาย จะบอกว่า การเบียดเบียนตนเอง ไม่ผิดบาป เหมือนกับที่ พระเวสสันดร เบียดเบียนลูกเมีย ก็ไม่ผิดบาป
ผมคงต้องเข้าใจว่า พวกท่านเป็น มิจฉาทิฐินอกพระพุทธศาสนา ดังเช่น วาทะของศาสดาปูรณะกัสสป ที่บอกในทำนองว่า
บุคคลทำกรรม ก็เป็นอันไม่ทำ คือ ทำชั่ว ทำบาป สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นอย่างไร ก็ไม่เกิดผลอะไรต่อตนเอง ........
เมื่อบุคคลทำเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำ ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช้ผู้อื่นให้เบียดเบียน ทำเขาให้เศร้าโศกเอง
ใช้ผู้อื่นทำเขาให้เศร้าโศก ทำเขาให้ลำบากเอง ใช้ผู้อื่นทำเขาให้ลำบาก ดิ้นรนเอง ทำเขาให้
ดิ้นรน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ตัดที่ต่อ ปล้นไม่ให้เหลือ ทำโจรกรรมในเรือนหลังเดียว ซุ่มอยู่ที่
ทางเปลี่ยว ทำชู้ภริยาเขา พูดเท็จ ผู้ทำไม่ชื่อว่าทำบาป แม้หาผู้ใดจะใช้จักรซึ่งมีคมโดยรอบ
เหมือนมีดโกน สังหารเหล่าสัตว์ในปัฐพีนี้ ให้เป็นลาน เป็นกองมังสะอันเดียวกัน บาปที่มี
การทำเช่นนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลจะไปยังฝั่งขวาแห่ง
แม่น้ำคงคา ฆ่าเอง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช้ผู้อื่นให้เบียดเบียน
บาปที่มีการทำเช่นนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบาปมาถึงเขา
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=9&A=1072&Z=1919
ท่านชาวพุทธ จะอธิบายเรื่องนี้ ว่าอย่างไรหละครับ ?