บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง—17/49 เมดเล่ย์เรื่องราวชวนยิ้ม

กระทู้สนทนา
ก่อนจะไปสูดกลิ่นน้ำขี้สีกที่คลองผดุงกรุงเกษม ขออนุญาตแกร่วเกร่แถว ๆ สี่พระยาต่ออีกนิดนึงนะตัวเอง แบบว่าลืมเล่าเรื่องที่อยากจะเล่าน่ะ บ้านผีสิง หลังโรงเรียนกรุงเทพวิทยาในถนนสันติภาพ มีบ้านไม้เก่าร้างไร้อยู่หลังนึง ฟีลประมาณหนังผีทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ บวกกับมัข่าวลือแว่วมาจากไหนก็ไม่รู้ว่า เฮี้ยน เด็กแมน ๆ อย่างพวกเราก็ต้องมีท้าพิสูจน์ความหยองกันนิดหน่อยเป็ธรรมดา

ว่าแล้วหลังเลิกเรียนวันนึง เรากับเพื่อนแมน ๆ หกเจ็ดคนก็นัดทดสอบความถึงของใจกัน พวกเราเปิดประตูไม้โทรม ๆ เดินเข้าไปสำรวจพื้นที่ชั้นล่างที่มีแต่แสงรำไร ๆ เพราะใกล้จะค่ำ ไฟฟ้าไม่ต้องพูดถึง เพราะที่นี่รกร้างมานานหลายปีแล้ว พอขนชัน ๆ ได้ที่ มิตรผู้กล้าบางคนก็ค่อย ๆ กระดืบเท้าย่องขึ้นบันได้ไม้ขึ้นไปที่ชั้นสอง เสียงบันไดลั่นเอี๊ยดอ๊าด ๆ แบบหนังผีไทยเทศช่วยเติมบรรยากาสชวนหวิวและเพิ่มอดรีนาลีนในร่างขึ้นมาอีกสามสิบไมก้าได้

มิตรผู้กล้าตามหลังค่อย ๆ กระดืบเท้าตามฮีโร่มัยซินขึ้นไปทีละหน่อทีละหน่วย มีหรือที่ชายชาติชาตรีเสรีชนอย่างเราจะกล้ายืนอยู่ข้างล่างอย่างเดียวดาย เราจึงค่อย ๆ ขยับเท้าตามขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย พอไปถึงช่วงกลางของบันไดที่มีราว ๆ ยี่สิบขั้น มิตรผู้กล้าก่อนหน้าทุกคนก็แหกปากร้องลั่น พร้อม ๆ กับวิ่งกรูสวนเราลงไป ไอ้เราที่ยังไม่ทันได้ตั้งสติ จึงเกิดอาการสติแตก ไม่รู้จะทำไง พอหันหลังกลับจะวิ่งตามพวกมัน ก็เห็นแต่หลังไวไวออกนอกตัวบ้านกันไปหมดแล้ว
นาทีนั้นรู้เลยว่าขนหัวตั้งเป็นยังไง ขาแข็งก้าวไม่ออกเป็นจังได๋ พอขยับเท้าลงมาได้สามสี่ขั้น อดรีนาลีนก็ล้นทะลักถึงขีดสุด ความที่ใจมันลอยละลิ่วปลิวจากร่างตามพวกมันไปไกลโขแล้ว สมองมันเลยไม่มีเวลาคิด โดดเลยแล้วกัน ร่างของเราจึงดีดตัวจากบันไดขั้นที่หกหรือเจ็ดลงมาที่พื้นข้างล่าง จากนั้นขามันก็รู้หน้าที่ ซอยถี่ ๆ พาเราพ้นออกมาจากตัวบ้าน ชนิดลืมหายใจหายคอทีเดียว พอวิ่งมาถึงหน้าปากซอย ถึงได้เห็นว่าไอ้เพื่อนตัวดีมันจับกลุ่มหัวเราะขำเราจนตัวโยนไปโยนมา เรียกว่าท้องคัดท้องแข็งไปตาม ๆ กันนั่นแหละ แล้วพวกมันจึงเฉลยให้ฟังว่า ที่จริง ไม่มีอะไรเลย พวกมันแค่รวมหัวกันแกล้งแหกปากร้อง แล้วก็วิ่งสวนลงมาเพื่อจะดูว่าเราจะจับไข้หัวโกร๋นหรือเปล่าเท่านั้นเอง น่าร้าาาาาากกกกกกกจริง ๆ นะพวกยิ้ม

เอาอีกซักเรื่องก็แล้วกัน เนื่องด้วยเตี่ยไม่อยากให้เราลืมเลือนภาษาจีนที่อุตส่าห์เรียนได้ดีที่ โรงเรียนเก่ามาตลอดห้าปี เลยบีบคั้นข่มขืนใจส่งเราไปเรียนพิเศษภาคกลางคืนที่โรงเรียนจีนแถวบ้าน เด็กในวัยอยากเล่นอยากหนุกหนานสำราญใจอย่างเราเลยต้องแบกหนังสือแบกภาระในใจ ไปเรียนภาษาบ้านเตี่ยทุก ๆ วันตั้งแต่หกโมงครึ่งถึงสองทุ่ม แรก ๆ เราก็พอทำใจกล้อม ๆ แกล้ม ๆ ได้อยู่หรอก หลัง ๆ ชักยากขึ้น การบ้านมากขึ้น บวกกับต้นทุนความเซ็งเดิมที่พอกพูนขึ้นทุกที หลัง ๆ เราเลยใช้วิธีประท้วงด้วยการนั่งหลับมันในชั้นนั่นซะเลย เรียกว่าพอเข้าห้องปุ๊บก็หลับปั๊บ พอสองทุ่มเซียนซือก็จะมาปลุกบอว่า " อาตี๋ ๆ ลื้อกลับไปนองบ้างล่ายเลี้ยว น้ำลงน้ำลายลื้อจาท่วมห้องอยู่เลี้ยวอะ"

มีอยู่ช่วงนึง ศาลเจ้าทางที่เราต้องผ่านไปโรงเรียนที่ว่าเนี่ยเค้าเอาหนังกลางแปลงมาฉายแปดวันรวด เราเลยเปรมปรีดิ์เป็นที่ยิ่ง ตกเย็นก็ทำทีแบกหนังสือออกจากบ้าน แล้วก็ไปนั่งดูตี้หลุงกับเดวิดเจียงห้ำหั่นกันบนเขาเหลียงซาน บางวันก็ดูหวังหยู่เอาแขนข้างนึงซ่อนไว้ในเสื้อแล้วก็มาหลอกคนดูที่ยินยอมให้หลอกว่า เค้าเป็นเดชไอ้ด้วนจริง ๆ นะตัวเอง

พี่ชายเราที่มันค่อนข้างจะฉลาดลึกล้ำไม่แพ้เรา ( แอบเนียนอีกแว้ววว ) มันก็เอ่ยปากทักเราตอนกลับมาบ้านราว ๆ สองทุ่มครึ่งว่า " ไง วันนี้หนังหนุกมั้ย" เจอเข้าไปแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนั้น เราเลยอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไปไม่เป็นไปเลย หลังจากนั้นไม่นาน เตี่ยเกิดดวงตาเห็นธรรมหรือไงไม่รู้ เลยเลิกเคี่ยวเข็ญให้เราไปเรียนพิเศษภาคค่ำอีกต่อไป และมิช้ามินาน ภาษาจีนที่อุตส่าห์ท่องเรียนได้ดีมาห้าปีก็โบยบินคืนสู่อ้อกอกเซียนซือจนหมด เกลี้ยง เหลือให้เราพอได้เขียนชื่อตัวเองกับคำว่าหว่ออ้ายหนวี่ได้เท่านั้นแหละ จึงเอวังเรียบร้อยโรงเรียนจีนไปด้วยประการฉะนี้ เอิงเงยยยยยย

เอ้า เห็นมือใครไหว ๆ บอกว่า " เอาอีก ๆ " งั้นพี่เบิร์ด เอ๊ยพี่ต๋องก็ขอเมดเล่ย์รวมมิตรเลยแล้วกันนะ


เรื่องแรก " ศาลเจ้ากับงิ้วงุนงง" ที่นี่จะมีงิ้วมาเล่นบ่อย ๆ ตามเทศกาลสารทจีนบ้างไหว้พระจันทร์บ้างตรุษจีนบ้าง ดู ๆ งิ้วไป เราก็เกิดไอเดียบรรเจิดขึ้น จึงชวนก๊วนแก๊งแถวบ้านไปปีนต้นไม้ใหญ่ ๆ ข้าง ๆ ศาลเจ้า พร้อมด้วยหนังสติ๊กในมือ พอได้จังหวะ ขณะที่งิ้วร่ายรำว้ากเพ่ยไปตามท้องเรื่องก็ พลัวะ เม็ดถั่วเขียวซัดเข้าที่ซอกคอ อีกตัว ตวัดพลองฉวัดเฉวียนไปมา อยู่ดี ๆ ก็ พลัวะเข้าที่แขน ถึงจะไม่เอาถึงตายหรือเจ็บ แต่ก็เล่นเอาจังหวะร่ายรำลีลาไม่พลิ้วไหวเหมือนเดิมนั่นแหละ
ส่วนที่ยากที่สุดคือการต้องพยายามกลั้นหัวเราะจากที่ซ่อนบนต้นไม้นั่นเอง ไม่งั้นมีหวังคณะงิ้วได้ยกพลมาร่ายงิ้วรอบ ๆ ต้นไม้แหงมเลย บางทีพวกเราก็จะแอบไปอยู่ใต้พื้นเวทีงิ้วที่ปูด้วยไม้กระดาน แล้วเอาไม้เสียบลูกชิ้นคอยหาจังหวะทิ่มแทงเท้าของตัวงิ้วอยู่เป็นระยะ ๆ พอได้ฟีลขำ ๆ ให้เลือดสูบฉีดแรง ๆ สักสองสามปื้ด พวกเราก็จะรีบ " เจ๋าโหล่ว" เผ่นแนบสลายโต๋จากไปในบัดดล ก็จะอยู่ให้โดนพลองหวดไปทำไมล่ะคร้าาาบ พี่คร้าาาาาบบบ

เรื่องต่อมา " ขนมศาลเจ้าเข้าเป้าจัง" เวลามีงานเทกระจาดหรือไงนี่แหละ ที่ศาลเจ้าจะแจกขนมแล้วก็โปรยเงินให้ทานคนที่มาร่วมงานด้วย แบบนี้มีหรือก๊วนแก๊งเราจะพลาด ว่าแล้วก็รีบไปจับจองพื้นที่หน้าเวทีแต่หัววันทีเดียวเชียว แล้วก็ได้เห็นเลยว่าเมืองไทยเราเนี่ย การคอรัปชั่นฉ้อฉลเล่นพรรคถือพวกระบาดระบายไปทั่วทุกหม่องที่จริง ๆ ไม่เว้นกระทั่งในศาลเจ้า เพราะมันจะมีพวกที่รู้กันกับคนแจกทาน พวกนี้มันจะเอาเข่งใหญ่ ๆ ไปรออยู่ที่หน้าเวที ไอ้คนแจกทาน แทนที่มันจะหว่านโยนไปทั่ว ๆ มันก็เล่นหว่านเทลงไปในเข่งในตะกร้าของก๊วนแก๊งมันซะนี่ เหลือให้ประชาชนตาดำ ๆ รวมทั้งก๊วนเด็ก อย่างพวกราแค่พอกระเซ็นกระสายเท่านั้นแหละ
ที่แน่ ๆ มีอยู่จังหวะนึง ถึงคราวร้ายผสมดี ขนมข้าวอัดแน่นตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมปลายแหลมที่มีแถบสีชมพูคาดก้อนนึงก็บรรจงลอยคว้างตีลังกาซอมเมอร์ซอลต์สามรอบครึ่งแล้วก็เจาะปลายแหลมลงมาฉึกกลางกระหม่อมของเราพอดิบพอดี เล่นเอาน้ำตาเล็ดออกมาทันทีทันใด เอามือป้าย ๆ ดู มีเลือดซิบ ๆ ซะด้วยสิ แต่ยังไงก็แล้วแต่ สุดท้ายแล้ว ขนมก้อนนั้นก็เป็นกรรมสิทธิ์ของเรา ฮ่าฮ่าฮ่า คุ้มซะไม่มีอะ

ในซอยบ้านเรา ( สว่าง 5 ) จะเรียกว่าซอยระเบิดเถิดเทิงก็คงจะได้ เพราะมีกิจกรรมหรรษาอยู่ตลอดเวลาทีเดียวเชียว หนึ่งในนั้นคือ วงไพ่ มีทั้งวงผู้ใหญ่และวงเด็ก วงผู้ใหญ่ก็กินเงินกันไป วงเด็กของพวกเราก็กินเงินเหมือนกัน แต่เป็นแบ๊งค์กาโม่ วันนึงเรากับพรรคพวกกำลังขับเคี่ยวเกมไพ่กันอย่างเมามัน ก็มีคนแหกปากร้องว่า " ตำรวจมา" วงก็แตกกระเจิงสิครับท่าน ไม่เว้นกระทั่งวงเด็กอย่างพวกเราด้วย จำได้ว่าเพื่อนผู้หญิงข้างบ้านวิ่งอุ้มแมวหนีเตลิดแบบไม่คิดชีวิตไปเลย ส่วนเราก็สวมตีนชีต้าห์ซอยถี่ยิบไปโผล่อีกซอยนึงตอนไหนก็ไม่รู้ ส่วนเพื่อนอีกคน ไปไหนไม่รอด นั่งฉี่ราดรดกางเกงอยู่ที่เดิมนั่นแหละ ฮ่าฮ่า ( หรือว่าคนนี้จะเป็นเราเองหว่า )

บ้านที่อยู่ตรงข้ามบ้านเราเป็นโรงงานแป้งขนาดใหญ่ ราว ๆ สิบห้องแถวเห็นจะได้ ตกเย็นที่นี่จะแปรสภาพเป็นสนามบอลรวมชนชั้น คือเด็กฐานะธรรมดาอย่างพวกเราจะได้เข้าไปเล่นบอลกับลูกเศรษฐีบ้านนั้น เราเองเล่นบอลไม่เก่ง แต่ชอบดูบอลเยอรมัน ก็เลยจำวิชาเสียบสกัดไปใช้ เรียกว่าใครแหลมมาเข้าทางเราเมื่อไหร่ เป็นได้กลิ้งโค่โล่เค่เล่เมื่อนั้น หนัก ๆ เข้า ไอ้อ้วน หนึ่งในลูกเศรษฐีมันก็ฉุนขาดตะคอกถามเราว่า " เฮ้ย เล่นบอลเป็นรึเปล่าวะ ขัดขาคนอื่นอยู่เรื่อยเลย" เราเลยยืดอกพกความมั่นใจตอบกลับไปว่า " นี่มันบอลสไตล์เยอรมันโว้ยยยย " หลังจากนั้น เราเลยถูกพวกมันกันให้กลับไปนอนดูบอลเยอรมันอยู่ที่บ้าน หมดสิทธิเข้าไปร่วมแจมแข้งอีกเลย หลัง ๆ พวกมันเล่นกันแรงไปหรือไงก็ไม่รู้ เตี่ยของพวกมันที่ชอบขี่แต่เว้สป้าไปไหนมาไหนจึงสั่งยุบสนามบอลทิ้งในที่สุด

ตอนที่เราจะขึ้นป.หนึ่งหรือสองนี่แหละ กลับจากปิดเทอมที่สกล ฯได้ไม่กี่วัน พี่ชายอีกคนของเราก็นัดแนะกับเราว่าจะหนีกลับบ้านกัน ไม่รงไม่เรียนมันแล้ว กลับไปอยู่กับแม่ดีกว่า เราเองที่คิดถึงแม่อยู่แล้วเลยเออออเอิงเงยด้วยในแทบจะทันที วันนึง ขณะที่เตี่ยกำลังนั่งเม้าท์กับเพื่อนเพลิน ๆ อยู่ในบ้าน เรากับพี่ชายก็ค่อย ๆ อาศัยทีเผลอ แอบย่องออกประตูกันไปทีละคน จากนั้นก็เดินไปขึ้นรถเมล์ไปสถานีขนส่งเอกมัยด้วยใจระทึกระคนยินดี สุดท้ายก็แป่วววว เพราะว่าที่เอกมัยไม่มีรถไปสายอีสานซักกะคันเดียว สรุปว่าสำคัญข้อมูลผิดพลาด เลยต้องนั่งรถเคี้ยวแห้วแก้เซ็งตากหน้ากลับไปให้เตี่ยด่าสั่งสอนซะขี้หูเต้นรัมบ้าชะชะช่าเพลินไปเลย

เรื่องนี้เรื่องสุดท้ายแล้วกัน พรุ่งนี้ไม่เถลไถลแล้ว ไปคลองผดุงแน่ ๆ เชียว

พอเข้าหน้าร้อน แถวบ้านเราจะมีการเล่นว่าว แข่งว่าวกัน เรียกว่าว่าวสวย ๆ ขนาดใหญ่เล็กมาประชันความงามความขึ้นสูงความกินลมกันยกใหญ่ทีเดียว อีกอย่างที่ประชันกันคือความคมแกร่งของว่าวและคนชัก การนี้จะมีเทคนิคลึกล้ำเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่อย่างคือการทำเชือกป่านให้เหนียวและคม กระบวนการคือต้มกาวแป้งเปียกให้ข้นเหนียว แล้วเอาเศษแก้วที่ตำละเอียดแล้วลงไปคลุกเคล้าจนถ้วนทั่ว จากนั้นก็เอาป่านว่าวที่ม้วนไว้กับไม้ลงไปเคล้าคลึงจนทั่วทุกอณูเส้นป่าน ผึ่งแห้ง แล้วจึงเอามาผูกติดกับตัวว่าวอีกที ตอนเล่นก็จะชักขึ้นกินลมแล้วก็หาจังหวะชึกดึงว่าวให้เชือกป่านของตัวไปตัดเชือกป่านของคู่อริ แพ้ชนะกันก็อยู่ที่ว่าว่าวใครจะเหินลมต่อหรือร่วงปลิดปลงเป็นนกปีกหักนั่นแหละ

เราเองไม่ได้ไปเล่นตัดว่าวกับใครเค้าหรอก แต่ก็ได้ว่าวชาวบ้านมาเชยชมอยู่เนือง ๆ เพราะเรากับพี่ชายมีเทคนิคกลวิธีที่ล้ำลึกกว่านั้น สอยมันดื้อ ๆ ซะเลย ฮ่าฮ่า เรากับพี่ชายจะขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าที่บ้าน แล้วคอยเอาไม้ไผ่เกี่ยวตวัดว่าวเคราะห์ร้ายที่โฉบผ่านเข้ามาในน่านฟ้าแถวนั้น วิธีที่ว่าเนี่ยก็ทำให้เรากับพี่ชายได้ว่าวสวย ๆ มาหลายตัวเชียวแหละ แต่ก็ได้แค่สะใจเล่น ๆแล้วก็เก็บสะสมไว้ดูเล่นแต่ในบ้านเท่านั้นเอง เพราะว่าขืนเอาไปเล่นแถวบ้านสิ มีหวังเจอโจทย์รุมสหบาทาเป็นว่าวปีกหักชนิดชัวร์ป๊าบนิ่มแหงมเลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่