HEART OF FAIRY บทที่1 สปริงฟิลด์ (นิยายเรื่องแรกฝากติดตามด้วยนะครับ^^)



“กฎข้อที่หนึ่ง การเปิดเผยตัวตนเป็นสิ่งต้องห้าม จงเอาตัวเองเข้าไปปะปนกับพวกเขาและทำให้คนเหล่านั้นเชื่อว่าเจ้าคือ "มนุษย์"
.....
กฎข้อที่สอง ผู้ปกป้องไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงมายิกต่อหน้าผู้ที่อยู่อีกโลก ยกเว้นเมื่อปะทะกับศัตรู
.......
กฎข้องที่สาม ความรักกับมนุษย์เป็นสิ่งต้องห้ามอย่างยิ่งยวด
..........
กฎข้อที่สี่  ไม่ว่าเหตุใด ภารกิจต้องมาก่อน

                                                                                                                     ลงชื่อ
                                                                                                                   อเมทิส
                                                                                                    หัวหน้าผู้คุมกฎของเวอร์เนล

        "กฎสั้นๆ ง่ายๆ มีอยู่แค่สี่ข้อ หวังว่าพวกเจ้าคงจะจำได้ " เสียงของชายผู้มีนัยน์ตาสีเขียวมรกตกล่าวอย่างฮึกเหิมกับภูตทั้งสี่ตนที่ยืนพักปีกอยู่ ใบหน้าเคร่งขรึมและการวางมาดของเขาแสดงถึงความน่ายำเกรง  หัวหน้าผู้คุมกฎของเวอร์เนลที่ตอนนี้ยืนกอดอกอยู่หน้าซุ้มประตูบานใหญ่กำลังมองกราดไปยังภูตทั้งสี่ กรอบโค้งสูงนั้นสร้างขึ้นจากหินแกะสลักรูปร่างเหมือนเถาวัลย์เลื้อยพันกันเป็นเกลียว  มีแผ่นกั้นเปล่งแสงสีฟ้าเรืองรองเป็นระลอกคลื่นกั้นระหว่างอีกฟาก

      ในยามค่ำคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ก้อนเมฆดำทมิฬเช่นนี้ สิ่งที่มองไม่เห็นอาจกลับกลายเป็นสิ่งที่มองเห็น ป่าที่ขึ้นปกคลุมภูเขาที่ทอดแนวยาวสุดลูกหูลูกตามีเพียงทิวไม้สีดำที่กำลังโอนเอนไปมาช้า ๆ ชวนให้ขนลุก เสียงดังซู่เมื่อลมพัดต้องกิ่งไม้นั้นดังจากความเงียบงัน ไม่มีแม้แต่เสียงร้องของจิ้งหรีดเรไรหรือนกฮูกเหมือนกับทุกคืน ราวกับว่าตอนนี้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดอาศัยอยู่ ณ ป่าแห่งนี้อีกแล้ว

       เมื่อมองเข้าไปใจกลางของป่า กลับพบว่ามีลูกไฟดวงหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิด มันมีขนาดเล็กเท่ากำมือและเปล่งประกายสีเหลืองอำพันระยิบระยับโปรยเป็นทาง แสงนั้นพุ่งพรวดลอดกิ่งไม้ แล้วพุ่งขึ้นลงไปมาเป็นฟันปลาอย่างสนุกสนาน ต้นแล้วต้นเล่า ก่อนที่มันจะลอยขึ้นด้านบนของยอดต้นสนต้นหนึ่งที่อยู่บริเวณลานกว้างตรงชายป่าแล้วตรงดิ่งลงมาที่พื้น ดวงไฟหมุนวนเป็นวงกลมราวกับดอกไม้ไฟที่กำลังแกว่งไปมาซ้ำๆ แสงนั้นสว่างมากพอที่จะมองเห็นพุ่มไม้ขนาดเล็กที่อยู่ใกล้ๆ และเมื่อลองมองเข้าไปในดวงไฟสีอำพัน สิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่ทว่ากลับมีปีกเหมือนแมลง กำลังเริงระบำอยู่

       ภูตจิ๋วหมุนอยู่แค่ไม่กี่วินาทีก่อนที่แสงจะค่อยๆริบหรี่ลงและจางหายไป และทันใดนั้นเองกลับมีร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมาแทนอย่างน่าอัศจรรย์ เห็ดสีขาวดอกเล็กๆจำนวนมากที่กำลังผุดพ้นพื้นดินขึ้นมาบานออกเป็นอาณาเขตล้อมรอบตัวเธอ แสงเรืองรองในตัวของหญิงสาวเริ่มส่องสว่างขึ้นเมื่อเธอก้าวพ้นออกมาจากวงเห็ดประหลาดนั้น เช่นเดียวกับกลุ่มเมฆดำทมิฬที่กำลังเคลื่อนตัวออกจากกันในขณะนี้

       ร่างกายของหญิงสาวถูกเคลือบด้วยแสงสีขาวนวลภายใต้ชุดประลาดที่มีโลหะส่องแสงวิบวับเป็นตาขายเหมือนกับเธอเรืองแสงได้ ผมสีแดงเพลิงหยักยาวไปถึงกลางแผ่นหลังของเธอปลิวสยายยามลมพัดผ่าน แต่สิ่งที่หายไปคือปีกบางใสที่ค่อยๆหุบหายไปกลางแผ่นหลัง และใบหูเล็กแหลมของเธอก็เช่นกัน เพราะตอนนี้มันหดเล็กลงจนมีขนาดเท่ามนุษย์ปกติ เธอสะบัดตัวเล็กน้อยเมื่อเก็บปีกเข้าไปหมด
  
        หญิงสาวคลำที่ใบหูและยิ้มอย่างพอใจก่อนที่จะพยายามเอื้อมมือไปแตะที่หลังของตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าปีกของเธอหายไปแล้ว เธอแหงนมองบนท้องฟ้าและหมุนตัวไปรอบๆ ที่นี่ไม่ใช่ที่ๆเธอคุ้นเคยมาก่อน เธอก้าวเดินด้วยเท้าเปล่าน่าทะนุถนอมของเธอในความมืดอย่างระมัดระวัง ขณะที่พุ่มไม้เตี้ยๆที่หลับไหลอยู่ตลอดสองข้างทางต่างชูกิ่งก้านขึ้นมาให้การต้อนรับเธอ ดอกไม้ที่หุบอยู่ก็กลับบานออกอย่างน่าประหลาดใจเพียงแค่เธอแค่ผายมือสัมผัสพวกมัน เธอหลับตาลงและเริ่มฮัมเพลงขึ้นในลำคอ เสียงอันหวานหยดดังก้องไปทั่วทุ่งหญ้า

ฮืม ฮืม ลาลา ฮืม....

       และทันใดนั้นเองก็มีสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้น ดวงไฟสีน้ำเงินดวงเล็กๆหลายร้อยดวงผุดขึ้นมาจากกอหญ้าและต้นไม้ที่ถูกความมืดกลืนกินอยู่ ราวกับกลุ่มดาวที่ร่วงหล่นมาจากฟากฟ้า แสงสีน้ำเงินเปลี่ยนรูปร่างเป็นผีเสื้อและค่อยๆบินเข้ามาล้อมรอบตัวเธอ เธอยิ้มให้พวกนั้นอย่างภูมิใจ
“เอ่อ ขอโทษนะจ๊ะ ข้าควรไปทางไหนดี “เธอถาม
        ก่อนที่วิญญาณธรรมชาติจะบินนำหน้าเธอไป เธอจ้องพวกนั้นไม่ละสายตาพลางหมุนตัวไปรอบ หญิงสาวเร่งฝีเท้าเดินไปด้วยสีหน้าราวกับว่ามีเรื่องตื่นเต้นรออยู่ จนในที่สุดเธอก็ออกมาถึงถนนเส้นหนึ่งซึ่งบรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้มืดสลัวน่าขนลุก เธอบอกให้พวกนั้นกลับไป และเริ่มสำรวจเส้นทาง

“อากาศที่นี่หนาวเสียจริง”

เธอพึมพำกับตัวเองที่ตอนนี้กำลังเดินคลำทางมาตามถนนเส้นเล็กๆ ที่ด้านข้างมีแต่ต้นไม้หนาทึบ จนมีบางสิ่งที่ดึงความสนใจของเธอ

“สปริงฟิลด์ 2 กิโลเมตร ยินดีต้อนรับ”

       ป้ายบอกทางข้างถนนทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ได้หลงอยู่ในดินแดนไม่มีทีใดหรือเขตป่าอันตรธาน เพราะคำว่ายินดีต้อนรับ เธอตัดสินใจที่จะเดินต่อไป ตามถนนที่โดดเดี่ยวเส้นนี้ ที่นี่เธอต้องทำตัวเหมือนพวกเขา ไม่มีเวทมนตร์และไม่มีการแสดงตัว
“เอาล่ะ ข้าคือมนุษย์” เธอยิ้มมุมปาก

        หญิงสาวกวาดสายตามองดูรอบๆตัวเธอ ซึ่งมีแสงจากโคมไฟอันเล็กๆตามถนนส่องสว่างให้เห็นอาคารบ้านเรือนในยามวิกาลเช่นนี้
“บ้านคนหรือนี่” เธอพูดกับตัวเอง พลางมองไปรอบๆและชื่นชมมันราวกับไม่เคยเห็นสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้มาก่อน บ้านแต่ละหลังไม่ใหญ่มากตามแบบชานเมือง มีบ้านแบบสมัยใหม่อยู่บ้าง และมีโบสถ์เก่าแก่ตั้งอยู่ ทั้งประตูไม้กับกรอบหน้าต่างโค้งสูงซึ่งเธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ชอบมันเอาเสียเลย และแน่นอนว่าในเมืองเล็กๆ แถบชนบทเช่นนี้ ย่อมไม่มีใครออกมาเดินเต็ดเตร่ในยามวิกาล เธอมองแสงสีส้มเล็ดลอดออกมาจากหน้าต่างของบ้านบางหลัง

       เธอเดินสำรวจตามถนน ถังขยะ หรือแม้แต่ท่อน้ำทิ้ง เดินมาเรื่อยๆจนถึงบ้านสองสามหลังที่อยู่ไกลออกมา แล้วเธอก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง หลังที่เธอได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่สุด หรือบางทีเธออาจจะแค่ตามกลิ่นนี้มา “บ้านหลังนี้มีอะไรพิเศษ”เธอพูดพลางด้อมๆมองๆข้ามรั้วไม้สีขาวหน้าบ้าน จนพบว่าตัวเองเดินเข้าไปใกล้เสาไฟเตี้ยๆที่มีหลอดไฟทรงกลม ติดๆดับๆอยู่บนนั้น เธอเคาะมันเบาๆ ก่อนที่จะเกิดประกายไฟขึ้น

เพล้ง!

“เฮ้ เธอ!” เสียงชายหนุ่มตะโกนดังมาจากด้านหลังทำเอาเธอสะดุ้งโหยง
“นี่เธอกำลังทำอะไร “

      สายตาหาเรื่อง และ คิ้วที่ขมวดอยู่ของชายหนุ่มจ้องมองเธอราวกับเธอกลายเป็นผู้ต้องสงสัย แต่หญิงสาวที่หันหลังอยู่ กลับไม่หันมาหาเขา
เธอทำท่ากระอักกระอ่วนที่จะตอบ ก่อนที่จะค่อยๆเค้นเสียงออกจากลำคอ
“ข้าเปล่า ข้าแค่จะซ่อมมัน”
...
. ชายหนุ่มเขม้นมองไปยังหญิงสาวที่สวมชุดแนบเนื้อสีเขียวประหลาด เหมือนทั้งชุดถูกออกแบบมาจากใบไม้ มีโลหะสีเขียวอ่อนสานเป็นร่างแหส่องแสงวิบวับเมื่อต้องกับไฟ มันดูล้ำสมัยและโบราณในเวลาเดียวกัน

“นั่นเธอใส่ชุดบ้าอะไร”

“ข้าจำเป็นต้องตอบเรื่องชุดด้วยหรือ”

เขานิ่งไปชั่วครู่เมื่อได้ยินประโยคนั้นจากปากเธอ ประโยคที่ชวนให้เขามีอารมณ์ชวนทะเลาะขึ้นมาอีกหน่อย

“เธอมันน่าสงสัย มายืนด้อมๆมองๆอยู่หน้าบ้านคนอื่น แถมทำหลอดไฟตรงรั้วแตก”

“ คำขอโทษจะทำให้เจ้าอารมณ์เย็นลงหรือไม่”

“แน่นอน” เขาเค้นเสียงใส่เธออย่างไม่ลดละ

“งั้นข้าขอโทษ เจ้ามนุษย์” เธอกล่าวทั้งที่ยังหันหลังให้เขาอยู่

“ง่ายดีนิ” เขาพึมพำด้วยสีหน้าเหมือนไม่พอใจ

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้อ้าปากพูดอีกคำ เขาก็ต้องตกตลึงเมื่ออยู่ๆ ผมสีแดงเพลิงของเธอกลับค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงชาดไล่จากโคนมาสู่ปลายอย่างช้าๆ

“พระเจ้า” คำอุทานหลุดออกมาจากปากอย่างไม่ตั้งใจ
“ผะ..ผะ ผมเธอมันเปลี่ยนสีได้”

เธอหันขวับมามองเขาด้วยนัยตาสีฟ้าน้ำทะเลที่เกรี้ยวกราด

       สายตานั้นเหมือนเธอกำลังสะกดให้ชายที่อยู่ตรงหน้าติดอยู่ในภวังค์ เธอมองดูชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันกับเธอ เขามีผมสั้นสีบลอนด์ และนัยตาสีฟ้าอ่อน แต่ตอนนี้มันถูกทำให้กลายเป็นตาสีฟ้าที่ไม่มีประกาย ชายหนุ่มยืนเหม่อลอยและตัวแข็งทื่อ ราวกับโดนสาปภายใต้เสื้อแจ็คเก็ตหนังสีน้ำตาลของเขา เธอเดินเข้าไปหาเขาที่อยู่ห่างไปไม่แค่กี่ก้าว ผมสีแดงชาดที่เปลี่ยนมาจนถึงปลายตัดกับสีตาของเธออย่างเห็นได้ชัด เธอโน้มตัวไปด้านหน้าจนริมฝีปากบางๆเกือบแตะกับใบหูที่แดงจากความเย็นและกระซิบด้วยเสียงอันแผ่วเบา

“ ลืมมันซะเถอะ”

      สิ้นสุดเสียงกระซิบที่แสนจะเย็นชา ชายหนุ่มทรุดตัวลงกับพื้น เขาฟุบลงไปบนกองใบไม้แห้งที่หล่นเกลื่อนกลาดจากต้นไม้ที่เขายืนพิงอยู่ ใบไม้สีน้ำตาลถมกันหนาพอจะเป็นเบาะนุ่มๆให้เขา

       บ้านหลังนี้มีกลิ่นอายของบางอย่าง กลิ่นที่เธอรู้สึกพิเศษ บ้านสองชั้นหลังเล็กๆ สีเหลืองเก่าปนคราบน้ำฝนหลังนี้ มีเพียงถนนเล็กๆตัดผ่านหน้าบ้านทอดยาวไปทางภูเขา มีบ้านอีกสองสามหลังอยู่ไม่ห่างกันมากนัก แต่มันกลับดูอบอุ่นอย่างน่าประหลาดสำหรับเธอ เธอจ้องบ้านหลังนั้นอยู่สักพัก แล้วหันมามองชายหนุ่มที่นอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้น ก่อนที่เธอจะพบว่ามีชายอีกคนกำลังเดินมาตามถนนสายเล็กๆนั้น เขาสวมเสื้อแขนยาวที่มีฮู้ดปิดหน้าทำให้เธอมองไม่ชัด ณ ตอนนั้นเธอคิดว่าเธอมีทางเลือก ระหว่างซ่อนตัวหรือวิ่งออกไปเพื่อให้เขาเห็น และแน่นอนเธอตัดสินใจที่จะหลบเข้าไปด้านข้างของรั้วบ้านที่มีต้นไม้ขึ้นหนาเหมือนป่าพอที่จะปิดตัวเธอได้
ชายหนุ่มวิ่งมาเหยาะๆและเมื่อเขาเห็นว่ามีคนนอนอยู่ที่พื้น เขาจึงรีบบึ่งเข้ามาทันที

“เฮ้ นิค นายเป็นอะไร”

     เธอได้ยินเขาเรียกชื่อชายแปลกหน้าที่ไม่ได้สติอยู่ว่า “นิค” ชายหนุ่มอีกคนพยายามประคองนิคขึ้นมา เขาย่อตัวและเอามือข้างหนึ่งของนิคมาโอบรอบคอ ก่อนที่จะพยายามลากตัวเขาไปที่ประตูบ้าน เขาถีบประตูรั้วไม้สีขาวออกพร้อมกับแบกนิคอย่างทุกลักทุเล
“หนักชะมัด”

         เธอแอบมองพวกเขาสักพักก่อนที่พวกนั้นจะเข้าไปในบ้าน และนั่นทำให้เธอรู้ว่าเป็นบ้านของเขา หรืออาจจะเป็นของเขาทั้งสองคน แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร เธอตัดสินใจเดินออกมาจากตรงที่ซ่อน ไฟตรงรั้วส่องให้เห็นว่าตอนนี้สีผมของเธอนั้นกลับเป็นสีแดงเพลิงเหมือนเก่า เธอมองเข้าไปในบ้านแค่ครู่ ก่อนที่จะเดินลัดเลาะไปตามถนนอีกครั้ง

       ชายหนุ่มลากนิคมานอนที่โซฟากำมะหยี่สีเลือดหมูตรงหน้าเตาผิง พร้อมกับพยายามปลุกเขา แต่นั่นก็ไม่เป็นผล และทันใดนั้นก็มีเสียงตึงตังดังมาจากด้านบนบ้าน ขาสองข้างของหญิงวัยกลางคนในชุดนอนกำลังก้าวเหยียบขั้นบันไดอย่างเร่งรีบ
“ นั่นนิคนี่” เธอพูดด้วยน้ำเสียงตกใจเมื่อเห็นสภาพนิคนอนหมดสติอยู่บนโซฟาหน้าเตาผิง
“นิคเป็นลมหน้าบ้านเรา ผมขอโทรเรียกรถพยาบาลก่อนนะ ”
ชายหนุ่มพูดพลางเอามือสีขาวซีดดึงฮู้ดออก เผยให้เห็นผมสั้นหยักศกสีน้ำตาลเข้ม จมูกและปากเขาดูได้สัดส่วนพอดี แถมสีของนัยย์ตาเขายังเป็นสีน้ำตาลเดียวกับเธอไม่มีผิด

“เดี๋ยวนะ” เธอทำท่าที ราวกับรู้ถึงอะไรบางอย่าง

หญิงวัยกลางคน ในสภาพหัวฟูเล็กน้อยดึงผ้าปิดใหล่ขึ้น เธอเดินไปยังโซฟาตัวที่นิคหมดสติอยู่ แล้วหยิบบางอย่างจากเสื้อแจ็คเก็ตตรงไหล่ของนิคขึ้นมาดู มันคือเส้นผมสีแดงเส้นหนึ่ง

“เธออยู่ไหน เคลวิน ?” เธอถามพร้อมกับหันมามองเขาด้วยสายตาที่ดูตื่นตระหนก

“แม่หมายถึงใคร?”

“ อ๋อ... เปล่าจ่ะ แม่หมายถึงลูกโทรเรียกรถพยาบาลรึยัง”

ท่าทีของเธอเปลี่ยนไปเมื่อรู้ว่าลูกชายไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หน้าที่ดูแตกตื่นของเธอกลายเป็นสีหน้าของคนกำลังแก้ตัว ชายหนุ่มยืนมองแม่ของเขาด้วยความสงสัยเพียงครู่ ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงแล้วโทรเรียกรถพยาบาล

      เธอถอนหายใจเมื่อมองดูผมสีแดงเส้นนั้น เธอรู้ที่มาของมัน ไม่ปกติ และ จะไม่มีอะไรปกติอีกตั้งแต่เกิดเหตุฆาตรกรรม ครอบครัวแมนเดอร์สัน ซึ่งหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวคือ เพื่อนที่เธอรู้จักดี “ริชาร์ด” ข่าวนี้ทำให้เธอหดหู่และระแวงอยู่ทุกวี่วัน เพราะสาเหตุนั้นมีแค่เธอและคนอื่นอีกไม่กี่คนที่ล่วงรูุ้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่