สวัสดีครับชาวพันทิปทุกท่าน ผมเคยคิดจะมาเล่าเรื่องนี้ให้ทุกท่านอ่านตั้งนานแล้ว แต่มันจะดูเหมือนผมอวดหรือผมโม้แต่งเรื่องขึ้นเองเกินไป จนช่วงที่ผ่านมานี้ กระแสกระทู้ของ "วัยเบญจเพส" เป็นที่นิยมอย่างมากผมเลยอยากลองเขียนสิ่งที่ผมต้องเจออยู่ทุกๆคืนให้ทุกท่านได้ลองอ่านกันดูเพื่อจะชอบใจ เพื่อไม่ให้เสียเวลาต่อการอ่านของทุกท่านขอเริ่มเลยแล้วกัน........
..........ผมขอเล่าสิ่งที่กลัวและหลอกหลอนในหัวผมจนถึงทุกวันนี้ก่อนเลยนะครับ..........ตอนนั้นผมอยู่อนุบาล 2 ผมเล่นซ้อนหากับเพื่อนหลังเลิกเรียน เล่นกันจนพระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว ตอนนั้นผมเล่นเป็นคนซ่อน ผมเลยซ่อนตรงหลังต้นไม้ต้นนึ่ง ไม่รู้ว่าต้นอะไรเหมือนกันจำไม่ได้แล้ว แต่กิ่งใหญ่และลำต้นใหญ่มาก ผมแอบเพื่อนอยู่หลังต้นไม้ จนมีผู้หญิงคนนึ่งถือเก้าอี้และเชือกเดินเข้ามาหาผม ผมก็งงว่าใครกันนะ แต่ผู้หญิงคนนี้สวยมากครับ ผมจำได้ไม่ลืมเลือนเลย เขาค่อยๆเดินเข้ามา วางเก้าอี้ลง....แล้วยืนบนเก้าอี้.....จากนั้นก็เหวี่ยงเชือกแล้วผูกเชือกเป็นห่วง ผมยังคงอึ่งอยู่ ได้แต่ดูไปเรื่อยๆไม่รู้จะทำอะไรต่อ จากนั้นเธอคนนั้นค่อยๆสวมห่วงเชือกไปที่คอ จากนั้น ทั้งสองมือของเขาก็ปล่อยแนบอยู่ข้างลำตัว และใช้ขาข้างนึ่งถีบเก้าอี้ที่เขายืนอยู่ให้ล้มลง ผมยังคงนั่งดูอยู่ด้วยความมึนงง ผมเห็นร่างกายหญิงสาวคนนี้ที่มีเชือกลัดคออยู่ ไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย .......สักพักนึ่ง....ร่างกายเขากระตุกและสั่นเหมือนเจ้าเค้าพยามดิ้นทุรณทุราย ใบหน้าเขาจากที่ขาวกับม่วงเขียวและขาวซีดปนกันอยู่ อาปากพะงาบๆ อยู่สักพักนึ่ง แล้วนิ่งไป ผมก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความหวาดกลัวไม่กล้าที่จะลุกขึ้นหนีไป จนกระทั้ง ..... หญิงสาวคนนั้นหล่นลงมาจากต้นไม้หล่นลงมาที่ข้างหน้าผม ......แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นยืน หยิบเชือกที่รัดคออยู่ออกจากคอและหยิบเก้าอี้ที่ล้มลง และเดินจากผมไป ผมรู้สึกกลัวมากกำลังจะลุกไปจากต้นไม้ต้นนี้แล้วรีบวิ่งหนีไป แต่ไม่ทันได้ลุก ......ผู้หญิงคนนั้นก็กลับมาอีกครั้ง และทำแบบเดิมอีก ทำซ้ำๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไวมากจนผมไม้รู้จะทำอะไรต่อแล้วได้แต่นั่งร้องให้ใต้ต้นไม้นั้น จนครั้งนึ่ง หลังจากที่เธอดิ้นทุรณทุราย เธอลืมตาขึ้นมา ดวงตาของเธอแดงมากเห็นเส้นเลือดสีแดงเป็นเส้นๆ แล้วบอกกับผมว่า "มัวแต่มองอยู่ได้หาทางช่วยพี่หน่อยสิ" สิ้นเสียงคำนี้ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆวิ่งร้องให้กลับบ้านแล้วไม่กล้าออกไปเล่นข้างนอกอีกเลย จนตอนนี้ ผมยังคงจำใบหน้าหญิงสาวที่ผูกคอตายต่อหน้าผมไม่ลืมเลือนเลย
........... หลายคนบอกว่า ผมเห็นผีแล้วแบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวโดนหลอกแล้วสิ ผมบอกเขาไปว่ากลัวสิแต่การหลอกของผีจะหนักกว่าคนธรรมดา ตรงที่ว่า "หลอกให้ไปตายเลย" คุณลองคิดดูสิครับว่าล่ะหว่างคนหลอกกับผีหลอกอะไรน่ากลัวกว่ากัน??? บางคนคิดว่าคนสิหน้ากลัวกว่า บางคนคิดว่าฉันว่าผีนะเพราะทำอะไรมันไม่ได้ แต่อย่าลืมนะครับก่อนที่พวกเขาจะเป็นผีก็เคยเป็นคนมาก่อน เรื่องที่คนที่โดนแบบมาแต่เสียงมาแต่กลิ่น บ้างเห็นน่าเน่าเละ หรืออะไรที่ผีทำแล้วหลอน ผมบอกเลยว่านั้นแค่เด็กๆมากๆ เขาแค่ต้องการบุญกุศลจากคุณ หรือหลอกคุณไม่ให้เข้าไปยุ่งกับเขาหรือสิ่งที่เขาหวงอยู่ แต่ถ้าผมโดนหลอกทีนี้คือเอาถึงตายเลยครับ คุณเคยได้ยินเรื่องตัวตายตัวแทนอะไรทำนองนี้ไหม ผมก็เคยโดนมาเหมือนกัน ตอนนั้นก็ยังคงเด็กอยู่ (ช่วงวัยเด็กผมยังแยกไม่ออกระหว่างคนกับผีครับ มาแยกออกได้จริงๆก็ตอน ป.5 เลย) ตอนนั้นผมไปเที่ยวกับแม่ที่ ที่ นึ่ง จำไม่ได้เหมือนกันว่าที่ไหน รู้สึกจะมีต้นไม้ภูเขาธรรมชาติมากมาย เราเที่ยวกันจนเย็นเลยครับ ผมก็ยังคงสนุกกับการเที่ยวชมธรรมชาติอยู่ ตอนนั้นผมเดินชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ เจอลุงคนนึ่งนั่งอยู่ ผมก็มองด้วยความสงสัยว่าลุงแกเป็นอะไรทำไมมานั่งคนเดียว สักพักนึ่งลุงแกกวักมือเรียกผม ผมก็ไปหาแก แต่แล้ว....... เสียงแม่ผมเรียก ผมจึงหันไปดูปรากฏว่าผมเดินเพลินจนห่างจากแม่มาไกลมาก แต่ผมไม่ได้หลงนะ เพราะมันเป็นพื้นที่โล่งกว่างและผมเดินตรงมาอย่างเดียว แล้วผมหันกลับไปดูอีกทีลุงคนนั้นยังคงกวักมือเรียกผมอยู่ แต่ผมไม่ได้ไปหาลุงแก ผมรีบกลีบไปหาแม่ แม่ถามว่าผมถามว่าไปไหนมา ผมบอกว่า "ผมเดินไปเรื่อยๆ แล้วเจอลุงคนนึ่งเขากวักมือเรียกผมด้วย ผมกำลังจะไปหาลุงแต่แม่เรียกผมพอดี ผมเลยรีบวิ่งมาหาแม่เพราะแม่บอกว่าไม่ให้ผมไปยุ่งกับคนแปลกหน้า" พ่อกับแม่ผมอึ่งมากและปลอบผมว่า ผมเป็นเด็กดีแล้ว และหลังจากนั้นก็ขึ้นรถกลับบ้านไป จนผมมารู้ความจริงเมื่อตอนที่แยกผีกับคนออกแล้วว่า เราไปเที่ยวกันแล้วเรากลับกันเป็นครอบครัวสุดท้ายเพราะมัวแต่ตามหาผมอยู่ และลุงคนนั้นไม่น่าจะใช่คนเพราะว่า บริเวณนั้นเป็นเหวที่ตกลงไปมีแต่ตายอย่างเดียว ไม่มีคนปกติคนไหนไปนั่งตรงนั้นแน่ๆ แม่ผมบอกว่า เหวตรงนั้นมีคนตายมาหลายคนแล้วเพราะเดินกันไม่ระวังและตกเหวนั้นไปมันมีป้ายเตือนเรื่องเหวนะ แม่ผมบอกแล้วถามว่าผมไม่ให้เห็นป้ายเตือนและที่กั้นบ้างหรอ ผมบอกแม่ว่าไม่เหนอะไรเลยนอกจากลุงคนนั้นที่กวักมือเรียกผมอยู่ แม่บอกว่าผมโชคดีแล้วที่ได้ยินเสียงแม่ไม่งันได้ตกไปตายแน่ๆ
.
.
.
.
ขอจบเพียงเท่านี้ก่อนแล้วจะมาต่อ ตอนที่ว่างๆ . แต่ตอนนี้ง่วง
.
.
.
.
ก่อนจะจากกัน ผมขอบอกว่าผมเป็นคนมีเหตุผลและไม่เคยเชื่อเรื่องคุณไสย ทรงเจ้า สักยัน ดวง เลย ผมเลยพยามหาเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงเห็นผี ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวด้วยเพื่ออธิบายว่าทำไมผมถึงเห็นและคนปกติไม่เห็น นี้เป็นทฤษฏีของผมเอง ผมไม่ได้เรียนสายวิทย์อาจไม่แม่นมากแต่จะอธิบายที่ตัวเองเข้าใจให้ทุกท่านอ่าน
ผมขออธิบายก่อนว่า "ทำไมตอนกลางวันไม่เห็นผีเห็นแค่ตอนเย็นๆกับกลางคืนแค่เพราะอะไร" จากที่ผมเคยศึกษาหลักวิทยาศาสตร์มาทำให้ผมเข้าใจว่า "พลังงานของพระอาทิตย์มามากกว่าสายตาคนทีเห็นผีจึงรับสิ่งที่มีพลังงานมากกว่า นั้นแปลว่าพลังงานวิญญาณมีพลังงานน้อยกว่าพระอาทิตย์ครับ ผีไม่ได้กลัวแสงแดดแต่อย่างใด และผีก็อยู่ตลอดทุกช่วงเวลาไม่ใช่แค่ตอนกลางคืน อย่างนี้แล้วแปลว่าว่าถ้าเราอยู่ตรงหลอดไฟอะไรพวกนี้ตอนกลางคืนก็ไม่เห็นผีแล้วสิเพราะมันสว่างไม่ต่างจากแสงพระอาทิตย์เท่าไหร ผมบอกว่าไม่ใช่เลย พลังงานจากหลอดไฟทุกอย่างน้อยกว่าพลังงานวิญญาณมาก ต่อให้คุณเปิดไฟทั้งบ้านตอนกลางคืน ก็ยังเจอผีอยู่ดีครับ แล้วบางท่านทีเคยเจอผีกลางวันแสกๆล่ะ??? อันนี้ผมก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม เพราะพลังงานวิญญาณเป็นพลังงานโปร่งแสง แสงทะลุผ่านได้ อาจจะเปรียบได้กับกระจกที่ใสมากๆ จนมองทะลุไปอีกฝั่ง จนต้องเดินชนกระจกเพราะไม่คิดว่ามีกระจกตรงนี้ แต่ถ้าลองหามุมมองดีๆเราจะเห็นเงาสะท้อนได้เหมือนกันแม้ว่ามันจะใสยังไงก็ตาม ผมคิดว่า วิญญาณก็เป็นลักษณะนี้เช่นกัน ไม่ใช่ที่แบบมีเนื้อหนังเหมือนคน ส่วนที่เห็นตอนกลางคืนมีเนื้อหนังเลยนั้น ผมก็ยังไม่ทราบเสียทีว่าทำไมกัน สิ่งที่คนเห็นผีสามารถทำได้อีกอย่างนึ่งคือ การสื่อสาร เมื่อก่อนผมคิดว่าต้องพูกดเท่านั้น แต่ชาวงที่ผมอยู่ มัธยมเข้าค่ายลูกเสือไรพวกนี้เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟัง ผมสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้โดยไม่ต้องพูด แต่เป็น การสื่อสารกันโดยโทรจิตครับ มันเป็นยังไงสื่อสารกันยังไง??? การคุยกันทางโทรจิตคือการเล่าเรื่องสิ่งที่ตัวเองคิดให้คน คนๆนั้นคิดตามไปกับเราเช่นเรากำลังคิดถึงทะเล คนที่เราโทรจิตด้วยจะคิดถึงทะเลตามเรา ผมสื่อสารกับวิญญาณในรูปแบบนี้ครับทำให้วิญญาณสัญชาติอะไรก็แล้วแต่ ผมคุยได้หมด แต่มันก็มีข้อเสียเช่นกันครับไม่ใช่แค่ความนึกคิดเท่านั้นที่มากับการคุยทางโทรจิต มันมีอารมณ์เข้ามาแทรกด้วยทำให้เรารู้สึกอย่างที่คนโทรจิตกับเรารู้สึกครับ เขาโกรธเราก็โกรธ เขาร้องให้เราก็ร้องตามครับเราจะเรียกคนที่มีความสามารถนี้ว่าคนมีสัมผัสที่ 6 ครับ ดังนั้นจิตการรับรู้ของผมสามารถรับรู้ได้ดีกว่าคนอื่นแค่นั้น บวกกับสายตาที่เห็นผีได้ที่ผมจะเรียกสายตานี้ว่า สายตาพิการ เพราะดันเห็นไม่ปกติเหมือนคนอื่นเขา คล้ายๆคน สายตาสั่น เอ้ยง ตาบอดสี แต่อันนี้สายตาเห็นผีแทน แค่นั้นครับ คนมีสัมผัสที่ 6 บางคนไม่เห็นนะครับแต่สามารถสื่อสารได้ เพราะโทรจิตรของเขามันเปิดตลอดเวลา นั้นแปลว่าคนทั่วไปจะปิดครับ แล้วทำยังไงถึงจะเปิดล่ะ ผมคิดว่านั่งสมาธิครับเปิดแน่ แต่ต้องสมาธิจริงๆนะไม่ใช่คิดเรื่องอื่นไปเรื่อย แบบนั้นเขาเรียกนั่งเพ้อ ไม่ใช่นั่งสมาธิครับ การนั่งสมาธิจิตเราต้องว่างเลยครับเหมือนแก้วเปล่าพร้อมรับสิ่งต่างๆเข้ามานั้นแหละครับคุณถึงจะเปิดสัมผัสที่ 6 ของคุณได้ อันนี้แค่ความคิดผมนะ ยังไม่เคยให้เพื่อนลอง ฮ่ะๆๆๆๆๆๆ คุณลองทำดูก็ได้อาจจะสัมผัสได้ คนที่สัมผัสได้แต่เกิดโดยไม่ต้องนั่งสมาธิเลยเนี่ยผมจะเรียกเขาว่าคนที่มีความสารถพิเศษครับ เช่น บางคนจำดี บางคนพูดเก่ง เป็นต้นครับ แค่เขามีความสารถเปิด สัมผัสที่ 6 ได้ง่ายเท่านั้นเองครับ
.
.
.
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ นี้เป็นกระทู้แรกในชีวิตผม หากผิดพลาดพิมพ์ผิดตรงไหน หรือไม่สนุกไม่น่ากลัวอย่างไรติชมกันได้ครับ จะได้พัฒนาฝีมือกันต่อไป ขอบคุณมากครับที่เสียเวลามานั่งอ่านจนจบ อยากให้ผมทำต่อก็ทำให้ได้นะครับ แต่ต้องว่างก่อนแล้วจะมาต่อให้ ยังมีเรื่องอีกเยอะแยะมากมายเลยครับ
เรื่องเล่าจากคนเห็นผี
..........ผมขอเล่าสิ่งที่กลัวและหลอกหลอนในหัวผมจนถึงทุกวันนี้ก่อนเลยนะครับ..........ตอนนั้นผมอยู่อนุบาล 2 ผมเล่นซ้อนหากับเพื่อนหลังเลิกเรียน เล่นกันจนพระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว ตอนนั้นผมเล่นเป็นคนซ่อน ผมเลยซ่อนตรงหลังต้นไม้ต้นนึ่ง ไม่รู้ว่าต้นอะไรเหมือนกันจำไม่ได้แล้ว แต่กิ่งใหญ่และลำต้นใหญ่มาก ผมแอบเพื่อนอยู่หลังต้นไม้ จนมีผู้หญิงคนนึ่งถือเก้าอี้และเชือกเดินเข้ามาหาผม ผมก็งงว่าใครกันนะ แต่ผู้หญิงคนนี้สวยมากครับ ผมจำได้ไม่ลืมเลือนเลย เขาค่อยๆเดินเข้ามา วางเก้าอี้ลง....แล้วยืนบนเก้าอี้.....จากนั้นก็เหวี่ยงเชือกแล้วผูกเชือกเป็นห่วง ผมยังคงอึ่งอยู่ ได้แต่ดูไปเรื่อยๆไม่รู้จะทำอะไรต่อ จากนั้นเธอคนนั้นค่อยๆสวมห่วงเชือกไปที่คอ จากนั้น ทั้งสองมือของเขาก็ปล่อยแนบอยู่ข้างลำตัว และใช้ขาข้างนึ่งถีบเก้าอี้ที่เขายืนอยู่ให้ล้มลง ผมยังคงนั่งดูอยู่ด้วยความมึนงง ผมเห็นร่างกายหญิงสาวคนนี้ที่มีเชือกลัดคออยู่ ไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย .......สักพักนึ่ง....ร่างกายเขากระตุกและสั่นเหมือนเจ้าเค้าพยามดิ้นทุรณทุราย ใบหน้าเขาจากที่ขาวกับม่วงเขียวและขาวซีดปนกันอยู่ อาปากพะงาบๆ อยู่สักพักนึ่ง แล้วนิ่งไป ผมก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความหวาดกลัวไม่กล้าที่จะลุกขึ้นหนีไป จนกระทั้ง ..... หญิงสาวคนนั้นหล่นลงมาจากต้นไม้หล่นลงมาที่ข้างหน้าผม ......แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นยืน หยิบเชือกที่รัดคออยู่ออกจากคอและหยิบเก้าอี้ที่ล้มลง และเดินจากผมไป ผมรู้สึกกลัวมากกำลังจะลุกไปจากต้นไม้ต้นนี้แล้วรีบวิ่งหนีไป แต่ไม่ทันได้ลุก ......ผู้หญิงคนนั้นก็กลับมาอีกครั้ง และทำแบบเดิมอีก ทำซ้ำๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไวมากจนผมไม้รู้จะทำอะไรต่อแล้วได้แต่นั่งร้องให้ใต้ต้นไม้นั้น จนครั้งนึ่ง หลังจากที่เธอดิ้นทุรณทุราย เธอลืมตาขึ้นมา ดวงตาของเธอแดงมากเห็นเส้นเลือดสีแดงเป็นเส้นๆ แล้วบอกกับผมว่า "มัวแต่มองอยู่ได้หาทางช่วยพี่หน่อยสิ" สิ้นเสียงคำนี้ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆวิ่งร้องให้กลับบ้านแล้วไม่กล้าออกไปเล่นข้างนอกอีกเลย จนตอนนี้ ผมยังคงจำใบหน้าหญิงสาวที่ผูกคอตายต่อหน้าผมไม่ลืมเลือนเลย
........... หลายคนบอกว่า ผมเห็นผีแล้วแบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวโดนหลอกแล้วสิ ผมบอกเขาไปว่ากลัวสิแต่การหลอกของผีจะหนักกว่าคนธรรมดา ตรงที่ว่า "หลอกให้ไปตายเลย" คุณลองคิดดูสิครับว่าล่ะหว่างคนหลอกกับผีหลอกอะไรน่ากลัวกว่ากัน??? บางคนคิดว่าคนสิหน้ากลัวกว่า บางคนคิดว่าฉันว่าผีนะเพราะทำอะไรมันไม่ได้ แต่อย่าลืมนะครับก่อนที่พวกเขาจะเป็นผีก็เคยเป็นคนมาก่อน เรื่องที่คนที่โดนแบบมาแต่เสียงมาแต่กลิ่น บ้างเห็นน่าเน่าเละ หรืออะไรที่ผีทำแล้วหลอน ผมบอกเลยว่านั้นแค่เด็กๆมากๆ เขาแค่ต้องการบุญกุศลจากคุณ หรือหลอกคุณไม่ให้เข้าไปยุ่งกับเขาหรือสิ่งที่เขาหวงอยู่ แต่ถ้าผมโดนหลอกทีนี้คือเอาถึงตายเลยครับ คุณเคยได้ยินเรื่องตัวตายตัวแทนอะไรทำนองนี้ไหม ผมก็เคยโดนมาเหมือนกัน ตอนนั้นก็ยังคงเด็กอยู่ (ช่วงวัยเด็กผมยังแยกไม่ออกระหว่างคนกับผีครับ มาแยกออกได้จริงๆก็ตอน ป.5 เลย) ตอนนั้นผมไปเที่ยวกับแม่ที่ ที่ นึ่ง จำไม่ได้เหมือนกันว่าที่ไหน รู้สึกจะมีต้นไม้ภูเขาธรรมชาติมากมาย เราเที่ยวกันจนเย็นเลยครับ ผมก็ยังคงสนุกกับการเที่ยวชมธรรมชาติอยู่ ตอนนั้นผมเดินชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ เจอลุงคนนึ่งนั่งอยู่ ผมก็มองด้วยความสงสัยว่าลุงแกเป็นอะไรทำไมมานั่งคนเดียว สักพักนึ่งลุงแกกวักมือเรียกผม ผมก็ไปหาแก แต่แล้ว....... เสียงแม่ผมเรียก ผมจึงหันไปดูปรากฏว่าผมเดินเพลินจนห่างจากแม่มาไกลมาก แต่ผมไม่ได้หลงนะ เพราะมันเป็นพื้นที่โล่งกว่างและผมเดินตรงมาอย่างเดียว แล้วผมหันกลับไปดูอีกทีลุงคนนั้นยังคงกวักมือเรียกผมอยู่ แต่ผมไม่ได้ไปหาลุงแก ผมรีบกลีบไปหาแม่ แม่ถามว่าผมถามว่าไปไหนมา ผมบอกว่า "ผมเดินไปเรื่อยๆ แล้วเจอลุงคนนึ่งเขากวักมือเรียกผมด้วย ผมกำลังจะไปหาลุงแต่แม่เรียกผมพอดี ผมเลยรีบวิ่งมาหาแม่เพราะแม่บอกว่าไม่ให้ผมไปยุ่งกับคนแปลกหน้า" พ่อกับแม่ผมอึ่งมากและปลอบผมว่า ผมเป็นเด็กดีแล้ว และหลังจากนั้นก็ขึ้นรถกลับบ้านไป จนผมมารู้ความจริงเมื่อตอนที่แยกผีกับคนออกแล้วว่า เราไปเที่ยวกันแล้วเรากลับกันเป็นครอบครัวสุดท้ายเพราะมัวแต่ตามหาผมอยู่ และลุงคนนั้นไม่น่าจะใช่คนเพราะว่า บริเวณนั้นเป็นเหวที่ตกลงไปมีแต่ตายอย่างเดียว ไม่มีคนปกติคนไหนไปนั่งตรงนั้นแน่ๆ แม่ผมบอกว่า เหวตรงนั้นมีคนตายมาหลายคนแล้วเพราะเดินกันไม่ระวังและตกเหวนั้นไปมันมีป้ายเตือนเรื่องเหวนะ แม่ผมบอกแล้วถามว่าผมไม่ให้เห็นป้ายเตือนและที่กั้นบ้างหรอ ผมบอกแม่ว่าไม่เหนอะไรเลยนอกจากลุงคนนั้นที่กวักมือเรียกผมอยู่ แม่บอกว่าผมโชคดีแล้วที่ได้ยินเสียงแม่ไม่งันได้ตกไปตายแน่ๆ
.
.
.
.
ขอจบเพียงเท่านี้ก่อนแล้วจะมาต่อ ตอนที่ว่างๆ . แต่ตอนนี้ง่วง
.
.
.
.
ก่อนจะจากกัน ผมขอบอกว่าผมเป็นคนมีเหตุผลและไม่เคยเชื่อเรื่องคุณไสย ทรงเจ้า สักยัน ดวง เลย ผมเลยพยามหาเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงเห็นผี ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวด้วยเพื่ออธิบายว่าทำไมผมถึงเห็นและคนปกติไม่เห็น นี้เป็นทฤษฏีของผมเอง ผมไม่ได้เรียนสายวิทย์อาจไม่แม่นมากแต่จะอธิบายที่ตัวเองเข้าใจให้ทุกท่านอ่าน
ผมขออธิบายก่อนว่า "ทำไมตอนกลางวันไม่เห็นผีเห็นแค่ตอนเย็นๆกับกลางคืนแค่เพราะอะไร" จากที่ผมเคยศึกษาหลักวิทยาศาสตร์มาทำให้ผมเข้าใจว่า "พลังงานของพระอาทิตย์มามากกว่าสายตาคนทีเห็นผีจึงรับสิ่งที่มีพลังงานมากกว่า นั้นแปลว่าพลังงานวิญญาณมีพลังงานน้อยกว่าพระอาทิตย์ครับ ผีไม่ได้กลัวแสงแดดแต่อย่างใด และผีก็อยู่ตลอดทุกช่วงเวลาไม่ใช่แค่ตอนกลางคืน อย่างนี้แล้วแปลว่าว่าถ้าเราอยู่ตรงหลอดไฟอะไรพวกนี้ตอนกลางคืนก็ไม่เห็นผีแล้วสิเพราะมันสว่างไม่ต่างจากแสงพระอาทิตย์เท่าไหร ผมบอกว่าไม่ใช่เลย พลังงานจากหลอดไฟทุกอย่างน้อยกว่าพลังงานวิญญาณมาก ต่อให้คุณเปิดไฟทั้งบ้านตอนกลางคืน ก็ยังเจอผีอยู่ดีครับ แล้วบางท่านทีเคยเจอผีกลางวันแสกๆล่ะ??? อันนี้ผมก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม เพราะพลังงานวิญญาณเป็นพลังงานโปร่งแสง แสงทะลุผ่านได้ อาจจะเปรียบได้กับกระจกที่ใสมากๆ จนมองทะลุไปอีกฝั่ง จนต้องเดินชนกระจกเพราะไม่คิดว่ามีกระจกตรงนี้ แต่ถ้าลองหามุมมองดีๆเราจะเห็นเงาสะท้อนได้เหมือนกันแม้ว่ามันจะใสยังไงก็ตาม ผมคิดว่า วิญญาณก็เป็นลักษณะนี้เช่นกัน ไม่ใช่ที่แบบมีเนื้อหนังเหมือนคน ส่วนที่เห็นตอนกลางคืนมีเนื้อหนังเลยนั้น ผมก็ยังไม่ทราบเสียทีว่าทำไมกัน สิ่งที่คนเห็นผีสามารถทำได้อีกอย่างนึ่งคือ การสื่อสาร เมื่อก่อนผมคิดว่าต้องพูกดเท่านั้น แต่ชาวงที่ผมอยู่ มัธยมเข้าค่ายลูกเสือไรพวกนี้เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟัง ผมสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้โดยไม่ต้องพูด แต่เป็น การสื่อสารกันโดยโทรจิตครับ มันเป็นยังไงสื่อสารกันยังไง??? การคุยกันทางโทรจิตคือการเล่าเรื่องสิ่งที่ตัวเองคิดให้คน คนๆนั้นคิดตามไปกับเราเช่นเรากำลังคิดถึงทะเล คนที่เราโทรจิตด้วยจะคิดถึงทะเลตามเรา ผมสื่อสารกับวิญญาณในรูปแบบนี้ครับทำให้วิญญาณสัญชาติอะไรก็แล้วแต่ ผมคุยได้หมด แต่มันก็มีข้อเสียเช่นกันครับไม่ใช่แค่ความนึกคิดเท่านั้นที่มากับการคุยทางโทรจิต มันมีอารมณ์เข้ามาแทรกด้วยทำให้เรารู้สึกอย่างที่คนโทรจิตกับเรารู้สึกครับ เขาโกรธเราก็โกรธ เขาร้องให้เราก็ร้องตามครับเราจะเรียกคนที่มีความสามารถนี้ว่าคนมีสัมผัสที่ 6 ครับ ดังนั้นจิตการรับรู้ของผมสามารถรับรู้ได้ดีกว่าคนอื่นแค่นั้น บวกกับสายตาที่เห็นผีได้ที่ผมจะเรียกสายตานี้ว่า สายตาพิการ เพราะดันเห็นไม่ปกติเหมือนคนอื่นเขา คล้ายๆคน สายตาสั่น เอ้ยง ตาบอดสี แต่อันนี้สายตาเห็นผีแทน แค่นั้นครับ คนมีสัมผัสที่ 6 บางคนไม่เห็นนะครับแต่สามารถสื่อสารได้ เพราะโทรจิตรของเขามันเปิดตลอดเวลา นั้นแปลว่าคนทั่วไปจะปิดครับ แล้วทำยังไงถึงจะเปิดล่ะ ผมคิดว่านั่งสมาธิครับเปิดแน่ แต่ต้องสมาธิจริงๆนะไม่ใช่คิดเรื่องอื่นไปเรื่อย แบบนั้นเขาเรียกนั่งเพ้อ ไม่ใช่นั่งสมาธิครับ การนั่งสมาธิจิตเราต้องว่างเลยครับเหมือนแก้วเปล่าพร้อมรับสิ่งต่างๆเข้ามานั้นแหละครับคุณถึงจะเปิดสัมผัสที่ 6 ของคุณได้ อันนี้แค่ความคิดผมนะ ยังไม่เคยให้เพื่อนลอง ฮ่ะๆๆๆๆๆๆ คุณลองทำดูก็ได้อาจจะสัมผัสได้ คนที่สัมผัสได้แต่เกิดโดยไม่ต้องนั่งสมาธิเลยเนี่ยผมจะเรียกเขาว่าคนที่มีความสารถพิเศษครับ เช่น บางคนจำดี บางคนพูดเก่ง เป็นต้นครับ แค่เขามีความสารถเปิด สัมผัสที่ 6 ได้ง่ายเท่านั้นเองครับ
.
.
.
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ นี้เป็นกระทู้แรกในชีวิตผม หากผิดพลาดพิมพ์ผิดตรงไหน หรือไม่สนุกไม่น่ากลัวอย่างไรติชมกันได้ครับ จะได้พัฒนาฝีมือกันต่อไป ขอบคุณมากครับที่เสียเวลามานั่งอ่านจนจบ อยากให้ผมทำต่อก็ทำให้ได้นะครับ แต่ต้องว่างก่อนแล้วจะมาต่อให้ ยังมีเรื่องอีกเยอะแยะมากมายเลยครับ