ก่อนอื่นขออนุญาตเกริ่นพื้นเพเป็นการเรียกน้ำย่อยสักเล็กน้อย
ตัวดิฉันนั้นเป็นเด็กบ้านนอกมาตั้งแต่เกิด โตมากับท้องไร่ท้องนา (ไม่เคยขี่ควายนะ อยากขี่แต่แถวบ้านไม่ค่อยมีให้ขี่ ก็เลยได้ขี่อย่างอื่นแทน?...บร้า...คิดอะไรกัน...ก็ขี่ช้างสิคะ) แก้ผ้าวิ่งเล่น โดดน้ำคลองทำผ้าถุงตีโป่ง ปีนป่ายต้นไม้นานาพันธุ์ (ใช้ศัพท์ถูกที่ป่าววะ) และอีกหลากหลายกิจกรรมที่ฟันธงจนขาดวิ่นเลยว่าเด็กกรุงนึกภาพไม่ออกแน่ๆ แต่เราชาวเด็ก (บ้าน) นอกแค่เหล่ขนตาก็รู้ไส้รู้พุงกันแล้ว
ตัวดิฉันนั้น ณ ตอนนี้ก็หากินอยู่กับเมืองกรุงมาย่างเข้าสู่ปีที่หกแล้ว ตั้งแต่จบป.ตรีจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่อยู่บ้านนอกมากๆ ไกลจากเมืองกรุงหลายโขนัก พูดขนาดนี้คงพอนึกออกกันใช่มั้ยคะว่าดิฉันกันดารมาตั้งแต่เล็กยันแตกเนื้อสาว ก็ตัดสินใจออกจากกะลาใบน้อยๆ มาหาประสบการณ์และหางานทำในเมืองกรุง ก่อนหน้านั้นก็วาดภาพไว้ว่ามันน่าศิวิไลซ์ น่าอยู่ โอกาสมีให้ไคว่คว้ารอบทิศทาง อนาคตสดใสแน่นอน... ตอนนั้นเดียงสายังน้อยนัก อ่อนต่อโลกอยู่มาก เหมือนผ้าสีครีม (ไม่ได้ขาวเหมือนเด็กแรกเกิดนะ) ทุกอย่างดีหมด มองสรรพสิ่งในแง่ดี ตามประสาคนบ้านนอกนะ เพราะเรายังไม่เคยเจอของจริง อยู่บ้านนอกกระโชกโฮกฮากก็รู้กันว่าใครเป็นยังไง ไม่ค่อยมีใครนิยมใส่หน้ากากกัน ไม่ค่อยชินกับความหวาดระแวงผู้คนสักเท่าไหร่ มาอยู่กรุงเทพฯ ก็ได้เจอของจริง มีทั้งที่โดนแล้วโดนเลย กับที่ปลีกตัวได้ทัน
สิ่งหนึ่งที่นึกเสียดายคือ เมืองกรุงเปลี่ยนตัวเราไปแล้ว เปลี่ยนทัศนะของเด็กบ้านนอกซื่อๆ คนหนึ่งไปแล้ว จากคนที่ไม่คิดอะไรมาก ยิ้มให้กับผู้คนอย่างไม่รีรอ ตอนนี้กลายเป็นคนละคน หน้าตาบึ้งตึงตลอดเวลา เห็นสาวเล็กสาวใหญ่ทั้งแท้และเทียมยืนจับจองเกาะเสาริมทาง ก็เบ้ปาก มองด้วยหางตา (ในใจก็คิด ไม่มีอาชีพอื่นทำแล้วหรือไง หยามศักดิ์ศรีตัวเองที่สุด?) คืออันนี้เป็นความหดหู่ใจมากๆ เมื่อมานึกตอนหลัง คนเราไม่เหมือนกัน เขาอาจจะมีเหตุผลของเขาที่เราเข้าไม่ถึงก็ได้ ถ้าเป็นตอนขึ้นมาใหม่ๆ คงไม่รู้ว่าสาวๆ เหล่านั้นที่ใส่เสื้อรัดแหนม เอ้ย..รัดรูปสีเข้มจี๊ดจ๊าด ที่ยืนบนรองเท้าส้นสูงส้นแหลม ยืนเกาะเสาเรียงราย ทำอะไรกัน อาจจะนึกว่าคงมายืนรอรถเมล์เหมือนเรามั้ง
เอาละเรียกน้ำย่อยพอเป็นพิธีกันแล้ว (เหมือนจะเรียกเพลินไปหน่อย น้ำย่อยล้นเลย) เรามาเข้าเรื่องที่โดนเหลี่ยมกรุงทำร้ายกันเลยดีกว่า
1. สตอรี่แรก ตอนนั้นสะพายย่ามเข้ากรุงมาหมาดๆ จำไม่ค่อยแม่นนัก ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน ได้ข้อความหรือไปทดสอบทำควิซฟรีในเว็บไซต์ของสถาบันนี้ก็ไม่รู้ อยู่ๆ ตัวเองก็หลงกลไปโผล่ที่สถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่งย่านสีลม (สถาบันใหญ่ มีชื่อเสียงอยู่นะ เดาไม่ยาก) เข้าไปเซลล์ผู้หญิงก็พาไปทดสอบวัดระดับภาษา เจ้าหล่อนบอกว่าฟรี เราก็เข้าไป ทำเสร็จผลออกมา นึกในใจนี่ไอ้ที่ดักดานเรียนเอกภาษาอังกฤษมาสี่ปีไม่ได้อะไรเลยใช่ไหม โง่ขนาดนี้เลยหลอ (ตอนนี้มานึกอีกทีหรือมันจะเป็นกลลวงหรือเราโง่เองจริงๆ แต่ตอนนั้นจำได้ว่าข้อสอบง่ายกว่าที่เรียนมาเยอะ คือเป็น tense พื้นๆ มาก ทำไมผลออกมาแย่ได้ชนิดที่แบบว่าไม่ให้ได้เกิดกันเลย) ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาเรียนที่นี่อยู่แล้ว แค่เขาบอกว่ามาทดสอบฟรี เราก็เลยมา จากนั้นเขาก็เชิญเราเข้าไปคุยที่ห้อง เสนอราคากัน คอร์สไหนราคาเท่าไหร่ เงื่อนไขยังไง แต่จำได้ว่าหลักแสนหมด ผ่อนได้ เราแค่เห็นตัวเลขหกหลักก็นิ่งไปไม่ถูกแล้ว (มีเงินที่ไหนล่ะ) ฟังไปฟังมาเราเริ่มลำบากใจ รู้สึกอึดอัด กลัวเกร็ง ด้วยความที่ไม่มีเงิน แต่เขาหว่านล้อมสารพัด เขาก็บอกว่ามัดจำก่อนได้นะ เราก็บอกว่ายังไม่แน่ใจ ไม่มีเงินมากขนาดนั้น อีกอย่างไม่ได้พกเงินมากพอที่จะสามารถจ่ายค่ามัดจำเลยด้วยซ้ำ เขาก็บอกว่ากดที่ตู้ข้างหน้าสถาบันได้ มัดจำก่อนพันเดียว เราก็เดินออกไป พอเห็นว่าไม่มีตู้ที่เราต้องการเราก็บอกเขาว่าไม่มีตู้ที่อยากได้ เดี๋ยวเราไปหาที่อื่นแล้วกดมาให้ เขาก็เดินตามติดเราแจเลย บอกว่ากดตู้นี้ก็ได้ไม่เสียค่าบริการ กดได้ฟรี 4 ครั้งต่อเดือนทุกตู้ (คราวนี้เขาก็ยิ่งมองทะลุเลยว่าเราบ้านนอกของแท้ไม่ใช่ของจีน) วันนั้นก็ได้ประเดิมเสียค่าโง่ไปเบาๆ 1,000 บาท จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาให้ใบเสร็จรับเงินมาหรือเปล่า... เป็นบทเรียนที่จดจำไปอีกนานแสนนาน นี่หรือคือการต้อนรับจากคนกรุง... เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าของฟรีไม่มีในเมืองกรุงนะ... รู้ยัง! อย่าหลงเชื่อคำเชิญชวนแสนหวาน ฟรีโน่นนี่นั่น เพราะมันไม่จริง เมื่อถลำเท้าก้าวสู่อาณาจักรของเขาแล้วก็ออกยาก จะออกก็ต้องจ่ายค่าผ่านแดนให้เขาซะก่อน พึงระลึกไว้ ของฟรีมีที่ไหน (บอกเค้าด้วยน้า)
2. สตอรี่ที่สอง เรื่องนี้เป็นเหลี่ยมที่หลายคนอาจจะเคยโดนกันมาแล้ว แต่ตอนที่เราอยู่บ้านนอกเราไม่เคยโดนนะ เอ้ะ... หรือว่าโดนแล้วไม่รู้ตัว เป็นเรื่องเกี่ยวกับธนาคารใหญ่ธนาคารหนึ่ง เห็นว่าผลประกอบการปีนี้พุ่งกระฉูดด้วย แต่เรื่องฉาวก็พุ่งและโผล่มาให้เห็นเป็นดอกเห็ดด้วยเช่นกัน ตอนนั้นไปเปิดบัญชีใหม่ ตั้งใจจะเปิดใช้บัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดา พนักงานผู้หญิง (หน้าตาไม่ค่อยเป็นมิตรนัก) บอกว่าบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาไม่มี ต้องทำแบบเดบิต ซึ่งต้องจ่ายเพิ่มแพงขึ้นมาหน่อย แล้วก็เสนอแพ็คเกจพ่วงมาพร้อมกับประกันโน่นนี่นั่น ซึ่งเราตอบปัดไป แต่ก็ถามนะว่าถ้าจะรอทำบัตรธรรมดาต้องรอกี่วัน เขาก็บอกแบบไม่สบอารมณ์ว่าอีกนาน ไม่รู้เมื่อไหร่ ตอนนั้นไม่รู้อะไร ยอมรับว่ารู้น้อย ก็เสียค่าทำบัตรแบบเดบิตไปตามนั้น ไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่ มาตอนนี้รู้แล้วว่ามันเป็นกลเม็ดที่จะเพิ่มยอดให้กับบัตรแบบเดบิต ถึงมีบัตรแบบธรรมดาเขาก็จะบอกว่าไม่มี เพื่อให้ลูกค้าเปิดแบบเดบิตแทน... เหลี่ยมข้อนี้ คนกรุงบางคนที่เจนมากแล้วก็จะรู้วิธีรับมือ หรือเลี่ยงไม่ทำเลย… คนเราโดนหลอกในเรื่องเดิมได้ครั้งเดียว อย่าหวังว่าจะได้ฟันกันอีก เจ็บแล้วจำไปอีกนาน
3. สตอรี่ที่สาม มาถึงแรกๆ งานก็ไม่ได้หาง่ายอย่างที่จินตนาการไว้ แต่ก็ไม่ท้อนะ แรกๆ ทุนก็พอมีอยู่นั่งแท็กซี่สะดวกดี จะไปไหนก็บอกทางโชเฟอร์ไปก็จบ ไม่ต้องรู้จักที่ทางมากก็ได้ ก็นั่งแท็กซี่ไปสัมภาษณ์งานอยู่หลายที่ แต่ก็ยังไม่มีที่ไหนอยากได้พนักงานเคมีแบบเรา ผ่านไปเดือนกว่าก็ยังไม่ได้งาน เงินติดกระเป๋าก็ค่อยๆ เหือดแห้งเหมือนทุ่งนาในหน้าแล้ง ก็เลยคิดว่าคงถึงคราวที่ต้องเรียนรู้การใช้บริการรถเมล์แล้วสินะ นี่...พร่ำมากไปจนหลงประเด็น ขอกลับเข้าเรื่องละกันนะคะ สตอรี่ที่สามอันที่จริงเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย จะสองเดือนผ่านไปหางานยังไม่ได้ เลยหลวมตัวไปกับคำโฆษณาเชิญชวนที่ติดอยู่ตามเสาไฟบ้าง ป้ายรถเมล์บ้าง และอีกช่องทางคืออินเตอร์เน็ต ฟอนต์กะพริบแวบๆ รายได้วันละเป็นพัน ใครไม่สนก็บ้าแล้ว กรอกข้อมูลชื่อเบอร์โทรไป ไม่กี่นาทีก็มีคนโทรมานัดสัมภาษณ์งาน (ฟังดูหรูมากนัดสัมภาษณ์งาน ไม่บอกนะว่ามีคนเป็นร้อยไปด้วย) เราก็คิดว่าน่าจะได้น่าจะโดนละ (ได้อาจไม่ใช่ โดนอ่ะแน่นอน) ครั้งแรก (คือบังเอิญโง่ โดนไปหลายดอก) ไปที่ย่านรัชดาฯ นะถ้าจำไม่ผิด ไปถึงตึกใหญ่ จำชื่อตึกไม่ได้ คนเยอะมาก บ้างก็หน้าตาเอ๋อๆ เหมือนเรา บ้างก็ใส่สูทผูกไทด์ รองเท้าดำมันวาว ดูภูมิฐาน ไปไหนไม่ถูกเราก็โทรหาคนที่โทรนัดเราไว้ (แม่ทัพเครือข่ายของเรา) เขาก็มาแนะนำตัวกับเรา เอาใบสมัครมาให้กรอกข้อมูล พร้อมเอกสารและซีดีคู่มือการทำงาน แล้วก็พาเราไปนั่งในห้องประชุมขนาดมหึมา มีจอโปรเจ๊กเตอร์ขนาดใหญ่พร้อมแสดง PP การทำงานอย่างละเอียด เมื่อรวบรวมไพร่พลที่เกณฑ์มาใหม่จนแน่นฮอลล์ เหล่าแม่ทัพและจอมยุทธประมาณ 4-5 คน ฝีปากคมคายขั้นปรมาจารย์ พร้อมประกาศศักดาแห่งความภาคภูมิใจกับการประสบความสำเร็จจากการนำทัพมาแล้วจนร่ำรวยเป็นล่ำเป็นสัน ฟังแล้วฮึกเหิมมาก โปรเจ็กเตอร์ก็ฉายบ้านและรถหรูมูลค่าหลายสิบล้าน เกรงว่าจะไม่น่าเชื่อถือแม่ทัพบางคนก็ถ่ายรูปขณะนั่งอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน บ้างก็ลดกระรถเพื่อให้เห็นตัวเองขณะขับรถหรู (คือบับรถกรูจริงนะ...เชื่อยัง!) เสร็จแล้วก็งัดกลยุทธ์ในการสร้างเครือข่ายให้มั่นคงแข็งแรงกระจายได้รอบทิศทางเหมือนใยแมงมุมแบบสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ นั่งฟังไปก็นึกฮึกเหิมจริงๆ นะ คิดว่าต้องสมัครแน่ๆ แต่ช้าก่อน สมัครไม่ได้สมัครฟรีนะ เฮ้อออ...ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเทวดาคุ้มครองได้ป่าวนะ คือโชคดีมากที่ไม่มีเงินสมัคร อันที่จริงค่าสมัครมีหลายราคา ขึ้นกับประเภทสมาชิก หลักพันต้นๆ ถึงหลักหมื่นเลย ถ้าจำไม่ผิด อยากรวยแบบสายฟ้าฟาดก็จ่ายหนักหน่อย เป็นสมาชิกระดับวีไอพี เกณฑ์สมาชิกใหม่เข้ามาในเครือข่ายได้ ช่วยกันแตกหน่อสร้างกิ่งก้านสาขาได้ก็จะได้ปันผลเยอะ ทั้งภาพทั้งเสียงขนาดนี้ ใครล่ะจะไม่อยากได้ คนที่ตอนแรกหน้าเอ๋อๆ อย่างเราก็หลายคนนะที่เห็นยืนต่อแถวสมัคร พร้อมจ่ายค่าส่วยกัน เข้าฟังตั้งแต่เช้ายันเที่ยง ช่วงบ่ายก็มีอีกรอบนะ แต่เราคิดว่าพอละ มีความหวังนะ เพราะยังไม่รู้จักอาชีพประเภทนี้ในมุมอื่น รอบนี้รอดไปไม่เสียตังค์แต่ได้ประสบการณ์ ไม่เสียตังค์ก็ไม่เข็ดสิคะ รอบสองจำได้ว่าแถวๆ เอกมัย รอบสองนี้พอฉลาดขึ้นมาหน่อยก็เลยไม่โดนอีกเช่นกัน อันที่จริงก็เหตุผลเดิมแหละค่ะ ไม่มีตังค์สมัคร เลยรอดตัวไป สตอรี่ที่สามค่อนข้างยาว แต่อยากฝากเตือนคนบ้านนอกเหมือนๆ กันให้ระวังกลของแม่ทัพเหล่านี้ไว้บ้างก็ดีนะคะ แต่ถ้าใครสนใจจริงก็ให้หาข้อมูลศึกษาเองดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ ที่บอกอย่างนี้เพราะว่าหลายคนไม่ทันได้หาข้อมูลอะไร พอหลวมตัวเข้าไปฟังแล้วเกิดประกายฮึกเหิมสมัครทันทีทันใด แล้วถอนทุนคืนไม่ได้ ก็จะเสียใจฟูมฟาย เพราะค่าของเม็ดเงินสำหรับแต่ละคนไม่เหมือนกัน
แชร์ไปสามสตอรี่เบาๆ ไปก่อนนะคะ มีเวลาจะปั่นมาให้อีก
ประสบการณ์ทั้งหมดที่โดนมา เรื่องเงินไม่ใช่ประเด็นสลักสำคัญอะไรเลย เพราะตัวเลขที่เสียไปไม่ได้เยอะ แต่ความรู้สึกมันเหมือนโดนต่อยเข้าที่หน้าท้องแล้วจุกจี๊ดๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เมืองกรุงต้อนรับคนบ้านนอกอย่างดิฉัน คนที่ไม่เคยทำร้ายคุณมาก่อน
ใครที่มีประสบการณ์โดนเหลี่ยมกรุงเล่นงานอย่างดิฉัน อย่าลืมแชร์กันเป็นอุทาหรณ์ให้รุ่นน้องๆ ที่คิดจะเข้ามาวิ่งเล่นในเวทีชีวิตแห่งนี้กันนะคะ
อ่านก่อน รู้ก่อน -- คู่มือฉบับคู่ปรับเมืองกรุง : แชร์ประสบการณ์จริงจากเด็กบ้านนอก…สำหรับใครที่คิดจะเข้ากรุง…
ก่อนอื่นขออนุญาตเกริ่นพื้นเพเป็นการเรียกน้ำย่อยสักเล็กน้อย
ตัวดิฉันนั้นเป็นเด็กบ้านนอกมาตั้งแต่เกิด โตมากับท้องไร่ท้องนา (ไม่เคยขี่ควายนะ อยากขี่แต่แถวบ้านไม่ค่อยมีให้ขี่ ก็เลยได้ขี่อย่างอื่นแทน?...บร้า...คิดอะไรกัน...ก็ขี่ช้างสิคะ) แก้ผ้าวิ่งเล่น โดดน้ำคลองทำผ้าถุงตีโป่ง ปีนป่ายต้นไม้นานาพันธุ์ (ใช้ศัพท์ถูกที่ป่าววะ) และอีกหลากหลายกิจกรรมที่ฟันธงจนขาดวิ่นเลยว่าเด็กกรุงนึกภาพไม่ออกแน่ๆ แต่เราชาวเด็ก (บ้าน) นอกแค่เหล่ขนตาก็รู้ไส้รู้พุงกันแล้ว
ตัวดิฉันนั้น ณ ตอนนี้ก็หากินอยู่กับเมืองกรุงมาย่างเข้าสู่ปีที่หกแล้ว ตั้งแต่จบป.ตรีจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่อยู่บ้านนอกมากๆ ไกลจากเมืองกรุงหลายโขนัก พูดขนาดนี้คงพอนึกออกกันใช่มั้ยคะว่าดิฉันกันดารมาตั้งแต่เล็กยันแตกเนื้อสาว ก็ตัดสินใจออกจากกะลาใบน้อยๆ มาหาประสบการณ์และหางานทำในเมืองกรุง ก่อนหน้านั้นก็วาดภาพไว้ว่ามันน่าศิวิไลซ์ น่าอยู่ โอกาสมีให้ไคว่คว้ารอบทิศทาง อนาคตสดใสแน่นอน... ตอนนั้นเดียงสายังน้อยนัก อ่อนต่อโลกอยู่มาก เหมือนผ้าสีครีม (ไม่ได้ขาวเหมือนเด็กแรกเกิดนะ) ทุกอย่างดีหมด มองสรรพสิ่งในแง่ดี ตามประสาคนบ้านนอกนะ เพราะเรายังไม่เคยเจอของจริง อยู่บ้านนอกกระโชกโฮกฮากก็รู้กันว่าใครเป็นยังไง ไม่ค่อยมีใครนิยมใส่หน้ากากกัน ไม่ค่อยชินกับความหวาดระแวงผู้คนสักเท่าไหร่ มาอยู่กรุงเทพฯ ก็ได้เจอของจริง มีทั้งที่โดนแล้วโดนเลย กับที่ปลีกตัวได้ทัน
สิ่งหนึ่งที่นึกเสียดายคือ เมืองกรุงเปลี่ยนตัวเราไปแล้ว เปลี่ยนทัศนะของเด็กบ้านนอกซื่อๆ คนหนึ่งไปแล้ว จากคนที่ไม่คิดอะไรมาก ยิ้มให้กับผู้คนอย่างไม่รีรอ ตอนนี้กลายเป็นคนละคน หน้าตาบึ้งตึงตลอดเวลา เห็นสาวเล็กสาวใหญ่ทั้งแท้และเทียมยืนจับจองเกาะเสาริมทาง ก็เบ้ปาก มองด้วยหางตา (ในใจก็คิด ไม่มีอาชีพอื่นทำแล้วหรือไง หยามศักดิ์ศรีตัวเองที่สุด?) คืออันนี้เป็นความหดหู่ใจมากๆ เมื่อมานึกตอนหลัง คนเราไม่เหมือนกัน เขาอาจจะมีเหตุผลของเขาที่เราเข้าไม่ถึงก็ได้ ถ้าเป็นตอนขึ้นมาใหม่ๆ คงไม่รู้ว่าสาวๆ เหล่านั้นที่ใส่เสื้อรัดแหนม เอ้ย..รัดรูปสีเข้มจี๊ดจ๊าด ที่ยืนบนรองเท้าส้นสูงส้นแหลม ยืนเกาะเสาเรียงราย ทำอะไรกัน อาจจะนึกว่าคงมายืนรอรถเมล์เหมือนเรามั้ง
เอาละเรียกน้ำย่อยพอเป็นพิธีกันแล้ว (เหมือนจะเรียกเพลินไปหน่อย น้ำย่อยล้นเลย) เรามาเข้าเรื่องที่โดนเหลี่ยมกรุงทำร้ายกันเลยดีกว่า
1. สตอรี่แรก ตอนนั้นสะพายย่ามเข้ากรุงมาหมาดๆ จำไม่ค่อยแม่นนัก ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน ได้ข้อความหรือไปทดสอบทำควิซฟรีในเว็บไซต์ของสถาบันนี้ก็ไม่รู้ อยู่ๆ ตัวเองก็หลงกลไปโผล่ที่สถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่งย่านสีลม (สถาบันใหญ่ มีชื่อเสียงอยู่นะ เดาไม่ยาก) เข้าไปเซลล์ผู้หญิงก็พาไปทดสอบวัดระดับภาษา เจ้าหล่อนบอกว่าฟรี เราก็เข้าไป ทำเสร็จผลออกมา นึกในใจนี่ไอ้ที่ดักดานเรียนเอกภาษาอังกฤษมาสี่ปีไม่ได้อะไรเลยใช่ไหม โง่ขนาดนี้เลยหลอ (ตอนนี้มานึกอีกทีหรือมันจะเป็นกลลวงหรือเราโง่เองจริงๆ แต่ตอนนั้นจำได้ว่าข้อสอบง่ายกว่าที่เรียนมาเยอะ คือเป็น tense พื้นๆ มาก ทำไมผลออกมาแย่ได้ชนิดที่แบบว่าไม่ให้ได้เกิดกันเลย) ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาเรียนที่นี่อยู่แล้ว แค่เขาบอกว่ามาทดสอบฟรี เราก็เลยมา จากนั้นเขาก็เชิญเราเข้าไปคุยที่ห้อง เสนอราคากัน คอร์สไหนราคาเท่าไหร่ เงื่อนไขยังไง แต่จำได้ว่าหลักแสนหมด ผ่อนได้ เราแค่เห็นตัวเลขหกหลักก็นิ่งไปไม่ถูกแล้ว (มีเงินที่ไหนล่ะ) ฟังไปฟังมาเราเริ่มลำบากใจ รู้สึกอึดอัด กลัวเกร็ง ด้วยความที่ไม่มีเงิน แต่เขาหว่านล้อมสารพัด เขาก็บอกว่ามัดจำก่อนได้นะ เราก็บอกว่ายังไม่แน่ใจ ไม่มีเงินมากขนาดนั้น อีกอย่างไม่ได้พกเงินมากพอที่จะสามารถจ่ายค่ามัดจำเลยด้วยซ้ำ เขาก็บอกว่ากดที่ตู้ข้างหน้าสถาบันได้ มัดจำก่อนพันเดียว เราก็เดินออกไป พอเห็นว่าไม่มีตู้ที่เราต้องการเราก็บอกเขาว่าไม่มีตู้ที่อยากได้ เดี๋ยวเราไปหาที่อื่นแล้วกดมาให้ เขาก็เดินตามติดเราแจเลย บอกว่ากดตู้นี้ก็ได้ไม่เสียค่าบริการ กดได้ฟรี 4 ครั้งต่อเดือนทุกตู้ (คราวนี้เขาก็ยิ่งมองทะลุเลยว่าเราบ้านนอกของแท้ไม่ใช่ของจีน) วันนั้นก็ได้ประเดิมเสียค่าโง่ไปเบาๆ 1,000 บาท จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาให้ใบเสร็จรับเงินมาหรือเปล่า... เป็นบทเรียนที่จดจำไปอีกนานแสนนาน นี่หรือคือการต้อนรับจากคนกรุง... เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าของฟรีไม่มีในเมืองกรุงนะ... รู้ยัง! อย่าหลงเชื่อคำเชิญชวนแสนหวาน ฟรีโน่นนี่นั่น เพราะมันไม่จริง เมื่อถลำเท้าก้าวสู่อาณาจักรของเขาแล้วก็ออกยาก จะออกก็ต้องจ่ายค่าผ่านแดนให้เขาซะก่อน พึงระลึกไว้ ของฟรีมีที่ไหน (บอกเค้าด้วยน้า)
2. สตอรี่ที่สอง เรื่องนี้เป็นเหลี่ยมที่หลายคนอาจจะเคยโดนกันมาแล้ว แต่ตอนที่เราอยู่บ้านนอกเราไม่เคยโดนนะ เอ้ะ... หรือว่าโดนแล้วไม่รู้ตัว เป็นเรื่องเกี่ยวกับธนาคารใหญ่ธนาคารหนึ่ง เห็นว่าผลประกอบการปีนี้พุ่งกระฉูดด้วย แต่เรื่องฉาวก็พุ่งและโผล่มาให้เห็นเป็นดอกเห็ดด้วยเช่นกัน ตอนนั้นไปเปิดบัญชีใหม่ ตั้งใจจะเปิดใช้บัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดา พนักงานผู้หญิง (หน้าตาไม่ค่อยเป็นมิตรนัก) บอกว่าบัตรเอทีเอ็มแบบธรรมดาไม่มี ต้องทำแบบเดบิต ซึ่งต้องจ่ายเพิ่มแพงขึ้นมาหน่อย แล้วก็เสนอแพ็คเกจพ่วงมาพร้อมกับประกันโน่นนี่นั่น ซึ่งเราตอบปัดไป แต่ก็ถามนะว่าถ้าจะรอทำบัตรธรรมดาต้องรอกี่วัน เขาก็บอกแบบไม่สบอารมณ์ว่าอีกนาน ไม่รู้เมื่อไหร่ ตอนนั้นไม่รู้อะไร ยอมรับว่ารู้น้อย ก็เสียค่าทำบัตรแบบเดบิตไปตามนั้น ไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่ มาตอนนี้รู้แล้วว่ามันเป็นกลเม็ดที่จะเพิ่มยอดให้กับบัตรแบบเดบิต ถึงมีบัตรแบบธรรมดาเขาก็จะบอกว่าไม่มี เพื่อให้ลูกค้าเปิดแบบเดบิตแทน... เหลี่ยมข้อนี้ คนกรุงบางคนที่เจนมากแล้วก็จะรู้วิธีรับมือ หรือเลี่ยงไม่ทำเลย… คนเราโดนหลอกในเรื่องเดิมได้ครั้งเดียว อย่าหวังว่าจะได้ฟันกันอีก เจ็บแล้วจำไปอีกนาน
3. สตอรี่ที่สาม มาถึงแรกๆ งานก็ไม่ได้หาง่ายอย่างที่จินตนาการไว้ แต่ก็ไม่ท้อนะ แรกๆ ทุนก็พอมีอยู่นั่งแท็กซี่สะดวกดี จะไปไหนก็บอกทางโชเฟอร์ไปก็จบ ไม่ต้องรู้จักที่ทางมากก็ได้ ก็นั่งแท็กซี่ไปสัมภาษณ์งานอยู่หลายที่ แต่ก็ยังไม่มีที่ไหนอยากได้พนักงานเคมีแบบเรา ผ่านไปเดือนกว่าก็ยังไม่ได้งาน เงินติดกระเป๋าก็ค่อยๆ เหือดแห้งเหมือนทุ่งนาในหน้าแล้ง ก็เลยคิดว่าคงถึงคราวที่ต้องเรียนรู้การใช้บริการรถเมล์แล้วสินะ นี่...พร่ำมากไปจนหลงประเด็น ขอกลับเข้าเรื่องละกันนะคะ สตอรี่ที่สามอันที่จริงเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย จะสองเดือนผ่านไปหางานยังไม่ได้ เลยหลวมตัวไปกับคำโฆษณาเชิญชวนที่ติดอยู่ตามเสาไฟบ้าง ป้ายรถเมล์บ้าง และอีกช่องทางคืออินเตอร์เน็ต ฟอนต์กะพริบแวบๆ รายได้วันละเป็นพัน ใครไม่สนก็บ้าแล้ว กรอกข้อมูลชื่อเบอร์โทรไป ไม่กี่นาทีก็มีคนโทรมานัดสัมภาษณ์งาน (ฟังดูหรูมากนัดสัมภาษณ์งาน ไม่บอกนะว่ามีคนเป็นร้อยไปด้วย) เราก็คิดว่าน่าจะได้น่าจะโดนละ (ได้อาจไม่ใช่ โดนอ่ะแน่นอน) ครั้งแรก (คือบังเอิญโง่ โดนไปหลายดอก) ไปที่ย่านรัชดาฯ นะถ้าจำไม่ผิด ไปถึงตึกใหญ่ จำชื่อตึกไม่ได้ คนเยอะมาก บ้างก็หน้าตาเอ๋อๆ เหมือนเรา บ้างก็ใส่สูทผูกไทด์ รองเท้าดำมันวาว ดูภูมิฐาน ไปไหนไม่ถูกเราก็โทรหาคนที่โทรนัดเราไว้ (แม่ทัพเครือข่ายของเรา) เขาก็มาแนะนำตัวกับเรา เอาใบสมัครมาให้กรอกข้อมูล พร้อมเอกสารและซีดีคู่มือการทำงาน แล้วก็พาเราไปนั่งในห้องประชุมขนาดมหึมา มีจอโปรเจ๊กเตอร์ขนาดใหญ่พร้อมแสดง PP การทำงานอย่างละเอียด เมื่อรวบรวมไพร่พลที่เกณฑ์มาใหม่จนแน่นฮอลล์ เหล่าแม่ทัพและจอมยุทธประมาณ 4-5 คน ฝีปากคมคายขั้นปรมาจารย์ พร้อมประกาศศักดาแห่งความภาคภูมิใจกับการประสบความสำเร็จจากการนำทัพมาแล้วจนร่ำรวยเป็นล่ำเป็นสัน ฟังแล้วฮึกเหิมมาก โปรเจ็กเตอร์ก็ฉายบ้านและรถหรูมูลค่าหลายสิบล้าน เกรงว่าจะไม่น่าเชื่อถือแม่ทัพบางคนก็ถ่ายรูปขณะนั่งอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน บ้างก็ลดกระรถเพื่อให้เห็นตัวเองขณะขับรถหรู (คือบับรถกรูจริงนะ...เชื่อยัง!) เสร็จแล้วก็งัดกลยุทธ์ในการสร้างเครือข่ายให้มั่นคงแข็งแรงกระจายได้รอบทิศทางเหมือนใยแมงมุมแบบสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ นั่งฟังไปก็นึกฮึกเหิมจริงๆ นะ คิดว่าต้องสมัครแน่ๆ แต่ช้าก่อน สมัครไม่ได้สมัครฟรีนะ เฮ้อออ...ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเทวดาคุ้มครองได้ป่าวนะ คือโชคดีมากที่ไม่มีเงินสมัคร อันที่จริงค่าสมัครมีหลายราคา ขึ้นกับประเภทสมาชิก หลักพันต้นๆ ถึงหลักหมื่นเลย ถ้าจำไม่ผิด อยากรวยแบบสายฟ้าฟาดก็จ่ายหนักหน่อย เป็นสมาชิกระดับวีไอพี เกณฑ์สมาชิกใหม่เข้ามาในเครือข่ายได้ ช่วยกันแตกหน่อสร้างกิ่งก้านสาขาได้ก็จะได้ปันผลเยอะ ทั้งภาพทั้งเสียงขนาดนี้ ใครล่ะจะไม่อยากได้ คนที่ตอนแรกหน้าเอ๋อๆ อย่างเราก็หลายคนนะที่เห็นยืนต่อแถวสมัคร พร้อมจ่ายค่าส่วยกัน เข้าฟังตั้งแต่เช้ายันเที่ยง ช่วงบ่ายก็มีอีกรอบนะ แต่เราคิดว่าพอละ มีความหวังนะ เพราะยังไม่รู้จักอาชีพประเภทนี้ในมุมอื่น รอบนี้รอดไปไม่เสียตังค์แต่ได้ประสบการณ์ ไม่เสียตังค์ก็ไม่เข็ดสิคะ รอบสองจำได้ว่าแถวๆ เอกมัย รอบสองนี้พอฉลาดขึ้นมาหน่อยก็เลยไม่โดนอีกเช่นกัน อันที่จริงก็เหตุผลเดิมแหละค่ะ ไม่มีตังค์สมัคร เลยรอดตัวไป สตอรี่ที่สามค่อนข้างยาว แต่อยากฝากเตือนคนบ้านนอกเหมือนๆ กันให้ระวังกลของแม่ทัพเหล่านี้ไว้บ้างก็ดีนะคะ แต่ถ้าใครสนใจจริงก็ให้หาข้อมูลศึกษาเองดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ ที่บอกอย่างนี้เพราะว่าหลายคนไม่ทันได้หาข้อมูลอะไร พอหลวมตัวเข้าไปฟังแล้วเกิดประกายฮึกเหิมสมัครทันทีทันใด แล้วถอนทุนคืนไม่ได้ ก็จะเสียใจฟูมฟาย เพราะค่าของเม็ดเงินสำหรับแต่ละคนไม่เหมือนกัน
แชร์ไปสามสตอรี่เบาๆ ไปก่อนนะคะ มีเวลาจะปั่นมาให้อีก
ประสบการณ์ทั้งหมดที่โดนมา เรื่องเงินไม่ใช่ประเด็นสลักสำคัญอะไรเลย เพราะตัวเลขที่เสียไปไม่ได้เยอะ แต่ความรู้สึกมันเหมือนโดนต่อยเข้าที่หน้าท้องแล้วจุกจี๊ดๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เมืองกรุงต้อนรับคนบ้านนอกอย่างดิฉัน คนที่ไม่เคยทำร้ายคุณมาก่อน
ใครที่มีประสบการณ์โดนเหลี่ยมกรุงเล่นงานอย่างดิฉัน อย่าลืมแชร์กันเป็นอุทาหรณ์ให้รุ่นน้องๆ ที่คิดจะเข้ามาวิ่งเล่นในเวทีชีวิตแห่งนี้กันนะคะ