http://www.thairath.co.th/content/500568

Q : หลายคนมองว่าในภาพนิ่งเราดูมีเสน่ห์ แต่พอเล่นละครหรือเห็นภาพเคลื่อนไหวแล้วไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่?
A : ก็ต้องยอมรับนะ เพราะว่าเป็นละครเรื่องแรกของผม ทุกอย่างมันกดดันไปหมด ด้วยตัวละครและบทบาทที่ผมได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขอบคุณผู้กำกับที่ช่วยบรีฟ บัดดี้ที่เล่นกับผมก็จะช่วยให้กำลังใจผมว่าไม่ต้องเครียดครับ

Q : เจอกระแสลบค่อนข้างเยอะทำให้เรานอยด์หรือท้อบ้างรึเปล่า?
A : เรียกว่าเป็นแรงผลักดันดีกว่าครับ คือตัวผมยอมรับนะว่าเป็นแบบที่พูดแหละ เพราะเป็นละครเรื่องแรกด้วย มันก็มีหลายอย่าง คืออาจจะเกร็ง ตีบทไม่แตก แต่มันก็ทำให้พัฒนาตัวเราไปเรื่อยๆ ครับ ถ้าไม่มีคำติชมก็คงไม่ทำให้เรารู้ว่าจะพัฒนาไปในทางไหนครับ

Q : คิดว่าเรื่องการแสดงตรงไหนที่เราต้องรีบพัฒนาโดยด่วน?
A : เรื่องการตีบท การเข้าใจในบทบาทที่เราได้มาครับ ถามว่าคิดจะไปเรียนเพิ่มเติมไหมก็แน่นอนครับ ตอนนี้กำลังถ่ายละคร "ชาติพยัคฆ์" อยู่ ก็ได้เรียนเพิ่มเติมจากพี่นก (ฉัตรชัย เปล่าพานิช) เขาก็บอกว่าอะไรที่มันผ่านไปแล้วอย่าไปซีเรียส เรามาสู้กันเถอะอะไรแบบนี้ครับ จะได้ทำความเข้าใจในบทเรื่องชาติพยัคฆ์มากขึ้น ตอนที่เราเห็นผลงานตัวเองเรื่องสุดแค้นแสนรัก เราก็จะเห็นปัญหาเรื่องตัวเองว่าเราขาดอะไรบ้าง เราก็เลยทำเรื่องชาติพยัคฆ์ให้ดีขึ้นครับ

Q : คนมองว่าผู้ใหญ่ผลักดันเราพอสมควรเหมือนกัน?
A : ผมว่าผู้ใหญ่ก็คงมีเหตุผลของเขามั้งครับ ผมก็มีหน้าที่แสดง ผมก็พยายามทำหน้าที่นักแสดงให้ดีที่สุดครับ ถามว่าผู้ใหญ่มีเรียกเข้าไปคุยถึงเรื่องกระแสเกี่ยวกับการแสดงของเราไหมไม่มีครับ ที่คุยก็จะมีแค่ผู้กำกับ พี่หนุ่ม พี่นก ครับ

Q : หลายคนสงสัยว่าเราเป็นเพศที่ 3 รึเปล่า?
A : (หัวเราะ) ก็เคยได้ยินมาบ้าง ขนาดเพื่อนสนิทผมยังล้อเลย ผมก็บอกเฮ้ย ไม่ได้เป็น (ยิ้ม) ยืนยันว่าชอบผู้หญิงและยังไม่มีแฟนครับ ยังไม่มีใครเอา (ยิ้ม)

แถม

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.komchadluek.net/detail/20150529/207078.html

เมื่อดูผลงานการแสดงของตัวเองในละครเรื่อง "สุดแค้นแสนรัก" แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง อาโปบอกว่า "ผมว่าการแสดงของผมสามวันดีสี่วันไข้มาก (หัวเราะ) ดีบ้างไม่ดีบ้าง (มีฉากไหนที่คิดว่ายังดีไม่พอบ้าง) เอาจริงๆ นะ ผมอยากกลับไปถ่ายแก้ไขทุกฉากเลย ผมว่าตัวเองยังเล่นไม่ดีพอ ถ้าต้องให้คะแนนตัวเองจากที่ผ่านมา ผมให้ 7 คะแนนนะ เต็ม 10 นะ (ยิ้ม) ในความรู้สึกของผมตอนที่ถ่ายทำผมเครียดมาก แต่พอผลรับออกมามันดีเกินคาด  ผลงานของละครมันดีกว่าที่คิดไว้มาก ผมจะพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ และปรับใช้ต่อไปในอนาคต" อาโปกล่าวสรุป

http://pantip.com/topic/33661199

ในเรื่อกระทิง อาโปรับบทเป็นพ่อพี่เคน ตอนหนุ่ม แอคติ้งโค้ชหลี่เจิน ซึ่งส่วนใหญ่จะประจำที่ค่ายพี่อ๊อฟ เคยเป็นแอคติ้งโค้ชให้เด็กๆในทองเนื้อเก้า ให้สัมภาษณ์นักแสดงเลือดใหม่ในซีรี่ส์นี้

อาโป นี่เป็นศิษย์รักศิษย์แค้นเลยนะ เราเกลียดเด็กคนนี้มาก เราพูดเลย ความรู้สึกแรกที่เจอเค้ามีภาพอะไรไม่รู้อยู่ในตัวเค้าเต็มไปหมด
แบบภาพที่กลัวจะดูไม่ดี ดูไม่หล่อ มันหนาจนเราอยากจะยืนห่างผู้ชายคนนี้สัก100เมตร เรียกเราประโยคแรกว่าคุณ ไม่เรียกครูนะ คือฟังแล้ว
คุณคืออะไรคะ ก็เลยบอกกับผู้จัดการเค้าว่า อย่าถ่วง ณิชา กับ มาสุเลย เด็กคนนี้ไม่ไหวนะ แต่เค้าติ๊อมากขนาดเราไล่ก็ไม่ไป เราก็พูดแรงมากจริงๆ
แล้วการแสดงมันคือความธรรมชาติ เมื่อไรที่คุณหาธรรมชาติเจอเนี่ย คุณจะเจอการแสดงที่ใช้ไปได้ทั้งชีวิต แต่เมื่อตัวคุณเองไม่เจอธรรมชาติในตัวคุณ
เองเลยแล้วคุณจะไปรู้จักธรรมชาติตัวละครได้ยังไง '' แต่หลังจากนั้นครูก็ชมว่ามีพัฒนาการดีขึ้นเรื่อยๆ ต้องรอติดตามของจริงในละคร

http://www.dailynews.co.th/entertainment/324567

ตอนนี้พอละครออกอากาศไปแล้ว คนรู้จักมากขึ้น ชีวิตเปลี่ยนไปมั้ย? “ผมก็ยังทำตัวเหมือนเดิมครับ กินข้าวแกงข้างถนนได้ ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก เพียงแต่ว่าคนรู้จักเรามากขึ้น และเมื่อมีคนรู้จักเรามากขึ้น คนจับตามองเรามากขึ้น เด็ก ๆ เอาเราเป็นไอดอล เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะวางตัวเองให้เหมาะสมมากขึ้น และโดยเฉพาะเรื่องเรียน ผมเองคิดว่าทุกคนต้องมีความรู้นะ ผมเองก็พยายามที่จะจัดวางทุกอย่างให้อยู่ในที่เหมาะสม เหมือนพ่อแม่ และคนรอบข้างปลูกฝังเรามา”

คิดว่าตัวเองมีมุมมืดหรือจุดเสียกับเขามั้ย? “ความหล่อ (หัวเราะ) ล้อเล่นครับ ผมว่าทุกคนมี ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่อย่างหนึ่งที่ทุกคนมีเลยคือ เรื่องอารมณ์ ผมว่าทุกคนถ้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้จะทำให้ทุกอย่างพัง อย่างผมเองก็คือผมควบคุมได้ มีสติ เพราะว่าแม่ พ่อ พาเข้าวัดตั้งแต่เด็ก เขาสอนให้นั่งสมาธิ ซึ่งการนั่งสมาธิเป็นงานอดิเรกของผมเลยนะ ว่างผมก็นั่ง มันเลยทำให้ผมใจเย็น คือถ้าผมอยู่ในสถานการณ์ที่เพื่อนใจร้อน ผมก็จะใจเย็น คือตั้งแต่เด็กมาเลย ผมไม่เคยมีเรื่องชกต่อยกับใคร”

มองวงการนี้ยังไง ก่อนเข้ามากับเข้ามาได้ทำงานแล้ว? “คือสมัยนี้โซเชียลมันเยอะ ผมว่าคนที่อยากจะเข้าวงการนี้มันก็ไม่ยากอย่างเมื่อก่อน เพราะถ้าอยากจะโชว์อะไร ที่เป็นความสามารถของตัวเอง ก็ถ่ายแล้วอัพลงได้เลย แต่สำหรับผมกับวงการนี้ ผมได้ประสบการณ์ของชีวิตมากขึ้น ได้ทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำ เราอยากได้น้ำใจจากคนเราก็ได้ แต่พอเราได้มา เราก็ต้องส่งคืนต่อสังคมด้วย คือผมมองว่าวงการนี้อยู่ได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย ทุกอย่างอยู่ที่การวางตัวให้เหมาะสม และต้องพัฒนาตัวเองด้วยครับ และอีกอย่างที่ผมอยากจะทำเมื่อผมมีโอกาส คือการได้ช่วยเหลือสังคม อย่างสมมุตินะครับ ถ้าผมไปทำบุญหรือไปร่วมงานในสถานสงเคราะห์ที่ยังไม่ดัง ไม่มีใครรู้จักสักที่หนึ่ง ผมก็เหมือนเป็นกระบอกเสียงให้ตรงนั้นได้ ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบทำอะไรเพื่อคนอื่นนะ ไม่ได้สร้างภาพนะครับ เอาเป็นว่าถ้าผมมีโอกาสผมทำแน่นอน”“