ทริปนี้เกิดขึ้นตั้งแต่กลางปีที่แล้วแต่เจ้าของกระทุ้ยังไม่มีโอกาสที่จะนำมาโพสต์ เนื่องจากติดภาระหลายอย่างแต่พอได้อ่านกระทู้ของสมาชิกหลายท่านแล้วจึงมองว่าเราควรจะนำมาลงบ้างเผื่อจะมีประโยชน์กับท่านที่ต้องการเดินทางหรือมีแผนจะเดินทางไปเที่ยวแถบนั้น กระทู้แรกผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
ทริปนี้เป็นการเดินทางโดยเครื่องบินออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิตเพื่อไปเยี่ยมเพื่อนที่เมืองเบรเมน (Bremen) ประเทศเยอรมนี รู้สึกทั้งตื่นเต้นและกังวลใจอย่างมาก และด้วยมีเวลาเตรียมตัวที่สั้นมากเพียงเดือนเศษเท่านั้นเรียกได้ว่ากระชั้นชิดสุดๆ ทั้งการจองตั๋วเครื่องบิน(แน่นอนด้วยเวลาเพียงเท่านี้ราคาแพงอย่างไม่ต้องสงสัย) การเตรียมเอกสารเพื่อขอวีซ่าเชงเก้น การซื้อประกันภัยการเดินทาง คือยื่นเอกสารให้กับทางสถานทูตเพียง 1 สัปดาห์ก่อนบิน โดยขอเป็นประเภทวีซ่าท่องเที่ยว เพราะดูน่าจะสะดวกสุดแล้ว คือตั้งใจจะพักที่บ้านของเพื่อน แต่ด้วยความที่ขอเป็นวีซ่าท่องเที่ยวจึงขอให้เพื่อนช่วยจองโรงแรมในเมืองให้หน่อย(ต้องการเอกสารยื่นกับสถานทูต) แต่พอเอาเข้าจริงเจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าต้องการพักที่บ้านของเพื่อนก็แค่ให้เพื่อนเขียนหนังสือเชิญมาแค่ 1 แผ่นพร้อมลายเซ็นก็จบแล้ว แต่ไม่ทันละคับไม่มีเวลาแล้วเจ้าหน้าที่ก็ เออ เออ ให้ผ่านได้(สถานทูตมีเวลา 5 วันในการออกวีซ่า) เย้ ีใจจุง หลังจากได้วีซ่ามาเพียง 3 วันก็ถึงเวลาเดินทางพอดี
การเดินทาง
ขาไป บินกับสายการบิน KLM Royal Dutch Airline จากสนามบินสุวรรณภูมิแวะเปลี่ยนเครื่องที่ Schiphol Airport เมืองAmsterdam Netherlands จากนั้นนั่งเครื่องบิน KLM ต่อไปยังเมืองเบรเมน
ขากลับ บินกับสายการบิน Air France จากสนามบินเมืองเบรเมนแวะเปลี่ยนเครื่องที่ CDG Airport Paris ฝรั่งเศส จากนั้นนั่งเครื่อง Air France ต่อมายังกรุงเทพฯ
ราคาตั๋วเครื่องบิน 32900 บาทถ้วนสำหรับ Economy Class (ฮือๆๆและ แงๆ)
8/6/57 ตื่นนอนแต่เช้าตรู่ สะพายกระเป๋าเป้ และกระเป๋าเดินทางใบเล็กอีก 1 ใบขึ้น TAXI ตรงไปสนามบินสุวรรณภูมิเพราะเจ้าหน้าที่ของสายการบินแจ้งว่าควรมาถึงสนามบินก่อนเวลาขึ้นเครื่อง 5 ชัวโมงเลย เราก็ไม่เคยเดินทางไปไกลแบบนี้ก็เลยทำตามที่เจ้าหน้าที่บอกมาถึงตั้งแต่ 6.30 น. (เครื่องออกตอนเที่ยงวัน) เข้าไปเช็คอินที่เครื่องเช็คอินอัตโนมัติโดยมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำอยู่ เราสามารถเปลี่ยนที่นั่งจากตรงนี้ได้แต่เราจองที่นั่งตรงปีกแล้วเนื่องจากทราบมาว่าตรงปีกเครื่องเป็นส่วนที่มีความแข็งแรงที่สุดและมีการโคลงเคลงน้อยที่สุดด้วย จากนั้นเครื่องจะพิมพ์ Broading Pass ออกมาให้และเราจะใช้เจ้าแผ่นนี้ในการขึ้นเครื่องบิน เสร็จแล้วก็มาเข้าแถวเพื่อโหลดการเป๋าเข้าใต้ท้องเครื่องกับเจ้าหน้าที่เคาเตอร์ ไม่น่าเชื่อกระเป๋าเดินทางใบเล็กของเจ้าของกระทู้หนักแค่ 7 kg ขณะที่สามารถเอาสัมภาระหนักถึง 20 kg โหลดได้ (ทำไมตอนลากมารู้สึกว่ามันหนักจัง)

จากนั้นก็โหลดกระเป๋าไปตามสายพานเข้าสู่ท้องเครื่องต่อไป เสร็จแล้วเราก็ขึ้นบันไดเลื่อนมาอีกชั้นเพื่อเข้าสู่ Immigration และผ่านเครื่องสแกนโลหะ เจ้าหน้าที่ไม่ได้เปิดกระเป๋าดูเลย ใช้เวลาน้อยมากๆ ก็เสร็จแล้ว เราเดินไปรอที่ Gate F6 ซึ่งอยู่ไกลสุดของทางเดินเลยทีเดียว เพื่อรอขึ้นเครื่องด้วยความที่มาเช้ามากเลยเจอแต่พนักงานทำความสะอาดสนามบินเท่านั้น (แล้วให้มาทำไมแต่เช้าเนี่ย งง) เพิ่ง 7 โมงเศษเอง ทำไงดีจะไปเดินเล่นก็ขี้เกียจ เลยนั่งดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย จนประมาณ 8.30 น. มีผู้โดยสารสองสามีภรรยา อายุน่าจะเกือบ 50 แล้วเดินมาที่ Gate F6 (ซึ่งยังไม่เปิด)เหมือนกัน เราเลยเข้าไปคุยด้วยเพราะนึกว่าเป็นคนไทย แต่จริงๆแล้วทั้งคู่เป็นคนลาว มาจากหลวงพระบางและจะเดินทางไปเยี่ยมลูกสาวที่เมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ คือนั่งเครื่องบินจากหลวงพระบางมาที่เวียงจันทร์ จากนั้นนั่งเครื่องบินจากเวียงจันทร์มากรุงเทพฯ จากนั้นนั่งเครื่องจากกรุงเทพฯ ไป Amsterdam จากนั้นนั่งเครื่องต่อไปยังเมืองเจนีวา โอ้โหตั้ง 4 ทอดตายๆ นี่ขนาด 2 ต่อก็แทบแย่แล้ว ทั้งคู่คุยเป็นกันเอง ผมชอบฟังตอนเขาพูดจัง สำเนียงออกเนือยๆ ฟังสบาย เกือบ 10 โมงคนเริ่มทยอยมามากขึ้นและมากขึ้นส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง มีคนไทยบ้างประปราย พอ 11 โมง Gate เปิดคนเริ่มทยอยลงไปนั่งรอด้านล่างเพื่อรอขึ้นเครื่อง ตอนนี้เครื่องบินมาจอดรอแล้ว เป็นเครื่อง Boing777-300 ลำสีฟ้าขนาดเหมือนจะไม่ใหญ่เมื่อมองจากภายในอาคารแต่จริงๆแล้วลำใหญ่นะ

11 โมงครึ่งได้เวลาขึ้นเครื่องโดยผู้โดยสารชั้นหนึ่งกับชั้นธุรกิจขึ้นไปก่อน จากนั้นก็เป็นกลุ่มผู้โดยสารที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เช่น บาดเจ็บ ขาหัก หรือมีเด็กทารกมาด้วยเป็นต้น สุดท้ายค่อยเป็นกลุ่มใหญ่ Economy อย่างเรา พอถึงประตูทางเข้าเจอแอร์โฮสเตสทักทาย "Good morning Boy" พร้อมกับรอยยิ้มจริงใจ เอ......นี่เราหน้าเด็กหรืออย่างไร ฮิฮิ...เขาคงเข้าใจว่าเป็นเด็กนักเรียนไปเรียนต่อล่ะมั้ง ขอบอกว่าแอร์โฮสเตสตัวสูงมากๆๆ น่าจะเกิน 190 cm แต่อายุมากแล้วทุกคนเลย 35 up แต่นั่นไม่น่าใช่ปัญหาแต่อย่างใด จากนั้นก็เดินมายังที่นั่งของตัวเองซึ่งหาได้ไม่ยาก ตรงดิ่งมายังปีกก่อนเลย เรานั่งติดริมหน้าต่างด้วย ดีล่ะจะถ่ายภาพวิวสวยๆไปฝากเพื่อนที่ทำงาน แต่บ่ายวันนั้นอากาศมีเมฆมากภาพที่ถ่ายออกมาจากบนเครื่องเลยไม่ค่อยชัดบวกกับฝีมือในการถ่ายภาพที่ไม่เอาไหนด้วย

ภายในห้องโดยสารดูสะอาดดีแม้ว่าจะไม่ใหม่เอี่ยมก็ตามสังเกตจากจอมอนิเตอร์ก็รู้ว่าผ่านการใช้งานมามากแค่ไหน

พอใกล้เวลา Take off พบว่าที่นั่งตรงกลางว่าง(จาก 3 ที่ทางด้านซ้ายส่วนที่นั่งถัดไปเป็นฝรั่งผู้ชายตัวสูง ที่เอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียวไม่สนใจใครเลย) จากนั้นเครื่องก็เดินทางมุ่งหน้าสู่ Amsterdam ทันที เราซึ่งไม่เคยขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศก็กลัวๆ ว่าจะเมาเครื่องหรือเปล่า แต่ผิดคาดฮะ เครื่องบินขึ้นนิ่มมากๆ มีแค่อาการหูอื้อเท่านั้น

พอถึงเพดานบินเแอร์ก็เริ่มเสริฟ เครื่องดื่ม ตามด้วยอาหาร หน้าตาดูดีแต่รสชาติไม่ถูกปากเอาซะเลย เข้าใจว่าเขาทำเพื่อคนยุโรปซึ่งเป็นผู้โดยสารกลุ่มหลักและอาจเพราะเจ้าของกระทู้เกลียดมัสตาร์ด นี่เป็นข้อเสียอย่างเดียวของ KLM (ไม่รวมแอร์อายุมาก) แต่การบริการถือว่าดีเยี่ยมเลยครับใช้เวลาเดินทางจาก กรุงเทพฯ ถึง Amsterdam ประมาณ 8 ชัวโมงเหนื่อยเอาการ เดินไปเข้าห้องน้ำ 3 รอบ(ยิ่งดื่มไวน์ยิ่งเข้าบ่อย) ดูหนัง ฟังเพลง ตกหลุมอากาศหลายหน งีบหลับหลายต่อหลายครั้งก็ยังไม่ถึงซะที

เครื่องบินลงจอดที่สนามบิน Schiphol ใน Amsterdam Netherland ไม่ได้ดูเวลาแต่เป็นช่วงประมาณเที่ยงของที่โน่น เราต้องไปต่อเครื่องด้วยความที่ไม่เคยไปต่างประเทศ เราจึงเดินตามคนกลุ่มใหญ่ไป ปรากฏว่าหลงไปที่ Arrival Hall เพราะเข้าใจผิดว่าจะต้องไปรับกระเป๋าที่โหลดไว้ก่อน(กระเป๋าไปรอที่เครื่องอีกลำเรียบร้อยแล้ว) เจ้าหน้าที่เขา ทำหน้าบึ้งๆแล้วชี้ให้ไปอีกฝั่ง บอก You ต้องไปที่ Departure Hall เพื่อ Transit ผู้โดยสารที่เขารอตรวจ Passport เขาก็ใจดีนะชี้มือไปว่าต้องขึ้นบันไดเลื่อนกลับไปทางเดิมที่เดินมา เรารีบวิ่งเลยครับ กลัวจะไม่ทันแต่ว่ามันไกลมากๆ เหนื่อยแทบตาย (เรามีเวลาเปลี่ยนเครื่อง 2.40 ชั่วโมง) ในที่สุดก็มาถึงหอบ แฮ๊กๆ ให้จำ Gate เอานะครับว่าเราขึ้นเครื่องที่ Gate ไหน รอคิวเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง พอถึงคิงเจ้าหน้าที่เอา Passport เราไปและเชิญไปสัมภาษณ์ข้างใน เราตกใจมาก(ความจริงคือ Passport เราใหม่เอี่ยม และไม่เคยเข้าประเทศ EU มาก่อนเจ้าหน้าที่จึงต้องเชิญเข้าไปสอบถาม กลัวจะเป็นพวกลักลอบเข้าเมืองละมั้ง) เขาถามละเอียดมากว่ามาทำอะไร พักที่ไหน กลับยังไงสายการบินอะไร ต่อเครื่องที่ไหน พกเงินมาเท่าไหร่(มีงี้ด้วย งง) เขาต้องการดูเอกสารการจองห้องพักด้วยแต่เนื่องจากตัวจริงส่งให้กับสถานทูตตอนขอวีซ่าและไม่ได้ Print มาเผื่อไว้ เลยแจ้งว่าต้อง Print จาก E-mail เขาเอา Passport เราเข้าไปเช็คอะไรอีกพักใหญ จึงกลับมาบอกว่าผ่านแล้ว เย้ เย้ เรากลับมาต่อคิวเพื่อประทับตราที่ Passport อีกรอบในระหว่างนั้นเราสังเกตเห็นผู้หญิงเอเชียคนหนึ่ง (น่าจะเป็นคนไทยหรือไม่ก็ฟิลิปปินส์)ถูกกักตัวไว้สัมภาษณ์ก่อนหน้าเรา และยังสัมภาษณ์ไม่เสร็จ เราผ่านเครื่องสแกน เจ้าหน้าที่เปิดดูในกระเป๋าเป้แต่ไม่ได้รื้อดูอะไรมาก เสร็จแล้วก็ตรงไปที่ Gate เพื่อรอขึ้นเครื่อง ปรากฏว่ามีเวลาเหลือตั้งเกือบชั่วโมงครึ่ง โหนี่เราอุตส่าห์วิ่งแทบตาย แต่ว่าที่ Gate ก็มีผู้โดยสารหลายคนรออยู่ก่อนแล้ว เรานั่งรออยู่พักใหญ่จึงเห็นผู้หญิงที่ถูกกักตัวไว้สัมภาษณ์ก่อนหน้าเรานั้นเดินผ่านไป สงสัยอยู่ว่าผู้หญิงเขาสัมภาษณ์านานกว่าผู้ชายนะ เรานั่งรอต่อไปจนเกือบถึงเวลาขึ้นเครื่อง Gate เปิดเจ้าหน้าที่สายการบินตรวจสอบ Broading Pass ก่อนให้ผู้โดยสารทยอยเดินลงไปขึ้นเครื่อง แต่พอเดินลงมา อ้าวต้องมาขึ้นรถ Bus ของสนามบินและขับพาเรามาขึ้นเครื่องบิน KLM ลำเล็กซึ่งจอดอยู่อีกที่หนึ่งซึ่งไกลจากอาคารผู้โดยสารขาออกพอสมควร เราขึ้นเครื่องบินเล็กลำนั้นซึ่งน่าจะมีประมาณ 60 ที่นั่งมีกัปตัน สจ๊อตและแอร์โฮสเตจ รวม 3 คนมุ่งหน้าสู่เมืองเบรเมนของเยอรมันต่อ ตอนบินขึ้นเรารู้สึกเวียนหัวดีที่ไม่อาเจียน มันต่างกับตอนที่นั่งเครื่องใหญ่จากกรุงเทพฯ มาที่ Amsterdam มาก ตลอดเวลาที่อยุ่บนเครื่องแทบไม่กล้ามองออกนอกหน้าต่างกลัวจะอาเจียนแม้ว่าอยากจะดูวิวสวยๆของเมืองแห่งกังหันลมที่นี่แค่ไหนก็ตาม ใช้เวลาประมาณชัวโมงครึ่งถึงสนามบินเมืองเบรเมน ลงจากเครื่องก็มารอรับกระเป๋าที่โหลดไว้ตั้งแต่ตอนแรก แต่ไม่ต้องผ่าน ตม.ของที่นี่แล้วเดินออกตรงทางออกนอกสนามบินได้เลย เพื่อนมารอรับอยู่แล้วดีใจมากๆๆๆ จนลืมดูว่ากระเป๋าเดินทางของเราหูหิ้วแตก อาจโดนกระแทกตอนขนส่ง และกระเป๋าเองก็มีอายุหลายปีแล้วด้วย เรานั่งรถเพื่อนกลับมายังบ้านพักซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับสนามบิน ประมาณ 20 นาทีก็ถึงถึงห้องประมาณ 16.00 น ของที่โน่น

พักเหนื่อยประมาณ 1 ชัวโมงเพื่อนชวนลงไปเดินเล่นแถวที่พัก เราเดินเลาะไปตามแม่น้ำแวร์เซอร์ไปเรื่อยๆ แดดแรงแต่อากาศออกเย็นๆ เห็นฝรั่งออกมานอนอาบแดดหลายคน บ้านเรือนแบบเยอรมันริมฝั่งแม่น้ำในเขตเมืองเก่านั้นงดงามมาก(และราคาแพงมากเช่นกัน) เราเดินไปเรื่อยจนมองเห็นสเตเดียมของสโมสรฟุตบอลเวเดอร์ เบรเมน สโมสรชื่อดังในลีกของเยรมัน เขาใช้พลังงานทั้งหมดในสนามจากแผงโซลาร์เซลล์ที่ติดอยู่ด้านนอกโดยรอบสเตเดียม(ลืมถ่ายรูปได้ไงเนี่ย) คือเขาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมอย่างมาก กิจกรรมใดๆที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะไม่สามารถทำได้ หรือต้องเสียภาษีในอัตรามหาโหด (ในเยอรมันภาษีปกติอยู่ที่ 19 เปอร์เซ็น)
ลั้นลา เที่ยวเบรเมน เบอร์ลิน ฮัมบูร์ก เสน่ห์แห่งเยอรมันตอนเหนือ แถมด้วยเอมเมน เมืองน่ารักและเงียบสงบแห่งเนเธอร์แลนด์
ทริปนี้เป็นการเดินทางโดยเครื่องบินออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิตเพื่อไปเยี่ยมเพื่อนที่เมืองเบรเมน (Bremen) ประเทศเยอรมนี รู้สึกทั้งตื่นเต้นและกังวลใจอย่างมาก และด้วยมีเวลาเตรียมตัวที่สั้นมากเพียงเดือนเศษเท่านั้นเรียกได้ว่ากระชั้นชิดสุดๆ ทั้งการจองตั๋วเครื่องบิน(แน่นอนด้วยเวลาเพียงเท่านี้ราคาแพงอย่างไม่ต้องสงสัย) การเตรียมเอกสารเพื่อขอวีซ่าเชงเก้น การซื้อประกันภัยการเดินทาง คือยื่นเอกสารให้กับทางสถานทูตเพียง 1 สัปดาห์ก่อนบิน โดยขอเป็นประเภทวีซ่าท่องเที่ยว เพราะดูน่าจะสะดวกสุดแล้ว คือตั้งใจจะพักที่บ้านของเพื่อน แต่ด้วยความที่ขอเป็นวีซ่าท่องเที่ยวจึงขอให้เพื่อนช่วยจองโรงแรมในเมืองให้หน่อย(ต้องการเอกสารยื่นกับสถานทูต) แต่พอเอาเข้าจริงเจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าต้องการพักที่บ้านของเพื่อนก็แค่ให้เพื่อนเขียนหนังสือเชิญมาแค่ 1 แผ่นพร้อมลายเซ็นก็จบแล้ว แต่ไม่ทันละคับไม่มีเวลาแล้วเจ้าหน้าที่ก็ เออ เออ ให้ผ่านได้(สถานทูตมีเวลา 5 วันในการออกวีซ่า) เย้ ีใจจุง หลังจากได้วีซ่ามาเพียง 3 วันก็ถึงเวลาเดินทางพอดี
การเดินทาง
ขาไป บินกับสายการบิน KLM Royal Dutch Airline จากสนามบินสุวรรณภูมิแวะเปลี่ยนเครื่องที่ Schiphol Airport เมืองAmsterdam Netherlands จากนั้นนั่งเครื่องบิน KLM ต่อไปยังเมืองเบรเมน
ขากลับ บินกับสายการบิน Air France จากสนามบินเมืองเบรเมนแวะเปลี่ยนเครื่องที่ CDG Airport Paris ฝรั่งเศส จากนั้นนั่งเครื่อง Air France ต่อมายังกรุงเทพฯ
ราคาตั๋วเครื่องบิน 32900 บาทถ้วนสำหรับ Economy Class (ฮือๆๆและ แงๆ)
8/6/57 ตื่นนอนแต่เช้าตรู่ สะพายกระเป๋าเป้ และกระเป๋าเดินทางใบเล็กอีก 1 ใบขึ้น TAXI ตรงไปสนามบินสุวรรณภูมิเพราะเจ้าหน้าที่ของสายการบินแจ้งว่าควรมาถึงสนามบินก่อนเวลาขึ้นเครื่อง 5 ชัวโมงเลย เราก็ไม่เคยเดินทางไปไกลแบบนี้ก็เลยทำตามที่เจ้าหน้าที่บอกมาถึงตั้งแต่ 6.30 น. (เครื่องออกตอนเที่ยงวัน) เข้าไปเช็คอินที่เครื่องเช็คอินอัตโนมัติโดยมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำอยู่ เราสามารถเปลี่ยนที่นั่งจากตรงนี้ได้แต่เราจองที่นั่งตรงปีกแล้วเนื่องจากทราบมาว่าตรงปีกเครื่องเป็นส่วนที่มีความแข็งแรงที่สุดและมีการโคลงเคลงน้อยที่สุดด้วย จากนั้นเครื่องจะพิมพ์ Broading Pass ออกมาให้และเราจะใช้เจ้าแผ่นนี้ในการขึ้นเครื่องบิน เสร็จแล้วก็มาเข้าแถวเพื่อโหลดการเป๋าเข้าใต้ท้องเครื่องกับเจ้าหน้าที่เคาเตอร์ ไม่น่าเชื่อกระเป๋าเดินทางใบเล็กของเจ้าของกระทู้หนักแค่ 7 kg ขณะที่สามารถเอาสัมภาระหนักถึง 20 kg โหลดได้ (ทำไมตอนลากมารู้สึกว่ามันหนักจัง)
จากนั้นก็โหลดกระเป๋าไปตามสายพานเข้าสู่ท้องเครื่องต่อไป เสร็จแล้วเราก็ขึ้นบันไดเลื่อนมาอีกชั้นเพื่อเข้าสู่ Immigration และผ่านเครื่องสแกนโลหะ เจ้าหน้าที่ไม่ได้เปิดกระเป๋าดูเลย ใช้เวลาน้อยมากๆ ก็เสร็จแล้ว เราเดินไปรอที่ Gate F6 ซึ่งอยู่ไกลสุดของทางเดินเลยทีเดียว เพื่อรอขึ้นเครื่องด้วยความที่มาเช้ามากเลยเจอแต่พนักงานทำความสะอาดสนามบินเท่านั้น (แล้วให้มาทำไมแต่เช้าเนี่ย งง) เพิ่ง 7 โมงเศษเอง ทำไงดีจะไปเดินเล่นก็ขี้เกียจ เลยนั่งดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย จนประมาณ 8.30 น. มีผู้โดยสารสองสามีภรรยา อายุน่าจะเกือบ 50 แล้วเดินมาที่ Gate F6 (ซึ่งยังไม่เปิด)เหมือนกัน เราเลยเข้าไปคุยด้วยเพราะนึกว่าเป็นคนไทย แต่จริงๆแล้วทั้งคู่เป็นคนลาว มาจากหลวงพระบางและจะเดินทางไปเยี่ยมลูกสาวที่เมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ คือนั่งเครื่องบินจากหลวงพระบางมาที่เวียงจันทร์ จากนั้นนั่งเครื่องบินจากเวียงจันทร์มากรุงเทพฯ จากนั้นนั่งเครื่องจากกรุงเทพฯ ไป Amsterdam จากนั้นนั่งเครื่องต่อไปยังเมืองเจนีวา โอ้โหตั้ง 4 ทอดตายๆ นี่ขนาด 2 ต่อก็แทบแย่แล้ว ทั้งคู่คุยเป็นกันเอง ผมชอบฟังตอนเขาพูดจัง สำเนียงออกเนือยๆ ฟังสบาย เกือบ 10 โมงคนเริ่มทยอยมามากขึ้นและมากขึ้นส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง มีคนไทยบ้างประปราย พอ 11 โมง Gate เปิดคนเริ่มทยอยลงไปนั่งรอด้านล่างเพื่อรอขึ้นเครื่อง ตอนนี้เครื่องบินมาจอดรอแล้ว เป็นเครื่อง Boing777-300 ลำสีฟ้าขนาดเหมือนจะไม่ใหญ่เมื่อมองจากภายในอาคารแต่จริงๆแล้วลำใหญ่นะ
11 โมงครึ่งได้เวลาขึ้นเครื่องโดยผู้โดยสารชั้นหนึ่งกับชั้นธุรกิจขึ้นไปก่อน จากนั้นก็เป็นกลุ่มผู้โดยสารที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เช่น บาดเจ็บ ขาหัก หรือมีเด็กทารกมาด้วยเป็นต้น สุดท้ายค่อยเป็นกลุ่มใหญ่ Economy อย่างเรา พอถึงประตูทางเข้าเจอแอร์โฮสเตสทักทาย "Good morning Boy" พร้อมกับรอยยิ้มจริงใจ เอ......นี่เราหน้าเด็กหรืออย่างไร ฮิฮิ...เขาคงเข้าใจว่าเป็นเด็กนักเรียนไปเรียนต่อล่ะมั้ง ขอบอกว่าแอร์โฮสเตสตัวสูงมากๆๆ น่าจะเกิน 190 cm แต่อายุมากแล้วทุกคนเลย 35 up แต่นั่นไม่น่าใช่ปัญหาแต่อย่างใด จากนั้นก็เดินมายังที่นั่งของตัวเองซึ่งหาได้ไม่ยาก ตรงดิ่งมายังปีกก่อนเลย เรานั่งติดริมหน้าต่างด้วย ดีล่ะจะถ่ายภาพวิวสวยๆไปฝากเพื่อนที่ทำงาน แต่บ่ายวันนั้นอากาศมีเมฆมากภาพที่ถ่ายออกมาจากบนเครื่องเลยไม่ค่อยชัดบวกกับฝีมือในการถ่ายภาพที่ไม่เอาไหนด้วย
ภายในห้องโดยสารดูสะอาดดีแม้ว่าจะไม่ใหม่เอี่ยมก็ตามสังเกตจากจอมอนิเตอร์ก็รู้ว่าผ่านการใช้งานมามากแค่ไหน
พอใกล้เวลา Take off พบว่าที่นั่งตรงกลางว่าง(จาก 3 ที่ทางด้านซ้ายส่วนที่นั่งถัดไปเป็นฝรั่งผู้ชายตัวสูง ที่เอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียวไม่สนใจใครเลย) จากนั้นเครื่องก็เดินทางมุ่งหน้าสู่ Amsterdam ทันที เราซึ่งไม่เคยขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศก็กลัวๆ ว่าจะเมาเครื่องหรือเปล่า แต่ผิดคาดฮะ เครื่องบินขึ้นนิ่มมากๆ มีแค่อาการหูอื้อเท่านั้น
พอถึงเพดานบินเแอร์ก็เริ่มเสริฟ เครื่องดื่ม ตามด้วยอาหาร หน้าตาดูดีแต่รสชาติไม่ถูกปากเอาซะเลย เข้าใจว่าเขาทำเพื่อคนยุโรปซึ่งเป็นผู้โดยสารกลุ่มหลักและอาจเพราะเจ้าของกระทู้เกลียดมัสตาร์ด นี่เป็นข้อเสียอย่างเดียวของ KLM (ไม่รวมแอร์อายุมาก) แต่การบริการถือว่าดีเยี่ยมเลยครับใช้เวลาเดินทางจาก กรุงเทพฯ ถึง Amsterdam ประมาณ 8 ชัวโมงเหนื่อยเอาการ เดินไปเข้าห้องน้ำ 3 รอบ(ยิ่งดื่มไวน์ยิ่งเข้าบ่อย) ดูหนัง ฟังเพลง ตกหลุมอากาศหลายหน งีบหลับหลายต่อหลายครั้งก็ยังไม่ถึงซะที
เครื่องบินลงจอดที่สนามบิน Schiphol ใน Amsterdam Netherland ไม่ได้ดูเวลาแต่เป็นช่วงประมาณเที่ยงของที่โน่น เราต้องไปต่อเครื่องด้วยความที่ไม่เคยไปต่างประเทศ เราจึงเดินตามคนกลุ่มใหญ่ไป ปรากฏว่าหลงไปที่ Arrival Hall เพราะเข้าใจผิดว่าจะต้องไปรับกระเป๋าที่โหลดไว้ก่อน(กระเป๋าไปรอที่เครื่องอีกลำเรียบร้อยแล้ว) เจ้าหน้าที่เขา ทำหน้าบึ้งๆแล้วชี้ให้ไปอีกฝั่ง บอก You ต้องไปที่ Departure Hall เพื่อ Transit ผู้โดยสารที่เขารอตรวจ Passport เขาก็ใจดีนะชี้มือไปว่าต้องขึ้นบันไดเลื่อนกลับไปทางเดิมที่เดินมา เรารีบวิ่งเลยครับ กลัวจะไม่ทันแต่ว่ามันไกลมากๆ เหนื่อยแทบตาย (เรามีเวลาเปลี่ยนเครื่อง 2.40 ชั่วโมง) ในที่สุดก็มาถึงหอบ แฮ๊กๆ ให้จำ Gate เอานะครับว่าเราขึ้นเครื่องที่ Gate ไหน รอคิวเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง พอถึงคิงเจ้าหน้าที่เอา Passport เราไปและเชิญไปสัมภาษณ์ข้างใน เราตกใจมาก(ความจริงคือ Passport เราใหม่เอี่ยม และไม่เคยเข้าประเทศ EU มาก่อนเจ้าหน้าที่จึงต้องเชิญเข้าไปสอบถาม กลัวจะเป็นพวกลักลอบเข้าเมืองละมั้ง) เขาถามละเอียดมากว่ามาทำอะไร พักที่ไหน กลับยังไงสายการบินอะไร ต่อเครื่องที่ไหน พกเงินมาเท่าไหร่(มีงี้ด้วย งง) เขาต้องการดูเอกสารการจองห้องพักด้วยแต่เนื่องจากตัวจริงส่งให้กับสถานทูตตอนขอวีซ่าและไม่ได้ Print มาเผื่อไว้ เลยแจ้งว่าต้อง Print จาก E-mail เขาเอา Passport เราเข้าไปเช็คอะไรอีกพักใหญ จึงกลับมาบอกว่าผ่านแล้ว เย้ เย้ เรากลับมาต่อคิวเพื่อประทับตราที่ Passport อีกรอบในระหว่างนั้นเราสังเกตเห็นผู้หญิงเอเชียคนหนึ่ง (น่าจะเป็นคนไทยหรือไม่ก็ฟิลิปปินส์)ถูกกักตัวไว้สัมภาษณ์ก่อนหน้าเรา และยังสัมภาษณ์ไม่เสร็จ เราผ่านเครื่องสแกน เจ้าหน้าที่เปิดดูในกระเป๋าเป้แต่ไม่ได้รื้อดูอะไรมาก เสร็จแล้วก็ตรงไปที่ Gate เพื่อรอขึ้นเครื่อง ปรากฏว่ามีเวลาเหลือตั้งเกือบชั่วโมงครึ่ง โหนี่เราอุตส่าห์วิ่งแทบตาย แต่ว่าที่ Gate ก็มีผู้โดยสารหลายคนรออยู่ก่อนแล้ว เรานั่งรออยู่พักใหญ่จึงเห็นผู้หญิงที่ถูกกักตัวไว้สัมภาษณ์ก่อนหน้าเรานั้นเดินผ่านไป สงสัยอยู่ว่าผู้หญิงเขาสัมภาษณ์านานกว่าผู้ชายนะ เรานั่งรอต่อไปจนเกือบถึงเวลาขึ้นเครื่อง Gate เปิดเจ้าหน้าที่สายการบินตรวจสอบ Broading Pass ก่อนให้ผู้โดยสารทยอยเดินลงไปขึ้นเครื่อง แต่พอเดินลงมา อ้าวต้องมาขึ้นรถ Bus ของสนามบินและขับพาเรามาขึ้นเครื่องบิน KLM ลำเล็กซึ่งจอดอยู่อีกที่หนึ่งซึ่งไกลจากอาคารผู้โดยสารขาออกพอสมควร เราขึ้นเครื่องบินเล็กลำนั้นซึ่งน่าจะมีประมาณ 60 ที่นั่งมีกัปตัน สจ๊อตและแอร์โฮสเตจ รวม 3 คนมุ่งหน้าสู่เมืองเบรเมนของเยอรมันต่อ ตอนบินขึ้นเรารู้สึกเวียนหัวดีที่ไม่อาเจียน มันต่างกับตอนที่นั่งเครื่องใหญ่จากกรุงเทพฯ มาที่ Amsterdam มาก ตลอดเวลาที่อยุ่บนเครื่องแทบไม่กล้ามองออกนอกหน้าต่างกลัวจะอาเจียนแม้ว่าอยากจะดูวิวสวยๆของเมืองแห่งกังหันลมที่นี่แค่ไหนก็ตาม ใช้เวลาประมาณชัวโมงครึ่งถึงสนามบินเมืองเบรเมน ลงจากเครื่องก็มารอรับกระเป๋าที่โหลดไว้ตั้งแต่ตอนแรก แต่ไม่ต้องผ่าน ตม.ของที่นี่แล้วเดินออกตรงทางออกนอกสนามบินได้เลย เพื่อนมารอรับอยู่แล้วดีใจมากๆๆๆ จนลืมดูว่ากระเป๋าเดินทางของเราหูหิ้วแตก อาจโดนกระแทกตอนขนส่ง และกระเป๋าเองก็มีอายุหลายปีแล้วด้วย เรานั่งรถเพื่อนกลับมายังบ้านพักซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับสนามบิน ประมาณ 20 นาทีก็ถึงถึงห้องประมาณ 16.00 น ของที่โน่น
พักเหนื่อยประมาณ 1 ชัวโมงเพื่อนชวนลงไปเดินเล่นแถวที่พัก เราเดินเลาะไปตามแม่น้ำแวร์เซอร์ไปเรื่อยๆ แดดแรงแต่อากาศออกเย็นๆ เห็นฝรั่งออกมานอนอาบแดดหลายคน บ้านเรือนแบบเยอรมันริมฝั่งแม่น้ำในเขตเมืองเก่านั้นงดงามมาก(และราคาแพงมากเช่นกัน) เราเดินไปเรื่อยจนมองเห็นสเตเดียมของสโมสรฟุตบอลเวเดอร์ เบรเมน สโมสรชื่อดังในลีกของเยรมัน เขาใช้พลังงานทั้งหมดในสนามจากแผงโซลาร์เซลล์ที่ติดอยู่ด้านนอกโดยรอบสเตเดียม(ลืมถ่ายรูปได้ไงเนี่ย) คือเขาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมอย่างมาก กิจกรรมใดๆที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะไม่สามารถทำได้ หรือต้องเสียภาษีในอัตรามหาโหด (ในเยอรมันภาษีปกติอยู่ที่ 19 เปอร์เซ็น)