นกมูลไถ เที่ยวไปในถิ่นอื่น อันมิใช่ถิ่นหากิน ย่อมเป็นเช่นนี้แล

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค


สกุณัคฆีสูตร
ว่าด้วยอารมณ์โคจร
            
              [๖๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีแล้ว
เหยี่ยวโฉบลงจับนกมูลไถ โดยรวดเร็ว
ครั้งนั้น นกมูลไถกำลังถูกเหยี่ยวนำไป
ได้รำพันอย่างนี้ว่า เราเป็นคนอับโชค มีบุญน้อย
ที่เที่ยวไปในถิ่นของผู้อื่น อันมิใช่ถิ่นหากิน
ถ้าวันนี้เราไปเที่ยวในถิ่นอันเป็นของบิดาตน
ซึ่งควรเที่ยวไปไซร้ เหยี่ยวตัวนี้เราอาจต่อสู้ได้.
            
             เหยี่ยวจึงถามว่า แน่ะนกมูลไถ
ก็ถิ่นซึ่งเป็นของบิดาตน อันเป็นที่หากินของเจ้าเป็นเช่นไร?
            
             นกมูลไถตอบว่า คือ ที่ๆ มีก้อนดิน ซึ่งเขาทำการไถไว้.
            
             ครั้งนั้น เหยี่ยวหยิ่งในกำลังของตน อวดอ้างกำลังของตน ปล่อยนกมูลไถไป
พร้อมด้วยบอกว่า เจ้าจงไปเถิดนกมูลไถ เจ้าจะไปแม้ในที่นั้นก็ไม่พ้นเราได้
             นกมูลไถจึงไปยังที่ๆ มีก้อนดินซึ่งเขาทำการไถไว้
ขึ้นสู่ก้อนดินก้อนใหญ่ ยืนท้าเหยี่ยวอยู่ว่า

             แน่ะเหยี่ยว บัดนี้ท่านจงมาจับเราเถิด

             ครั้งนั้น เหยี่ยวหยิ่งในกำลังของตน อวดอ้างในกำลังของตน
จึงห่อปีกทั้ง ๒ โฉบนกมูลไถโดยรวดเร็ว

             ครั้งใด นกมูลไถรู้ว่าเหยี่ยวนี้โฉบลงมาเร็วจะจับเรา
             ครั้งนั้น ก็หลบเข้าซอกดินนั้นเอง
          
             เหยี่ยวยังอกให้กระแทกดิน (ตาย) ในที่นั้นเอง

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนกมูลไถเที่ยวไปในถิ่นอื่น อันมิใช่ถิ่นหากิน ย่อมเป็นเช่นนี้แล.
            
             [๖๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
             เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าเที่ยวไปในอารมณ์อื่นอันมิใช่โคจร
เมื่อเธอทั้งหลายเที่ยวไปในอารมณ์อื่น อันมิใช่โคจร
มารจักได้ช่อง มารจักได้อารมณ์
ก็อารมณ์อื่นอันมิใช่โคจรของภิกษุ คืออะไร?
คือ กามคุณ ๕ กามคุณ ๕ เป็นไฉน? คือ

รูปอันพึงรู้ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด
เสียงที่พึงรู้ด้วยหู ...
กลิ่นที่พึงรู้ด้วยจมูก ...
รสที่พึงรู้ด้วยลิ้น ...
โผฏฐัพพะที่พึงรู้ด้วยกาย อันน่า ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้คืออารมณ์อื่น มิใช่โคจรของภิกษุ.
            
             [๗๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปในอารมณ์ ซึ่งเป็นของบิดาตนอันเป็นโคจร
เมื่อเธอทั้งหลายเที่ยวไปในอารมณ์ ซึ่งเป็นของบิดาตน อันเป็นโคจร
มารจักไม่ได้ช่อง มารจักไม่ได้อารมณ์

ก็อารมณ์อันเป็นของบิดา อันเป็นโคจร คืออะไร?
คือสติปัฏฐาน ๔
สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ...
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ...
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้คือ อารมณ์ซึ่งเป็นของบิดาตน อันเป็นโคจรของภิกษุ.

จบ สูตรที่ ๖

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  บรรทัดที่ ๓๙๘๗ - ๔๐๑๘.  หน้าที่  ๑๖๗ - ๑๖๘.
คลิกเพื่อเปิดฟัง
เฉพาะ IE เท่านั้น
CLICK TO LISTEN
IE ONLY http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=3987&Z=4018&pagebreak=0
ฟังพระสูตรนี้ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/listen/?b=19&item=698
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=19&i=698
             ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี อักษรไทย ได้ที่ :-
[698-700] http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali.php?B=19&A=698&Z=700
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
๘. สกุณัคฆิชาดก
ว่าด้วยเหยี่ยวนกเขา
             [๑๘๕]     เหยี่ยวนกเขาบินโผลงด้วยกำลัง หมายใจว่า จะเฉี่ยวเอานกมูลไถ ซึ่ง
                          จับอยู่ที่ชายดงเพื่อหาเหยื่อ โดยฉับพลัน เพราะเหตุนั้น จึงถึงความตาย.
             [๑๘๖]     เรานั้น เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอุบาย ยินดีแล้วในโคจรอันเนื่องมาแต่บิดา
                          เห็นอยู่ซึ่งประโยชน์ของตน จึงหลีกพ้นไปจากศัตรู ย่อมเบิกบานใจ.
จบ สกุณัคฆิชาดกที่ ๘.




เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗  บรรทัดที่ ๑๑๘๘ - ๑๑๙๔.  หน้าที่  ๕๙.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=27&A=1188&Z=1194&pagebreak=0
             
ศึกษาอรรถกถาชาดกนี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=185


อรรถกถา สกุณัคฆิชาดก
ว่าด้วย เหยี่ยวนกเขา
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ พระสูตร ว่าด้วยโอวาทของนก
อันเป็นพระอัธยาศัยของพระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า เสโน พลสา ปตมาโน ดังนี้.
               ความพิสดารมีอยู่ว่า วันหนึ่งพระศาสดาตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย แล้วตรัสพระสูตรในมหาวรรคสังยุตต์นี้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไปในโคจรอันเป็นวิสัยของบิดาของตน
แล้วตรัสว่า พวกเธอจงยกไว้ก่อนเถิด เมื่อก่อนแม้เดียรัจฉานทั้งหลายก็ละวิสัยของตน แล้วเที่ยวไปในที่เป็นอโคจร
ไปสู่เงื้อมมือของข้าศึก แต่รอดจากเงื้อมมือข้าศึกได้ ก็ด้วยความฉลาดในอุบาย
เพราะตนมีปัญญาเป็นสมบัติ แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาเล่า.
               
             ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดนกมูลไถ อาศัยอยู่ในก้อนดินที่ทำการไถ.
วันหนึ่ง นกมูลไถนั้นละถิ่นที่หากินเดิมของตนไปท้ายดง ด้วยคิดว่า จักหาอาหารในถิ่นอื่น

ครั้งนั้น เหยี่ยวนกเขาเห็นนกมูลไถกำลังหาอาหารอยู่ จึงโฉบจับเอามันไป.

เมื่อมันถูกเหยี่ยวนกเขาพาไป จึงคร่ำครวญอย่างนี้ว่า เราเคราะห์ร้ายมาก มีบุญน้อย เราเที่ยวไปในที่อโคจรอันเป็นถิ่นอื่น

ถ้าวันนี้ เราเที่ยวไปในที่โคจรอันเป็นถิ่นบิดาของตนแล้ว เหยี่ยวนกเขานี้ไม่พอมือเราในการต่อสู้.

เหยี่ยวนกเขาถามว่า
ดูก่อนนกมูลไถ ที่หาอาหารอันเป็นถิ่นบิดาของเจ้าเป็นอย่างไร.

นกมูลไถตอบว่า คือที่ก้อนดินคันไถน่ะซิ.
เหยี่ยวนกเขายังออมกำลังของมันไว้ จึงได้ปล่อยมันไป โดยพูดว่า

ไปเถิดเจ้านกมูลไถ แม้เจ้าไปในที่นั้น ก็คงไม่พ้นเราดอก.

นกมูลไถบินกลับไปในที่นั้น ได้ขึ้นไปยังดินก้อนใหญ่ ยืนท้าเหยี่ยวว่า มาเดี๋ยวนี้ซิเจ้าเหยี่ยวนกเขา.

เหยี่ยวนกเขามิได้ออมกำลังของมัน ลู่ปีกทั้งสองโฉบนกมูลไถทันทีทันใด.
ก็เมื่อนกมูลไถรู้ว่าเหยี่ยวนี้มาถึงเราด้วยกำลังแรง จึงบินหลบกลับเข้าไปในระหว่างก้อนดินนั้นเอง.
เหยี่ยวไม่อาจยั้งความเร็วได้ จึงกระแทกอกเข้ากับก้อนดินในที่นั้นเอง เหยี่ยวอกแตกตาถลนตายทันที.
               

               พระศาสดา ครั้นทรงแสดงเรื่องในอดีตนี้แล้ว จึงตรัสว่า
               
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้สัตว์เดียรัจฉานเที่ยวไปในที่อโคจรอย่างนี้ ยังถึงเงื้อมมือข้าศึก
แต่เมื่อเที่ยวไปในถิ่นหาอาหาร อันเป็นของบิดาของตน ก็ยังข่มข้าศึกเสียได้
เพราะฉะนั้น แม้พวกเธอก็จงอย่าเที่ยวไปในอโคจรซึ่งเป็นแดนอื่น
               
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพวกเธอเที่ยวไปในอโคจรอันเป็นแดนอื่น มารย่อมได้ช่อง มารย่อมได้อารมณ์
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อโคจรอันเป็นแดนอื่นของภิกษุคืออะไร คือกามคุณห้า
               กามคุณห้าเป็นไฉน กามคุณห้า คือ
                         รูปที่รู้ได้ด้วยตา ๑
                         เสียงที่รู้ได้ด้วยหู ๑
                         กลิ่นที่รู้ได้ด้วยจมูก ๑
                         รสที่รู้ได้ด้วยลิ้น ๑
                         โผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย ๑
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นอโคจรเป็นแดนอื่นของภิกษุ

               เมื่อทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณแล้ว จึงตรัสคาถาแรกว่า :-
               เหยี่ยวนกเขาบินโผลงด้วยกำลัง หมายใจว่าจะเฉี่ยวเอานกมูลไถ ซึ่งจับอยู่ที่ท้ายดง
               เพื่อหาเหยื่อโดยฉับพลัน เพราะเหตุนั้น จึงถึงความตาย.

               ในบทเหล่านั้น
                บทว่า พลสา ปตมาโน
                ความว่า เหยี่ยวโผลงด้วยกำลัง คือด้วยเรี่ยวแรงด้วยคิดว่า จักจับนกมูลไถ.

                บทว่า โคจรฏฺฐานิยํ
                ความว่า เหยี่ยวโฉบเอานกมูลไถ ซึ่งออกจากแดนของตน เที่ยวไปท้ายดงเพื่อหาอาหาร.
        
                บทว่า อชฺฌปฺปตฺโต ได้แก่โผลง.
                บทว่า เตนุปาคมิ ได้แก่ เหยี่ยวถึงแก่ความตายด้วยเหตุนั้น.

               ก็เมื่อเหยี่ยวตาย นกมูลไถจึงออกมายืนบนอกของเหยี่ยว ด้วยมั่นใจว่าเราชนะข้าศึกได้แล้ว
               เมื่อจะเปล่งอุทาน จึงกล่าวคาถาที่สองว่า :-
               เรานั้นเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอุบายยินดีแล้ว ในโคจรอันเนื่องมาแต่บิดา เห็นอยู่ซึ่งประโยชน์ของตน
               จึงหลีกพ้นไปจากศัตรู ย่อมเบิกบานใจ.

               ในบทเหล่านั้นบทว่า นเยน ได้แก่อุบาย.
                บทว่า อตฺถมตฺตโน ได้แก่ ความเจริญ กล่าวคือความปลอดภัยของตน.

               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ทรงประชุมชาดก เมื่อจบสัจธรรม
               ภิกษุเป็นอันมากบรรลุโสดาปัตติผล เป็นต้น.
               เหยี่ยวในครั้งนั้น ได้เป็น เทวทัต ในบัดนี้
               ส่วนนกมูลไถ คือ เราตถาคต นี้แล.

.. อรรถกถา สกุณัคฆิชาดก ว่าด้วย เหยี่ยวนกเขา จบ


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่