สวัสดีค่ะ หลังจากที่อ่านประสบการณ์เรื่องผีของคนที่เอามาเล่าในพันทิปแล้ว. ก็อยากจะแชร์ประสบการณ์ของตัวเองบ้าง
เรื่องที่จะเล่าเกิดขึ้นจริงแน่นอน ไม่เชื่ออย่าหลบลู่นะคะ เราอาจจะเล่าไม่ค่อยน่ากลัวเหมือนคนอื่นๆนะ. วันนี้เราจะเลือกมาเล่าแค่2เหตุการณ์
ม้วนเดียวจบไม่มีให้รอนาน เอาร้ะ พร้อมรึยัง.? ปิดไฟใส่กลอนให้เรียบร้อยนะคะ กำลังจะเริ่มเรื่องขนพองสยองเกล้าแล้ว
ตอนเด็กๆเราอยากเจอผีสักครั้งเราอยากรุ้ว่าผีเป็นยังไง ถึงขั้นเก็บไปฝัน. ผีปอบ เอย. ผีกระสือ. ซอมบี้ต่างๆนาๆ (จินตนาการล้ำเลิศ)
แต่ก็ไม่เคยเจออะไร. จนกระทั่งวันนึงเมื่อตอน ป.4เราก็เข้านอนตามปกติแล้วก้ตื่นมากลางดึก. ปรากฏว่าเราเห็น เงาผู้ชาย ยืนอยุ่ตรงปลายเท้า
แต่เค้าไม่ได้มองเราเค้ามองไปตรงกระจกบานใหญ่ของโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ทางด้านซ้ายของเรา ตอนนั้นเราก็คิดว่าคนในบ้านรึป่าว
แต่อีกใจก็คิดว่าจะใช่เหรอแล้วมายืนอะไรดึกป่านนี้. ก็เลยถามไปว่า. "นั่นใครอะ". แต่ก็ไม่ได้เสียงตอบรับกลับมา. แล้วเราก็ถามซ้ำอีก
ก็เหมือนเดิม จนเราแน่ใจแล้วว่านี่ต้องผีแน่นอน. ก็เลยตะโกนเรื่องพี่ที่นอนอยุ่เตียงข้างๆ. เรานอนกับพี่2คน.
พี่ก็งัวเงียๆตื่นขึ้นมาเราก็บอกว่าใครมายืนอยุ่ตรงนั้นไม่รุ้. พี่เราก็บอกว่าไม่เห็นมีใครเลย. แล้วพี่ก็เดินไปเปิดไฟ เดินเฉียดเค้าไปเลยค่ะ
แล้วพี่ก็บอกว่าไหนๆมีอะไร. นอนได้แล้วไม่มีไรหรอก. คืนนั้นเราก็นอนด้วยความกลัวตลอดคืน. พอรุ่งเช้าด้วยความที่เราข้องใจว่า
พี่ไม่เห็นจริงๆหรอ. เราก็ไปถามพี่. แล้วคำตอบที่ได้ก็ทำให้เราแทบช้อค. !!! พี่บอกว่าเห็นสิ แต่ไม่อยากทำให้กลัวก็เลยบอกว่าไม่เห็นไม่งั้น
ไม่ได้หลับได้นอนพอดี. เราก็คาใจมาถึงทุกคนนี้ว่าเค้าเข้ามาบ้านเราได้ไง. เพราะบ้านแล้วมีทั้งหิ่งพระเบอเร่อ. และบ้านเราก็เป็นศาลเจ้าด้วย
หรือว่าเค้าอาจจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรา??? และเรื่องนี้ก็จบไป
และเหตุการณ์ต่อไปเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตเราไปตลาดกาล. ในเดือนเมษาที่ผ่านมามีรุ่นพี่ที่เรารุ้จักชวนให้ไปเล่นหนังสั้นของคณะนิเทศ
แต่ทว่าหนังสั้นเรื่องนี้เป็นหนังผี. เราก็ไปเล่นให้ตอนนั้นก็ไม่คิดไรคิดว่าสนุกๆขำๆ. แต่ในความจริงมันไม่ได้สนุกแล้วน่ะสิ
เราถ่ายทำอยู่4สถานที่. ที่มอ. หอพักสองแห่ง. และร้านเหล้า. หอพักหอที่2นี่แหละค่ะ. ที่หลอนสุด ขอสมมติว่าชื่อหอพักถวิลนะคะ
ตอนนั้นเราก็ถ่ายซีนที่มอค่ะ. และมีพี่ๆทีมงานส่วนนึง ไปเตรียมสถานที่อยู่ที่หอพักถวิล พี่ๆก็กลับกันมาแบบท่าทางไม่ค่อยดี
แล้วก็เล่าว่า ตอนเปิดประตูเข้าไปครั้งแรกก็รุ้าึกไม่ดีละ. พี่ๆก็ทำความสะอาดเตรียมสถานที่ตามปกติห้องที่ถ่ายทำเป็นห้องที่ไม่มีเครื่องทำความเย็น
เพราะไม่มีคนอยู่ อากาศก็ร้อนมากก ลมสักนิดก็ไม่มี. แต่อยุ่ๆแจกันดอกไม้ก็หล่นมาแตกเอง. พี่ๆก็มองหน้ากันแต่ไม่รุ้จะทำไง เพราะงานก็ต้องทำ
ก็เลยรีบๆทำแล้วรีบๆออกมา.
และแล้วก็มาถึงวันที่เราต้องเข้าไปถ่ายทำค่ะ. ห้องที่เราถ่ายทำถ้าจำไม่ผิดจะอยุ่ชั้นสูงสุดของหอน่าจะชั้น5. แว้บแรกที่เราเปิดประตูเข้าไป
สิ่งแรกที่เห็นก่อนเลยคืแหิ้งพระขนาดใหญ่ค่ะ. ตอนนั้นเราไม่ได้กลัวอะไรมากเพราะว่าคนเยอะ ห้องนี่มีขนาดใหญ่คล้ายๆกับคอนโดเลยค่ะ
มีห้องนอน3ห้อง. ห้องน้ำ4ห้อง. ห้องนั่งเล่น2. และห้องครัว2. เดืนจากหิ่งพระก็จะเป็นห้องนั่งเล่น. เดินมาอีกก็จะเป็นห้องนั่งเล่นอยุ่ห้องนึงคะ. ไม่ได้มีกำแพงกั้นนะคะ เป็นลักษณะเป็นกระจกบานเลื่อน. ในห้องนั่งเล่นนั้นก็มีรูปครอบครัวๆนึงอย่ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของห้องค่ะ แต่ที่น่าแปลกคือเป็นรุปใส่กรอบเป้นรึปเดี่ยวๆหมดทุกคนเลย. มีพี่ทีมงานคนนึงพักอยุ่หอพักนี่ค่ะก็เลยยืมสถานที่มาเพื่อถ่ายทำ. และได้ความมาว่าห้องนี้ไว้ให้คนตายอยู่ เค้าไม่ได้ตายที่นี่แต่พอตายก็จะเชิญ
วิญญาณมาไว้ที่ห้องนี้ พวกเค้าเป็นเจ้าของหอค่ะ. แต่เราก็ยังถ่ายทำกันต่อไปค่ะ ก็จุดธูปไว้เค้า. ตอนนั้นเราขอว่า ขออนุญาตใช้ห้องและขอให้
หนังเรื่องนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี.
ในกองของเราจะมีคนมีเซ้นอยุ่3คนคะ. ขอสมมติว่าชื่อ. พี่มิ้น. พี่ปิ่นแล้วก็พี่เป้นะคะ. พี่เป้นี่เป็นทอมค่ะ. 3คนนี้เวลาเห็นอะไรแลัวไม่ชอบพูดอาจเป็นเพราะกลัวว่าจะกลัวแล้วไม่เป็นอันทำงาน. ในวันสุดท้ายที่ถ่ายทำในห้องนี้และหนังเรื่องนี้เป็นวันที่เราถ่ายดึกสุดเลยค่ะ. เลิกกองตี1. มีคนในหอนี้เตือนแล้วว่า
ห้ามอยุ่เกิน5ทุ่ม. เพราะไม่งั้นจะเจอกับ วิญญาณ ผู้หญิงคนนึงที่ดุมาก. เป็นคนอาศัยอยุ่ในห้องนี้. วันดีคืนดีคนที่หอนี้ก็เห็นเดินขึ้นไปที่ชั้น5แล้วก็หายเข้ามาในห้องนี้.แต่ทำไงได้ร้ะเหลือเวลาวันสุดท้ายแล้วก็ต้องถ่ายต่อไป แต่ก็ไม่มีใครเห็นอะไรนะ. นับว่าโชคดีมาก.
วันสุดท้ายที่ถ่ายซีนนั้นพระเอกในเรื่องต้องตายค่ะ ก็จัดแจงทำเลือดปลอมเหมือนเดะะะ. ราดที่พี่พระเอกเลยคะ. พอถ่ายซีนนั้นเสร็จพระเอกก็จะเดินไปอาบน้ำที่ห้องของพี่ทีมงานที่พักอยุ่หอนี้. และะพี่พระเอกก็เห้นกับสิ่งลี้ลับทั้งที่ปกติไม่เคยเจอ. พี่ปิ่นก็บอกว่าเค้าคิดว่า เค้าคิดว่าเจ (นามสมมติ) ตายแล้วรึป่าว
เหมือนมาทักทายน้องใหม่อะ. ก็พี่เค้าเล่นสะเหมือนเลยนิคะ.
และเราก็ถ่ายทำกันต่อไป แล้วก็มาถึงซีนที่ เพื่อนเราแสดงเป็นผีนางเอกในเรื่อง ก็ต้องคลานมาจากมุมห้องน้ำ. แล้วอยู่ๆ พี่เป้ที่คุมซาว ก็บอกให้พี่ต่าย (นามสมมติ) ไปนั่งเป็นเพื่อน. เพื่อนเรา. พี่คนี้เป็นคนกลัวผีมากคะ. จิตอ่อนด้วย. พี่เค้าก็ไปนั่งเป็นเพื่อน เราก็ งงว่าทำไมต้องไปนั่งด้วย.แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรค่ะ
และอยุ่ดีๆพอพี่ต่ายหยิบมือถือขึ้นมา หน้าจอมือถือของพี่ต่ายเปลี่ยนเป็นรุปดอกไม้คะ. พี่ต่ายนี่ปากสั่นเลย. พี่ปิ่นก็บอกว่าเค้าทวงดอกไม้รึป่าว. วันนั้น
ที่แจกันแตก. พี่ต่ายก็บอกว่าจะบอกว่ามือถือรวนก้ไม่ใช่เพราะเพิ่งซื้อมาใหม่. ก็จิตตกพอสมควรเลยละค่ะพี่ต่าย. แต่ตอนนั้นเราก็พยายามไม่คิดอะไรมาก
พอเราถ่ายซีนเราเสร็จก็เดินออกมาพักจะกินข้าวที่ห้องนั่นเล่น ตรงนั้นก็มีพี่มิ้นนั่งอยุ่. เราเดินผ่านพี่มิ้นไปแต่พี่มิ้นกลับไม่ได้มองเราค่ะ ดันมองไปอีกทาง
มองไปเหมือนมีใครเดิรผ่าน ค่อยๆกวาดสายตาตามไปเลยค่ะ. เราก็ งง. ว่าเค้ามองอะไรทั้งๆไม่มีใครเดินผ่าน. แต่เราไม่ถามค่ะ. เรากลัวว
และแล้วเราก็ถ่ายหนังเรื่องนี้เสร็จแต่ยังค่ะ. ยังไม่จบเท่านี้. หลังจากถ่ายหนังเสร็จได้ประมาณสองวัน พี่ๆทีมงานก็ขอให้ช่วยไปอัดเสียงงานวิทยุให้หน่อย
เราก็ไปค่ะ. เราก็ขึ้นไปนั่งอยุ่ที่พื้นสตูดิโอ. รอคนอื่นอัดเสร็จก็จะเข้าไปอัดต่อ. ระหว่างนั้นก็นั่งคุยกับพี่ๆถึงเรื่องที่ถ่ายละคร. แล้วพี่เป้ก็พูดขึ้นมาว่า
จำซีนที่เพื่อนเราต้องคลานจากมุมห้องน้ำได้ปะ. ตอนนั้นที่พี่ให้ต่ายไปนั่งเป็นเพื่อน. เพราะว่าพี่เห็น. ว่าเค้ายืนอยุ่น่าห้องน้ำ
แล้วจำตอนที่เรานอนกับพระเอกในห้องได้ปะ. เค้าก็มายืนมองอยุ่ข้างๆเรานะ. เราก็ถึงกับเหวอกลัวสุดๆ เราก็ถามว่าเค้าไหน. พี่เป้ก็บอกว่า
ก็คนในรุปไง. ผู้หญิงในรุปที่ติดข้างฝานั่นน่ะ. เค้าแก่แล้วเค้าคง. งงว่าเราทำไรกันเลยมาดูมั้ง. ในขณะที่เล่าๆกันไปเราก็คนลุกตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย
รุ้สึกเยือกๆ. และพี่เป้ก็มองเราแล้วก็ยิ้ม ในนาทีนั้นเรารุ้เลยว่าใช่. น้ำตาเรานี่คลอเบ้าเลย. ก็เลยลุกไปนั่งฝังตรงข้าม. ก็ยังไม่หาย.
เราก็เดินลงมาที่โรงอาหารกันตอนนั้นงานทิ้งหมดแล้วพี่ๆ5555. เราก็รุ้สึกมาตลอดทางจนถึงโรงอาหารเลย. เราก็ร้องไห้เลยค่ะ
กลัวมากๆ ไม่ชอบความรุ้สึกแบบนี้เลย. พี่ปิ่นก้โอบเราค่ะ. ปรากฎว่าพี่ปิ่นบอกว่าแถวนี้เย้นจังเนอะ เยือกๆเลยอะ. แล้วเรากับพี่ปิ่นก็ยกขาขึ้นพร้อมกันเลยค่ะ
เพราะมีลมเย้นเยือกพัดผ่านขาเราไป. พี่ปิ่นกับเรานี่มองหน้ากันเลย. พี่เป้บอกว่าไม่เกี่ยวกับสถานที่แล้วแหละเกี่ยวกับมุงอะ เค้าตามมุงมา
พี่ๆก็พาเราไปไหว้พระค่ะ เป็นวัดย่านแถวๆมอเราก็ยังรุ้สึกอยุ่ตลอดพอถึงวัดก็ลงแท้กซี่ แต่พี่ปิ่นลงช้าสุดค่ะ. พอลงมานางก็บอกพวกเราว่า
อยุ่ดีๆลุงแท้กซี่ก็ให้น้ำมนมา. แล้วบอกว่าเอาไปอาบนะ. เอิ่มมมมค่ะไม่รุ้จะพูดว่าอะไร. เราก็ไปไหว้พระ ปกติ. แล้วพี่เป้ก็บอกกับเราว่า
ปิ่นบอกว่าอย่าบอกเรานะบนรถแท้กซี่ ปิ้นเห็นน่าเราไม่ใช่เรา เรารุ้สึกเครียดมากกกกตอนนั้น. เราก็ยังไม่อยากกลับบ้านก็เลยไปหาเพื่อน
ขากลับก็นั่งบีทีเอสกลับและบีทีเอสทีทเราลงคือสถานนีปลายทาง สถานี่สุดท้ายตอนนั้นประมาน3-4ทุ่ม. เราก็กำลังจะเดินลงบรรไดเลื่อนแต่ได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะเสียงน่ากลัวมากค่ะ. ทั้งๆที่เราใส่หูฟังอยุ่นะ. พอหันไปเห็นพี่หนักงาน บีทีเอสที่เป็นผู้ชายยืนอยุ่คนเดียว คนที่ลงเวลานี้สถานีนี้ก็น้อยอยุ่แล้ว
เราลงมาคนสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ. ยังค่ะยังไม่จบ. เราก็นั่งรถเมกลับบ้านหลังจากลงบีทีเอส. กระจกรถเมที่อยุ่ตรงกลาง ที่มีพวงมาลัยแขวน แถวๆคนนขับอะค่ะ
เราไม่รุ้มันเรียกว่าอะไร. เราเห็นเป็นน่าคนแซมๆอยุ่ตรงพวงมาลัยนั้น. น่าเหมือนพวกนางรำเลยค่ะ ทาปากแดงๆ เหมือนหุ่นลองชุดนางรำเลย
เราตกใจแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่เพราะเรานั่งอยุ่ห่างจากตรงนั้น. พอถึงบ้านพี่เป้แนะนำให้เราเดินถอยหลังเข้าบ้านค่ะ. เราก็ทำแล้วก็คิดว่าถึงบ้านแล้ว
คงไม่มีไรแล้ว
แต่ที่ไหนได้. ตอนเราอาบน้ำอยุ่เราได้ยินเสียงคนเรียกแผ่วๆเป็นชื่อเราค่ะ. เรานี่รีบอาบเลยแม้แต่ล้างหน้ายังลืมตาล้างเลยค่ะกลัวว. โฟมจะเข้าตาไม่สนละตอนนั้น. และอีกสองวันต่อมาเราก็ไม่รุ้สึกอะไรแล้วเหมือนเค้าไม่ตามแล้วเราเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้พี่เป้ฟัง. พี่เป้ก็บอกเราว่ามีงรุ้ใช่ไหมว่าได้มาแล้ว
เด่วก้ชิน (หมายถึงสัมผัสที่6) จากตอนเด็กๆที่อยากลองเจอพอเจอเข้าจริงๆ ก็ไม่คิดอยากเจอเลยค่ะ. และหลังจากเหตุการณ์นี้เราก็สัมผัสได้ทุกครั้งถ้าที่ไหนมี
บางครั้งก็เห็นเลยค่ะ. ทุกวันนี้เรายังเห็นลุงใส่กางเกงน้ำตาลไม่ใส่เสื้อ. นั่งอยุ่ราวสะพานข้ามคลองตรงข้ามหมู่บบ้านเวลาประมาณ2ทุ่มเป็นประจำเลย
และเหตุการณ์ในครั้งนี้แหละค่ะที่เปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดการณ์. ที่มอบสัมผัสที่6ให้กับเรา.
ขอบคุณนะคะขอบคุณที่ตั้งใจอ่านจนจบ. ใครเจอเหตุการณ์คล้ายๆเราเอามาเล่าให้ฟังบ้างน้าา
สัมผัสที่ 6 ที่ไม่ต้องการ
เรื่องที่จะเล่าเกิดขึ้นจริงแน่นอน ไม่เชื่ออย่าหลบลู่นะคะ เราอาจจะเล่าไม่ค่อยน่ากลัวเหมือนคนอื่นๆนะ. วันนี้เราจะเลือกมาเล่าแค่2เหตุการณ์
ม้วนเดียวจบไม่มีให้รอนาน เอาร้ะ พร้อมรึยัง.? ปิดไฟใส่กลอนให้เรียบร้อยนะคะ กำลังจะเริ่มเรื่องขนพองสยองเกล้าแล้ว
ตอนเด็กๆเราอยากเจอผีสักครั้งเราอยากรุ้ว่าผีเป็นยังไง ถึงขั้นเก็บไปฝัน. ผีปอบ เอย. ผีกระสือ. ซอมบี้ต่างๆนาๆ (จินตนาการล้ำเลิศ)
แต่ก็ไม่เคยเจออะไร. จนกระทั่งวันนึงเมื่อตอน ป.4เราก็เข้านอนตามปกติแล้วก้ตื่นมากลางดึก. ปรากฏว่าเราเห็น เงาผู้ชาย ยืนอยุ่ตรงปลายเท้า
แต่เค้าไม่ได้มองเราเค้ามองไปตรงกระจกบานใหญ่ของโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ทางด้านซ้ายของเรา ตอนนั้นเราก็คิดว่าคนในบ้านรึป่าว
แต่อีกใจก็คิดว่าจะใช่เหรอแล้วมายืนอะไรดึกป่านนี้. ก็เลยถามไปว่า. "นั่นใครอะ". แต่ก็ไม่ได้เสียงตอบรับกลับมา. แล้วเราก็ถามซ้ำอีก
ก็เหมือนเดิม จนเราแน่ใจแล้วว่านี่ต้องผีแน่นอน. ก็เลยตะโกนเรื่องพี่ที่นอนอยุ่เตียงข้างๆ. เรานอนกับพี่2คน.
พี่ก็งัวเงียๆตื่นขึ้นมาเราก็บอกว่าใครมายืนอยุ่ตรงนั้นไม่รุ้. พี่เราก็บอกว่าไม่เห็นมีใครเลย. แล้วพี่ก็เดินไปเปิดไฟ เดินเฉียดเค้าไปเลยค่ะ
แล้วพี่ก็บอกว่าไหนๆมีอะไร. นอนได้แล้วไม่มีไรหรอก. คืนนั้นเราก็นอนด้วยความกลัวตลอดคืน. พอรุ่งเช้าด้วยความที่เราข้องใจว่า
พี่ไม่เห็นจริงๆหรอ. เราก็ไปถามพี่. แล้วคำตอบที่ได้ก็ทำให้เราแทบช้อค. !!! พี่บอกว่าเห็นสิ แต่ไม่อยากทำให้กลัวก็เลยบอกว่าไม่เห็นไม่งั้น
ไม่ได้หลับได้นอนพอดี. เราก็คาใจมาถึงทุกคนนี้ว่าเค้าเข้ามาบ้านเราได้ไง. เพราะบ้านแล้วมีทั้งหิ่งพระเบอเร่อ. และบ้านเราก็เป็นศาลเจ้าด้วย
หรือว่าเค้าอาจจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรา??? และเรื่องนี้ก็จบไป
และเหตุการณ์ต่อไปเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตเราไปตลาดกาล. ในเดือนเมษาที่ผ่านมามีรุ่นพี่ที่เรารุ้จักชวนให้ไปเล่นหนังสั้นของคณะนิเทศ
แต่ทว่าหนังสั้นเรื่องนี้เป็นหนังผี. เราก็ไปเล่นให้ตอนนั้นก็ไม่คิดไรคิดว่าสนุกๆขำๆ. แต่ในความจริงมันไม่ได้สนุกแล้วน่ะสิ
เราถ่ายทำอยู่4สถานที่. ที่มอ. หอพักสองแห่ง. และร้านเหล้า. หอพักหอที่2นี่แหละค่ะ. ที่หลอนสุด ขอสมมติว่าชื่อหอพักถวิลนะคะ
ตอนนั้นเราก็ถ่ายซีนที่มอค่ะ. และมีพี่ๆทีมงานส่วนนึง ไปเตรียมสถานที่อยู่ที่หอพักถวิล พี่ๆก็กลับกันมาแบบท่าทางไม่ค่อยดี
แล้วก็เล่าว่า ตอนเปิดประตูเข้าไปครั้งแรกก็รุ้าึกไม่ดีละ. พี่ๆก็ทำความสะอาดเตรียมสถานที่ตามปกติห้องที่ถ่ายทำเป็นห้องที่ไม่มีเครื่องทำความเย็น
เพราะไม่มีคนอยู่ อากาศก็ร้อนมากก ลมสักนิดก็ไม่มี. แต่อยุ่ๆแจกันดอกไม้ก็หล่นมาแตกเอง. พี่ๆก็มองหน้ากันแต่ไม่รุ้จะทำไง เพราะงานก็ต้องทำ
ก็เลยรีบๆทำแล้วรีบๆออกมา.
และแล้วก็มาถึงวันที่เราต้องเข้าไปถ่ายทำค่ะ. ห้องที่เราถ่ายทำถ้าจำไม่ผิดจะอยุ่ชั้นสูงสุดของหอน่าจะชั้น5. แว้บแรกที่เราเปิดประตูเข้าไป
สิ่งแรกที่เห็นก่อนเลยคืแหิ้งพระขนาดใหญ่ค่ะ. ตอนนั้นเราไม่ได้กลัวอะไรมากเพราะว่าคนเยอะ ห้องนี่มีขนาดใหญ่คล้ายๆกับคอนโดเลยค่ะ
มีห้องนอน3ห้อง. ห้องน้ำ4ห้อง. ห้องนั่งเล่น2. และห้องครัว2. เดืนจากหิ่งพระก็จะเป็นห้องนั่งเล่น. เดินมาอีกก็จะเป็นห้องนั่งเล่นอยุ่ห้องนึงคะ. ไม่ได้มีกำแพงกั้นนะคะ เป็นลักษณะเป็นกระจกบานเลื่อน. ในห้องนั่งเล่นนั้นก็มีรูปครอบครัวๆนึงอย่ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของห้องค่ะ แต่ที่น่าแปลกคือเป็นรุปใส่กรอบเป้นรึปเดี่ยวๆหมดทุกคนเลย. มีพี่ทีมงานคนนึงพักอยุ่หอพักนี่ค่ะก็เลยยืมสถานที่มาเพื่อถ่ายทำ. และได้ความมาว่าห้องนี้ไว้ให้คนตายอยู่ เค้าไม่ได้ตายที่นี่แต่พอตายก็จะเชิญ
วิญญาณมาไว้ที่ห้องนี้ พวกเค้าเป็นเจ้าของหอค่ะ. แต่เราก็ยังถ่ายทำกันต่อไปค่ะ ก็จุดธูปไว้เค้า. ตอนนั้นเราขอว่า ขออนุญาตใช้ห้องและขอให้
หนังเรื่องนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี.
ในกองของเราจะมีคนมีเซ้นอยุ่3คนคะ. ขอสมมติว่าชื่อ. พี่มิ้น. พี่ปิ่นแล้วก็พี่เป้นะคะ. พี่เป้นี่เป็นทอมค่ะ. 3คนนี้เวลาเห็นอะไรแลัวไม่ชอบพูดอาจเป็นเพราะกลัวว่าจะกลัวแล้วไม่เป็นอันทำงาน. ในวันสุดท้ายที่ถ่ายทำในห้องนี้และหนังเรื่องนี้เป็นวันที่เราถ่ายดึกสุดเลยค่ะ. เลิกกองตี1. มีคนในหอนี้เตือนแล้วว่า
ห้ามอยุ่เกิน5ทุ่ม. เพราะไม่งั้นจะเจอกับ วิญญาณ ผู้หญิงคนนึงที่ดุมาก. เป็นคนอาศัยอยุ่ในห้องนี้. วันดีคืนดีคนที่หอนี้ก็เห็นเดินขึ้นไปที่ชั้น5แล้วก็หายเข้ามาในห้องนี้.แต่ทำไงได้ร้ะเหลือเวลาวันสุดท้ายแล้วก็ต้องถ่ายต่อไป แต่ก็ไม่มีใครเห็นอะไรนะ. นับว่าโชคดีมาก.
วันสุดท้ายที่ถ่ายซีนนั้นพระเอกในเรื่องต้องตายค่ะ ก็จัดแจงทำเลือดปลอมเหมือนเดะะะ. ราดที่พี่พระเอกเลยคะ. พอถ่ายซีนนั้นเสร็จพระเอกก็จะเดินไปอาบน้ำที่ห้องของพี่ทีมงานที่พักอยุ่หอนี้. และะพี่พระเอกก็เห้นกับสิ่งลี้ลับทั้งที่ปกติไม่เคยเจอ. พี่ปิ่นก็บอกว่าเค้าคิดว่า เค้าคิดว่าเจ (นามสมมติ) ตายแล้วรึป่าว
เหมือนมาทักทายน้องใหม่อะ. ก็พี่เค้าเล่นสะเหมือนเลยนิคะ.
และเราก็ถ่ายทำกันต่อไป แล้วก็มาถึงซีนที่ เพื่อนเราแสดงเป็นผีนางเอกในเรื่อง ก็ต้องคลานมาจากมุมห้องน้ำ. แล้วอยู่ๆ พี่เป้ที่คุมซาว ก็บอกให้พี่ต่าย (นามสมมติ) ไปนั่งเป็นเพื่อน. เพื่อนเรา. พี่คนี้เป็นคนกลัวผีมากคะ. จิตอ่อนด้วย. พี่เค้าก็ไปนั่งเป็นเพื่อน เราก็ งงว่าทำไมต้องไปนั่งด้วย.แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรค่ะ
และอยุ่ดีๆพอพี่ต่ายหยิบมือถือขึ้นมา หน้าจอมือถือของพี่ต่ายเปลี่ยนเป็นรุปดอกไม้คะ. พี่ต่ายนี่ปากสั่นเลย. พี่ปิ่นก็บอกว่าเค้าทวงดอกไม้รึป่าว. วันนั้น
ที่แจกันแตก. พี่ต่ายก็บอกว่าจะบอกว่ามือถือรวนก้ไม่ใช่เพราะเพิ่งซื้อมาใหม่. ก็จิตตกพอสมควรเลยละค่ะพี่ต่าย. แต่ตอนนั้นเราก็พยายามไม่คิดอะไรมาก
พอเราถ่ายซีนเราเสร็จก็เดินออกมาพักจะกินข้าวที่ห้องนั่นเล่น ตรงนั้นก็มีพี่มิ้นนั่งอยุ่. เราเดินผ่านพี่มิ้นไปแต่พี่มิ้นกลับไม่ได้มองเราค่ะ ดันมองไปอีกทาง
มองไปเหมือนมีใครเดิรผ่าน ค่อยๆกวาดสายตาตามไปเลยค่ะ. เราก็ งง. ว่าเค้ามองอะไรทั้งๆไม่มีใครเดินผ่าน. แต่เราไม่ถามค่ะ. เรากลัวว
และแล้วเราก็ถ่ายหนังเรื่องนี้เสร็จแต่ยังค่ะ. ยังไม่จบเท่านี้. หลังจากถ่ายหนังเสร็จได้ประมาณสองวัน พี่ๆทีมงานก็ขอให้ช่วยไปอัดเสียงงานวิทยุให้หน่อย
เราก็ไปค่ะ. เราก็ขึ้นไปนั่งอยุ่ที่พื้นสตูดิโอ. รอคนอื่นอัดเสร็จก็จะเข้าไปอัดต่อ. ระหว่างนั้นก็นั่งคุยกับพี่ๆถึงเรื่องที่ถ่ายละคร. แล้วพี่เป้ก็พูดขึ้นมาว่า
จำซีนที่เพื่อนเราต้องคลานจากมุมห้องน้ำได้ปะ. ตอนนั้นที่พี่ให้ต่ายไปนั่งเป็นเพื่อน. เพราะว่าพี่เห็น. ว่าเค้ายืนอยุ่น่าห้องน้ำ
แล้วจำตอนที่เรานอนกับพระเอกในห้องได้ปะ. เค้าก็มายืนมองอยุ่ข้างๆเรานะ. เราก็ถึงกับเหวอกลัวสุดๆ เราก็ถามว่าเค้าไหน. พี่เป้ก็บอกว่า
ก็คนในรุปไง. ผู้หญิงในรุปที่ติดข้างฝานั่นน่ะ. เค้าแก่แล้วเค้าคง. งงว่าเราทำไรกันเลยมาดูมั้ง. ในขณะที่เล่าๆกันไปเราก็คนลุกตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย
รุ้สึกเยือกๆ. และพี่เป้ก็มองเราแล้วก็ยิ้ม ในนาทีนั้นเรารุ้เลยว่าใช่. น้ำตาเรานี่คลอเบ้าเลย. ก็เลยลุกไปนั่งฝังตรงข้าม. ก็ยังไม่หาย.
เราก็เดินลงมาที่โรงอาหารกันตอนนั้นงานทิ้งหมดแล้วพี่ๆ5555. เราก็รุ้สึกมาตลอดทางจนถึงโรงอาหารเลย. เราก็ร้องไห้เลยค่ะ
กลัวมากๆ ไม่ชอบความรุ้สึกแบบนี้เลย. พี่ปิ่นก้โอบเราค่ะ. ปรากฎว่าพี่ปิ่นบอกว่าแถวนี้เย้นจังเนอะ เยือกๆเลยอะ. แล้วเรากับพี่ปิ่นก็ยกขาขึ้นพร้อมกันเลยค่ะ
เพราะมีลมเย้นเยือกพัดผ่านขาเราไป. พี่ปิ่นกับเรานี่มองหน้ากันเลย. พี่เป้บอกว่าไม่เกี่ยวกับสถานที่แล้วแหละเกี่ยวกับมุงอะ เค้าตามมุงมา
พี่ๆก็พาเราไปไหว้พระค่ะ เป็นวัดย่านแถวๆมอเราก็ยังรุ้สึกอยุ่ตลอดพอถึงวัดก็ลงแท้กซี่ แต่พี่ปิ่นลงช้าสุดค่ะ. พอลงมานางก็บอกพวกเราว่า
อยุ่ดีๆลุงแท้กซี่ก็ให้น้ำมนมา. แล้วบอกว่าเอาไปอาบนะ. เอิ่มมมมค่ะไม่รุ้จะพูดว่าอะไร. เราก็ไปไหว้พระ ปกติ. แล้วพี่เป้ก็บอกกับเราว่า
ปิ่นบอกว่าอย่าบอกเรานะบนรถแท้กซี่ ปิ้นเห็นน่าเราไม่ใช่เรา เรารุ้สึกเครียดมากกกกตอนนั้น. เราก็ยังไม่อยากกลับบ้านก็เลยไปหาเพื่อน
ขากลับก็นั่งบีทีเอสกลับและบีทีเอสทีทเราลงคือสถานนีปลายทาง สถานี่สุดท้ายตอนนั้นประมาน3-4ทุ่ม. เราก็กำลังจะเดินลงบรรไดเลื่อนแต่ได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะเสียงน่ากลัวมากค่ะ. ทั้งๆที่เราใส่หูฟังอยุ่นะ. พอหันไปเห็นพี่หนักงาน บีทีเอสที่เป็นผู้ชายยืนอยุ่คนเดียว คนที่ลงเวลานี้สถานีนี้ก็น้อยอยุ่แล้ว
เราลงมาคนสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ. ยังค่ะยังไม่จบ. เราก็นั่งรถเมกลับบ้านหลังจากลงบีทีเอส. กระจกรถเมที่อยุ่ตรงกลาง ที่มีพวงมาลัยแขวน แถวๆคนนขับอะค่ะ
เราไม่รุ้มันเรียกว่าอะไร. เราเห็นเป็นน่าคนแซมๆอยุ่ตรงพวงมาลัยนั้น. น่าเหมือนพวกนางรำเลยค่ะ ทาปากแดงๆ เหมือนหุ่นลองชุดนางรำเลย
เราตกใจแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่เพราะเรานั่งอยุ่ห่างจากตรงนั้น. พอถึงบ้านพี่เป้แนะนำให้เราเดินถอยหลังเข้าบ้านค่ะ. เราก็ทำแล้วก็คิดว่าถึงบ้านแล้ว
คงไม่มีไรแล้ว
แต่ที่ไหนได้. ตอนเราอาบน้ำอยุ่เราได้ยินเสียงคนเรียกแผ่วๆเป็นชื่อเราค่ะ. เรานี่รีบอาบเลยแม้แต่ล้างหน้ายังลืมตาล้างเลยค่ะกลัวว. โฟมจะเข้าตาไม่สนละตอนนั้น. และอีกสองวันต่อมาเราก็ไม่รุ้สึกอะไรแล้วเหมือนเค้าไม่ตามแล้วเราเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้พี่เป้ฟัง. พี่เป้ก็บอกเราว่ามีงรุ้ใช่ไหมว่าได้มาแล้ว
เด่วก้ชิน (หมายถึงสัมผัสที่6) จากตอนเด็กๆที่อยากลองเจอพอเจอเข้าจริงๆ ก็ไม่คิดอยากเจอเลยค่ะ. และหลังจากเหตุการณ์นี้เราก็สัมผัสได้ทุกครั้งถ้าที่ไหนมี
บางครั้งก็เห็นเลยค่ะ. ทุกวันนี้เรายังเห็นลุงใส่กางเกงน้ำตาลไม่ใส่เสื้อ. นั่งอยุ่ราวสะพานข้ามคลองตรงข้ามหมู่บบ้านเวลาประมาณ2ทุ่มเป็นประจำเลย
และเหตุการณ์ในครั้งนี้แหละค่ะที่เปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดการณ์. ที่มอบสัมผัสที่6ให้กับเรา.
ขอบคุณนะคะขอบคุณที่ตั้งใจอ่านจนจบ. ใครเจอเหตุการณ์คล้ายๆเราเอามาเล่าให้ฟังบ้างน้าา