เสียงปริศนา

เม่านอนไม่หลับ เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองจริง ๆ

.......... เรื่องมันเกิดเมื่อวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา (วันที่ 1 มิถุนายน 2558) ช่วงเวลาประมาณ 2-3 ทุ่ม .......... วันนั้นเป็นวันที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา มีพ่อ แม่ น้องสาวและตัวจขกท. เอง (ปกติน้องสาวจะพักอยู่ที่หอ เพราะใกล้ที่ทำงานสุวรรณภูมิ ส่วน จขกท. ก้อพักอยู่กับเพื่อนที่ทำงาน จึงไม่ค่อยได้เจอน้องสาว) วันนั้นแม่อยากพาครอบครัวไปสวดมนต์รับศีล รับพร จากพระครูท่านหนึ่งที่ท่านนับถือมาก (ท่านมาจาก วัดป่าแถวจ.กาญจนบุรี) ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง อ. ท่าเคย จ.ราชบุรี [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ พวกเราออกเดินทางออกจากกรุงเทพตอนประมาณ 3 โมงเย็น กว่าจะไปถึงก็เกือบทุ่มนึง เพราะพ่อขับรถหลงวนไปวนมาอยู่เส้นทางอ.สวนผึ้ง เป็นชั่วโมง ... ตลอดเส้นทางที่ขับผ่านมีแต่ป่าหญ้าขึ้นเรียงรายทั้ง 2 ข้างทาง พอขับเข้าไปในวัด จะเห็นอุโบสถตั้งอยู่กลางวัดเลย เมื่อไปถึงพ่อก็มองหาที่จอดรถ วันนั้นคนไปเยอะมากจึงมีรถจอดด้านหน้าอุโบสถค่อนข้างเยอะ พ่อจึงขับไปจอดแถวๆ กุฏิพระ ตอนนั้นพระและลูกศิษย์ก็เริ่มสวดมนต์ทำพิธีไปบ้างแล้วละ พอนั่งสวดไปได้สักพักใหญ่ อยู่ดีๆ หมาในวัดก็หอนขึ้นรับกันนานพอสมควร แต่เราก็ไม่ได้ตกใจกลัวอะไร ก็เลยสวดต่อ

.......... หลังจากสวดมนต์ไปได้สักพักเราก็เริ่มหิวข้าว และเริ่มหงุดหงิดอยากกลับบ้าน เพราะวันรุ่งขึ้นต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า เราก็เลยเหวี่ยงใส่แม่เล็กน้อย
เรา : หม่าม้า ... อีกนานมั้ย? เมื่อไหร่จะกลับ หิวข้าว
แม่ : อีกแปปนึง ไม่นาน ... รอหลวงปู่ออกมาจากอุโบสถก่อน แล้วกลับเลย

.......... ผ่านไป 30 นาที .......... เราก็ถามประโยคเดิม
เรา : หม่าม้า ... หิวข้าวแล้วนะ เมื่อไหร่จะกลับสักที พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า แล้วเดี๋ยวก็ต้องขับรถไปส่งน้องที่สุวรรณภูมิอีก กว่าจะกลับ แล้วจะได้นอนกี่โมง?
แม่ : เทอนี่ยุ่งจริงๆ ... ถ้ามาแล้วงี่เง่าแบบนี้ ครั้งหน้าไม่ต้องมานะ
เรา : อ้าวววว!!! ก็ม้าบอกว่า จะพามากินข้าวที่ราชบุรีด้วย นี่หิวตั้งแต่บ่ายละนะ
แม่ : เออๆ กลับก็กลับ แล้วป๊าเทอไปไหน ไปดูข้างล่างสื๊

.......... จากนั้นเราก็ลงมาตามพ่อข้างล่าง เห็นพ่อยืนเม้าท์มอยอยู่กับเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันอยู่ เราจึงเดินหน้ามุ่ยเข้าไปกลางวง
เรา : ป๊า ... จะกลับได้ยัง? หิวข้าวแล้ว
พ่อ : (ทำท่าพยักหน้าหงึกๆ ... แต่ปากยังคุยกับเพื่อนอยู่)

เราเลยชวนน้องเดินไปที่รถเป็นเพื่อน กะว่าจะไปขับรถจอดกดดันหน้าทางเข้าอุโบสถ ... ขณะที่เดินไปกับน้อง ทางก็มืด เราเลยใช้แฟลซจากมือถือเป็นไฟนำทาง ... ตอนนั้นในใจไม่ได้คิดอะไรเลย นอกจากโมโหหิวและอยากกลับบ้านให้ไวที่สุด เราจึงเดินดุ่มๆ นำหน้าน้องโดยที่ไม่ได้หันหลังไปมองเลยว่าน้องเดินตามมาด้วยหรือไม่ พอพ้นจากอุโบสถไปได้ 20 เมตร หางตาขวาเราเห็นโลงแก้วบรรจุศพ(เจ้าอาวาสเก่า)แว่บๆ เราเลยหยุดชะงักและหันไปยกมือไหว้ แล้วเดินต่อไปที่รถ พอเดินไปถึงรถก็มีหมาวัด 2 ตัวเดินเข้ามาเห่า เราก็ว่ามันจะกัด ก็รีบไขกุญแจรถ โดยที่ไม่ได้หันไปมองเลยว่าน้องสาวไม่ได้เดินตามมาด้วย เพราะตลอดเวลาที่เดินมาที่รถ เรามีความรู้สึกตลอดว่ามีคนเดินตาม ก็เลยคิดว่าเป็นน้อง แต่ที่ไหนได้ เดินมาคนเดียวนี่หว่า ... พอก้าวขาซ้ายขึ้นรถได้ ปากก็พูดว่า "ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่โยม ไม่ได้รู้จักกัน ไม่ต้องตามมานะ" พอพูดประโยคนี้จบเท่านั้นแระ ... ได้ยินเสียงเหมือนคนทุบกระจบ 1 ครั้ง ฝั่งที่นั่งข้างคนขับดัง "ปุก!!!!!!!!!!" ใจตอนนั้นคิดว่าน้องเคาะเรียกให้เปิดประตูให้ แต่!!!!!! เราก็ไขกุญแจแล้วทำไมไม่เปิด เราก็เลยมองหาน้อง ... สรุปว่า บริเวณนั้นมีเราคนเดียว ไม่มีใคร ... แล้วเสียงนั้นมาจากไหน??? ใครทำ??? เรารีบสตาร์ทรถ แต่สตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด เราจึงตั้งสติและพูดว่า "หนูขอโทษ หนูไม่ได้ตั้งใจ" และลองสตาร์ทอีกครั้ง คราวนี้สาร์ทติด ... เรารีบเปิดไฟในรถและถอยหลังอย่างรวดเร็ว และเห็นน้องยืนยิ้มอยู่แถวๆ ทางเดินมุมอุโบสถ

.......... พอเข้ามาในรถ น้องสาวเห็นเราหน้าตาตื่น นางเลยถามว่า
น้อง : เป็นไง ศักดิ์สิทธิ์มั้ยละ
เรา : เ_ิงรู้ได้ไง แล้วทำไมไม่เดินมาด้วยกัน
น้อง : (หัวเราะลั่น) ก็เห็นอะ ก็เลยไม่เดินไป
เรา : อ้าววว!!! อีนี่ ... เห็นแล้วทำไมไม่บอก หรือสะกิดให้รู้ตัว
น้อง : ก็อยากให้ได้สัมผัสเอง
เรา : อะไร?? สัมผัสไรของเ_ิง ... เปนเจน ญาณทิพย์หรอ ยิ้มดดดดดดดดดดดด ... ถามกรุสักคำมั้ยว่าอยากได้สัมผัสนั้นหรือปาว
น้อง : (ขำไม่เลิก)

บอกตรงๆว่า รู้เลยว่าอาการขนหัวลุกมันเป็นยังไง และอาการปัสสวะเล็ดมันเป็นยังไง ... ใจหล่นไปที่ตาตุ่ม แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือหันไปมองตามเสียง พอขับมารับพ่อแม่ที่หน้าทางเข้าอุโบสถ ก็เปลี่ยนให้พ่อเป็นคนขับต่อ ... ตอนขับออกจากวัดมา ใจก็คิดว่า "เห้ยยยย!!! เมื่อกี้ใครไม่รู้มาเคาะกระจกรถข้างฉันนั่ง แล้วมันจะโผล่มามั้ยวะ" เพราะตลอด 2 ข้างทางมืดสนิทไม่มีแสงไฟเลย นอกจากแสงไฟหน้ารถ ... พอออกห่างจากวัดได้ 20 กว่าโล ก็ยอมเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าไปพบเจออะไรมา พอเล่าจบแม่ร้องอ๋อขึ้นมาทันที และเล่าประวัติให้ฟังคร่าวๆว่า ..........

วัดแห่งนี้ถ้าไม่มีงานจะเหลือพระที่ดูแลวัดเพียงองค์เดียว พระกับเณรที่คิดไม่ดีมักอยู่ไม่ค่อยได้เพราะของแรง อีกอย่างที่ดินหลังวัดเป็นสุสานเก่าของทหารพระเจ้าตาก แล้วโลงแก้วที่บรรจุศพนั่น ก็เป็นเจ้าอาวาสของวัดนี้ ...

ปล. ประวัติของวัดแห่งนี้เป็นเพียงเสียงลือเสียงเล่าอ้างเท่านั้น ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงที่แน่ชัด ... หากเพื่อนๆ คนไหนอยู่แถว อ.ท่าเคย ลอง inbox เข้ามาคุยได้นะ เพราะเราก็อยากรู้เหมือนกันว่า "เสียงปริศนานั้น ... มันคืออะไร"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่