เรื่องหลอนๆกับรักแรกตอนป.5ของผม....

เห็นพักนี้กำลังฮิตเรื่องสยองกัน ก็เลยถือโอกาสเกาะกระแสเอาประสบการณ์สวนตัวมาเล่าบ้างนะครับ เริ่มแรกจากตัวผมเองทุกวันนี้ก็อายุอานามปาเข้าไป30แล้ว แถมยังอยู๋ไกลบ้านไกลเมืองเพราะกระแสชีวิตซัดไปจนมาเกยฝั่งอยู่อเมริกาเรื่องหวนคิดถึงบ้านคิดถึงอดีตนั่นมีเข้ามากระทบจิใจอยู่เนื่องๆเป็นเรื่องธรรมชาติ มากบ้างน้อยมาก ใหม่หน่อยเก่าหน่อยขึ้นอยู่กับแรงกระตุ้นที่เข้ามา

       ส่วนสาเหตุที่ทำให้มาตั้งกรทู้เราเรื่องวันนี้นั้นมาจากที่วันก่อนตัวผมได้พูดคุยกับเพื่อนเก่าสมัยประถมคนหนึ่งผ่านทางเฟสบุ๊ค เรื่องี่พูดคุยส่วนากก็เป็นเรื่องราวเก่าๆครั้งสมัยยังเป็นเด็กกันเสียส่วนมาก จนกระทั้งคุณเพื่อนตัวดีถามกระตุ้นขึ้นมาว่า "เฮ้ย แล้วสมัยนั้นแกชอบใครรึป่าววะ" ตอนแรกๆก็คิดถึงแต่บรรดาสาวๆเพื่อร่วมรุ่นที่ไอ้หนุ่มน้อยด้อยประสบการณ์ยามนั้นแอบชื่นชอบ จนพาลคิดยาวยืดต่อไปว่า เอ.... ที่จริงแล้วสมัยนั้นเราชอบเค้าจริงๆหรือ แล้วคนที่เราชอบหรือเราตกหลุมรักจาเรียกได้ว่ารักครั้งแรกนั้นเป็นใครกันแน่ รักแรกที่ติดแน่นฝั่งลึกในความทรงจำดังคราบดำในห้องน้ำที่ต่อให้ฉีดเป็นหมดขวดก็ยังเกาะแน่นฝั่งลึก

       หลังจากมานั่งนึกทบทวนดูดีๆ นั่งเทียบตวงวัดอย่าถี่ถ้วนแล้วก็เลยพอจะสรุปได้ว่า รักแรกของไอ้กระผมนั้นเกิดขึ้นช่วงประมาณหน้าร้อนสมัยอยู่ ป.5 แม้จะผ่านมานานเกือบยี่สิบปีได้แต่ก็ยังจำมันได้ชัดทุกรายละเอียดแบบไม่มีวันลืม หลายคนอาจมองว่าจะแก่แดดแก่ลมไปไหน แต่ยอมรับเถอะครับว่าช่วงประถมตอนปลายเริ่มจะขึ้นมัธยมเนี่ยแหละคือช่วงแรกสุดของชีวิตที่เริ่มจะสนใจเพศตรงข้าม เอาจริงหลายคนก็เริ่มส่องสาวมาก่อนหน้านั้นแล้วด้วยซ้ำ อีกอย่างการที่เวลามีเพื่อนถามว่า "เฮ้ยๆเอ็งชอบใครวะ" แล้วใครซักคนตอบอย่างองอาจมั่นใจว่า "เฮ้ยเราชอบประวีณาห้องสองหว่ะ" ในสายตายเด็กน้อยมันช่างดูว่านายช่างโตเป็นผู้ใหญ่เสียจริงๆ กลับกันถ้าเราตอบไม่ได้ขึ้นมาว่าใครกันวะคือสาวที่เราชอบนั่นอาจจะทำให้เราถูกมองว่าเป็นเด็กน้อนอ่อนด๋อยด้อยค่าไปเลยเหมือนกัน ก็ไม่รู้ไปเอาความเข้าใจผิดๆนี่มาจากไหนกัน แต่ไอ้ครั้งจะบอกส่งไปก็ใช่ที เพราะไอ้ผลที่เพราะดีไม่ดีอาจโดนเพื่อนเอาไปล้อกันสนุกปากอีก ถ้าในเมื่ออย่างน้อยมันจะล้อทั้งทีก็ของเอาให้ตรงเอาใช้ใช่ซักหน่อยเหอะ

     อ้อมโลกมานานกลับเข้าเรื่องกันต่อ วันนั้นเป็นวันที่ครอบครัวเจ๊กจีนแบบผมจะรวมตัวกับยกโขยงโคตรตระกูลกันไปเซ่นไหว้เหล่าม่าเหล่ากงต้นตระกูลผู้ดั้นด้นข้ามน้ำข้ามทะเลเสื่อผืนหมอนใบจากแผ่นดินใหญ่เพื่อมาฝังกายลงยังแดนสยามบ้านเรา ฮวงซุ้ยของตระกูลผมนั้นอยู่ที่สระบุรี ด้วยความเป็นลูกหลานจีนที่ดีก็เลยต้องยกขโยงกันไปปิ๊กนิคเอ๊ยไปกราบไห้วบรรพบุรุษกันทุกปี และด้วยความที่ต้องมาทุกปีตั้งกะจำควาได้ ไอ้ผมเองก็เลยแอบเซ็งๆเบื่อๆเล็กน้อย ร้อนก็ร้อนแถมไม่มีไรทำนอกจากนั่งจุดธูปไหนแตกแดดอยู่กลางดงสุสาน แถมบรรดาญาติพี่น้องเจนเดียวกันก็มีแต่ผู้หญิงไอ้เราผู้ชายคนเดียวก็เลยเหงาไปโดยปริยาย

    เช็งเม้งปีนั้นก็เหมือนกันทุกๆปี ม๊ากับบรรดาอาโกวทั้งหลายก็ขนข้าวปลาอาหารมากมายประหนึ่งจะมาเลี้ยงกันทั้งหมู่บ้านมาตามปกติ ความที่บ้านผมนั้นผู้ชายน้อยมาก ทั้งตระกูลตอนนั้นนับได้ราวๆ20คน มีผู้ชายแค่4คนคือตัวผม ป๊า แล้วก็ อาเตี๊ยอีกสองคน ที่เหลือหญิงล้วน ผู้ชายอย่างผมก็เลยกลายเป็นแรงงานทาสขนข้าวของเตรียมจัดเครื่องเซ่นไหว้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนช่วยขนของเนี่ยแหละแหม่พูดกันเอาอกเอาใจเสียเหลือเกิน พอขนเสร็จจัดข้าวของเสร็จปุ๊ปเริ่มไหว้กันปั๊ปความว่างก็เริ่มเกิด แต่พอจะหันไปหาเพื่อนเล่นไอ้บรรดาน้องสาวตัวดีทั้งหลายก็ไม่สนใจ จับกลุ่มจิ๊จ๊ะกันเฉพาะผู้หญิงไปเรียบร้อย ผมก็เลยต้องหง่อยนั่งเหงาอยู่คนเดียว

    เมื่อเริ่มทนความเบื่อไม่ไหวเพราะไม่มีใครเล่นด้วย ก็เลยตัดสินใจไปเดินเตร่รอบๆฮวงซุ้ยคนเดียว เอาก็เอาวะ ไม่มีใครเล่นกะตรู ตรูหาไรเล่นคนเดียวก็ได้ แถวๆระแวกนั้นก็มีอีกหลายครอบครัวตั้งซุ้มไหว้กันอยู่ มันก็ต้องมีเด็กซักคนเหงาๆไม่มีไรทำพอให้ชวนเล่นด้วยได้ซักคนละน่า ผมเลยไปเดินด่อมๆมองๆไปทั่วหาคนที่จะเป็นเหยื่อความเหงาในวันเช็งเม้งมาเล่นด้วยกัน หลังจากเดินมาไม่ไกลผมก็เจอเหยื่อเอ๊ยคนที่ดูท่าทางจะเหงาๆเซ็งๆเหมือนกันให้ชวนมาเล่นด้วยจนได้

    เด็กที่ผมเจอนั้น เป็นเด็กผู้หญิงผมเปียหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง นั่งจุ่มปุ๊กอยู่บนเนินดินเล็กๆก่อนถึงคณะเช็งเม้งของอีกครอบครัวที่อยู๋ใกล้ๆกันซึ่งดูแล้วนอกจากเด็กผู้หญิงคนนี้แล้วในกลุ่มนั้นก็ไม่มีเด็กคนอื่นเลย เข้าทางสิครับ ท่าทางเธอดูหง่อยๆเหงาๆแบบนี้แปลว่าทั้งบ้านมีเธอเป็นเด็กอยู่คนเดียวแน่นอน ผมก็ไม่รอช้าตรงดิ่งเข้าไปช่วนเธอคุยทันที ปกติแล้วตามธรรมชาติของเด็กผู้ชายถ้าเป็นได้ก็อยากจะเล่นกับเด็กผู้ชายด้วยกันซะมากกว่า แต่ไอ้ผมทโตมากับน้องสาวเป็นสิบคน เวลาอยู่บ้านถ้าจะเล่นอะไรก็ต้องจำใจเล่นกับบรรดาน้องสาวทั้งหลายเป็นปกติอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องการเข้าไปคุยหรือชวนเด็กผู้หญิงคนอื่นมาเล่นด้วยก็ไม่ใช่เรื่องขัดเขินอะไร แถมสถานการณ์ตอนนั้นมีเด็กผู้หญิงให้ชวนเล่นเป็นเพื่อนก็ยังดีกว่าไม่มีใครเล่นด้วยละวะ

    ผมเดินเข้าไปทักทายเธอแบบไม่รีรอ ว่าอยู่คนเดียวไม่มีใครเล่นด้วยหรอ เธอหันมามองหน้าผมด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าตอบกลับ ผมก็เลยเลยบอกว่าเบื่อละสิไม่มีคนเล่นด้วย เราก็เบื่อเหมือนกัน พวกน้องๆมันเกาะกลุ่มกันแล้วเลยไม่มีใครเล่นกับเราเลย เธอเงียบไม่ตอบอะไร ผมก็เลยชวนเธอไปว่า งั้นมาเล่นซ่อนหากับเราป่ะ สองคนก็เล่นได้นะผลัดกันซ่อนผลัดกันหา พอพูดจบเธอหันมายิ้มเล็กน้อยแล้วตอบกลับมาว่า “อืมก็ดี เอาสิเราเล่นด้วย” วินาทีที่เธอหันมายิ้มให้นั้นหัวใจผมฟ่องโตมาก ให้ตายเหอะ เธอน่ารักยิ่งกว่าบรรดาเพื่อนผู้หญิงที่ผมเคยเจอที่โรงเรียนซะอีก

    เราสองคนวิ่งเล่นกันอยู่ไปรอบๆอย่างสนุกสนาน แม้สถานที่จะไม่เอื่ออำนวยต่อบรรยกาศอินเลิฟมากนัก แต่ระหว่าที่ได้วิ่งเล่นกับเธอนั้นผมก็เกิดอาการตกหลุมรักเธอเข้าไปเต็มๆ จนกระทั่งคล้อยบ่าย ที่บ้านผมเริ่มเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับกันแล้ว ม๊าเลยตะโกนเรียกให้ผมกลับไปช่วยขนของขึ้นรถ ผมเลยต้องจำใจยุติช่วงเวลาแสนฟ่องโตนั้นและโบกมือบ๊าบายเธอ ก่อนไปผมบอกกับเธอว่าไว้ปีหน้ามาเล่นด้วยกันอีกนะถ้าเจอกันพร้อมกับรีบวิ่งกลับไปที่ฮวงซุ้ยของที่บ้าน แล้วก็พลันนึกขึ้นได้ว่า อ้าวเล่นกันมาตั้งนานไม่ได้ถามชื่อแซ่กันเลย พอจะหันหลังกลับไปถาม เธอก็ไม่อยู่ซะแล้ว พร้อมกับครอบครัวที่อยู่ข้างๆซึ่งน่าจะเป็นครอบครัวของเธอก็พากันออกรถกลับกันพอดี ผมเลยได้แต่เดินคอตกกลับไปหาม๊าพร้อมแอบหวังในใจว่าปีหน้าเราอาจจะได้เจอกันอีก

    เมื่อเดินกลับมาถึงผมก็ช่วยม๊าจัดเก็บข้าวของขึ้นรถ ระหว่างนั้นผมก็ถามม๊าว่าม๊าบ้านที่เค้ามาเช็งเม้งข้างถัดจากเราไปมั้ย ม๊าบอกก็พอจะรู้ เคยพูดคุยทักทายกันครั้งสองครั้ง ผมก็เลยพูดไปลอยๆว่า ลูกสาวบ้านนั้นน่ารักนี้เนอะ นิสัยดีด้วย วันี้ก็วิ่งเล่นกันผมทั้งวัน พูดจบม๊าหันมามองผมแบบงงแล้วก็พูดขึ้นมาว่า “บ้านนั้นเค้ามีลูกสาวด้วยหรอม๊าไม่ยักรู้ แล้วแกไปเล่นกับลูกสาวเค้าตอนไหน ม๊าก็ไม่เห็นแกเล่นกะใครที่ไหน เห็นแต่แกวิ่งไปวิ่งมาของแกอยู่คนเดียวทั้งวัน” ผมไม่ใส่ใจ ม๊าไม่รู้ไม่เป็นไร ปีหน้าถ้าโชคดีได้เจอกันผมค่อยถามเธอเองเลยก็ได้

    หลังจากกลับจากเช็งเม้งปีนั้น ในใจผมก็คิดถึงแต่เรื่องของเธอคนนั้นอยู่เรื่อยๆ ปีนั้นทั้งปี วันเช็งเม้งกลายเป็นวันที่ผมเฝ้ารอคอยมากเสียยิ่งกว่าวันตรุษจีนซะอีก ภาพของสาวน้อยผมเปียผู้น่ารักที่ผมไม่ทันได้ถามชื่อเธอไว้ทำเอาผมไม่คิดสนใจเพื่อนผู้หญิงที่โรงเรียนคนไหนอีกเลย เรียกว่าเป็นเอามาก จนกระทั้งวันเงเม้งวนมาถึงอีกรอบ ผมตื่นเต้นมาก ระหว่างทางผมนั่งภาวนาอยู่ในใจขอให้ปีนี้บ้านของเธอมาวันเดียวกันกับบ้านผมอีก ทันทีที่ลงจากรถหัวใจผมยิ่งฟ่องโตด้วยความดีใจ ตรงที่ๆบ้านของเธอมากันปีที่แล้ว ปีนี้ก็มีคนมาตั้งซุ้มเซ่นไหว้กันเช่นเดียวกับปีที่แล้ว ผมพยายามกวาดตาหาเธอ แต่ก็ไม่เห็น หลังจากช่วยที่บ้านจัดของเสร็จไหว้อะไรต่อมิอะไรเสร็จแล้ว ผมตัดสินใจเดินไปยังที่ๆบ้านของเธออยุ่กันพร้อมกับถามเธอเธอคนนั้น สาวน้อยผมเปียที่ผมตกหลุ่มรัก แต่ทว่าคนในบ้านนั้นกลับทำท่าที่งุนงงเมื่อผมเข้าไปถามหาเธอ พวกเค้าตอบกลับมาว่า บ้านนี้ไม่มีเด็กมาหลายปีแล้ว ผมรูสึกว่าตัวเองหน้าแตกเล็กน้อยเลยจะเดินกลับ แต่ทันใดนั้นผมก็เหลือไปเห็นรูปๆหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้าฮวงซุ้ยของบ้านนั้น

        ที่หน้าฮวนซุ้ยมีอรู้ตั้ง ทั้งหมดสามรูป สองรูปแรกเป็นรูปชายแก่และหญิงชราซึ่งน่าจะเป็นอากงอาม่าของบ้านนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมช็อคคือรูปถัดมา รูปนั้นเป็นรูปของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผมจำได้ในทันทีว่าเด็กผู้หญิงในรูปนั้นเธอคือคนเดียวเด็กผู้หญิงที่ผมเล่นด้วยเมื่อปีที่แล้วไม่ผิดแน่ ผมเลยหันกลับไปถามอีกครั้งว่าแล้วเด็กผู้หญิงในรูปนั้นคือใคร พวกเค้าบอกว่าเป็นหลานในบ้าน เธอเสียชีวิตไปได้สี่ห้าปีแล้ว เวลามาเช็งเม้งพวกเค้าก็เลยเอารูปเธอมาตั้งเพื่อจะได้ทำบุญไปให้พร้อมๆกับอากงอาม่าเลย

    ผมช็อคจนแทบทรุด สรุปแล้วเธอคนนั้นที่เป็นรักแรกของผม เธอมีอยู่จริงๆใช่มั้ย? ผมเคยได้พบกันเธอจริงๆใช่มั้ย? หรือผมแค่คิดไปเอง? คำถามนี้ยังคงค้างคาอยู่ในใจผมมาจนถึงทุกวันนี้....
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่