สวัสดีครับเรื่องที่ผมจะเล่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานมากแล้ว ต้องขอเล่าย้อนไปนิดนึง รายละเอียดต่างๆอาจจะจำได้ไม่หมด แต่ผมจะเล่าเฉพาะเรื่องที่ทำให้ผมจำได้ขึ้นใจแล้วกันนะครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า.................
คุณยายกับคุณตาผมเป้นคู่รักที่รักกันมากๆ คุณยายเป็นคนจีนแท้ๆ ย้ายรกรากมาอยู่เมืองไทยสมัยไหนไม่รุ้เหมือนกัน ด้วยความหลงเสน่ห์บ้านแบบไทยๆสมัยนั้น ก็สร้างบ้านเรือนไทยใต้ถุนสูงหลังใหญ่ไว้ จนพบรักกับคุณตาที่เป็นคนลาว สุดท้ายทั้งคู่ก็แต่งงานแล้วครองรักกันโดยคุณตาย้ายมาอยู่กับคุณยาย ท่านมีลูกทั้งหมด 12 คน แม่ของผมเป็นลูกคนโตครับ พอแม่ผมแต่งงงานกับพ่อก็มีผม คุณยายคุณตาก็เห่อผมเอามาก เรียกได้ว่าเป็นหลานรักเลย
บ้านคุณยายที่สร้างเนื้อที่กว้างมากครับ หลายไร่อยุ่เหมือนกัน แต่ผมไม่แน่ใจว่ากี่ไร่ ในบริเวณบ้านคุณยายมีไร่องุ่น ที่คุณยายทำไว้เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ไร่องุ่นใหญ่มากครับ แล้วคุณยายก็ปลูกต้นมะขามไว้หลายต้น จนมันใหญ่บังบ้านไปหมด พูดง่ายๆ ถ้ามีคนอยู่บนเรือน มองจากข้างนอกเข้ามาก็แทบจะไม่เห็นเลยล่ะครับ ถ้าไม่สังเกตดีดี อ้อแล้วก็คุณตาเลี้ยงหมูไว้ด้วยครับ หลายตัวเชียว ไม่ได้เลี้ยงเพราะจะขายนะครับ แต่เอาไว้ทำพิธี “เสนเรือน” (เดี๋ยวจะกล่าวถึง)
บ้านคุณยายใต้ถุงสูง ขึ้นบันได้บ้านมาเปิดประตูจะเจอโถ่งใหญ่ไว้ทานข้าว นั่งเล่น พูดคุยกัน รอบๆโถ่งก็จะแบ่งเป็นห้องๆ แบ่งไว้ให้ลูกๆคุณยายอยู่ และเว้นห้องนึงเอาไว้ให้ผีบ้านผีเรือนอยู่ตามความเชื่อของคุณตา ถ้าเทียบตอนปัจจุบันตอนนี้บ้านหลังนี้ก็อายุราวๆร้อยกว่าปีแล้วล่ะครับ
ครอบครัวผมมาอยู่กรุงเทพหลังจากคุณแม่แต่งงานแล้วครับ ผมก้เกิดกรุงเทพเนี่ยแหละ จะได้กลับไปบ้านคุณยายที่ก็ปีละครั้งสองครั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความรักของคุณยายที่มีในตัวผมลดน้อยลงไปเลยจริง - -‘
คุณยายผมเป็นเบาหวาน และเสียชีวิตลง ทางบ้านได้ทราบข่าวก็รีบไปทันที คุณยายเสียชีวิตที่เรือนแขกอีกเรือนที่น้าๆของผมสร้างเอาไว้เวลามีแขกไปใครมาก็จะได้ไม่ต้องไปวุ่นวายบนเรือนใหญ่รบกวนคุณตาคุณยาย ระหว่างเรือนแขกและเรือนใหญ่ก็มีไร่องุ่นเนี่ยละครับคั่นกลาง สวยเลยทีเดียว บรรยายกาศดีมากๆ จากที่น้าผมเล่านะครับ คือคุณยายแกจะเข้าไปทำความสะอาดเรือนแขกเป็นประจำของแกอยู่แล้ว ทุกๆวันหรือสองวัน เพื่อให้พร้อมเสมอเวลามีลูกหลานหรือแขกไปใครมาจะได้เข้าอยู่ได้เลย แล้วอยู่ๆวันนั้นแกก็ไปตั้งแต่เช้า จนค่ำมึดดึกดื่นก็ยังไม่กลับ น้าเลยสงสัย เลยเดินตามไปดู ก็เห็นคุณยายนอนเสียชีวิตอยู่ที่โถ่งรับรองบนเรือนแขกแล้ว
วันนั้นถ้าจำไม่ผิดประมาณ สามทุ่มกว่าได้ ผมไปถึงที่บ้านคุณยาย แม่ผมน้าๆของผมร้องไห้กันระงมเลย ต่างโทษตัวเองว่าไปล่อยให้คุณยายเข้าไปทำทั้งๆที่ก็แก่แล้ว แต่ก็อย่างว่าแหละครับ คนแก่ อยู่เฉยๆท่านคงเบื่อเลยอยากทำนู้ทำนี่บ้าง ผมอยู่ที่บ้านคุณยายจนวันเผา แล้วจึงกลับกรุงเทพ เหตุการณ์แรกที่ทำให้ครอบครัวผมขนลุกเลยคือ.....
พอถึงบ้าน เพื่อนบ้านผมเดินมาหาแล้วถามว่า
“ไปไหนกันมา สองสามวันมานี้มีคนมาหา มายืนรออยู่หน้าประตูบ้านทุกวันเลยนะ ถามอะไรก็ไม่ตอบ” พอแม่ผมถามถึงลักษณะของคนคนนั้น ถึงกลับเป็นลมล้มพับเลยครับ ใช่ครับ นั่นมันคือลักษณะของคุณยายผม ผมหยิกสั้นหงอกทั้งหัว ตัวผอมๆ ใส่ผ้าถุงกับเสื้อคอกระเช้าสีเหลือง และนั่นมันคือชุดที่คุณยายใส่ตอนท่านเสียครับ ตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรสักเท่าไหร่ ครอบครัวเราก็เข้าบ้านแล้วอาบน้ำนอนกัน เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็ถามคุณแม่ว่า คุณแม่ดีขึ้นรึยัง??? คุณแม่ไม่ตอบอะไร ในขณะที่กินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา แม่ผมก็พูดขึ้นมาว่า
“ยายมาหานะ แม่มั่นใจ” แม่ผมพูดเหมือนคนกำลังจะร้องไห้
“แม่รู้ได้ไงว่าเป็นคุณยาย” ผมก็ถามออกไปโพล่งด้วยความเป็นเด็ก
“คุณยายมาหาแม่ในความฝันเมื่อคืน บอกว่าเป็นแกเอง” ตอนนี้แม่ร้องไห้เลยครับ ผมก็อึ้งสิ ทำอะไรไม่ถูกกินข้าวไม่ลงเลย คุณแม่ก็ปาดน้ำตาแล้วพูดต่อว่า “คุณยายบอกว่าคุณยายคิดถึงในบรรดาลูกๆแม่ไปหาแกน้อยสุด”
คือไม่ใช่แม่ผมไม่รักคุณยายนะครับ แต่เป็นเพราะผมเนี่ยแหละ ตอนนั้นเด็กๆอะครับ ผมไม่ชอบไปหาคุณยาย เพราะคุณยายชอบให้นั่งคุยด้วย เพราะด้วยความเป็นหลานชายคนแรกและเป็นหลานรักแหละมั้งครับ แต่ผมก็ไม่ชอบ มันน่าเบื่อ แม่ผมเลยไม่ไปเพราะผมคนเดียวเลยจริงๆ แม่ผมก็พูดต่อว่า
“ยายบอกว่า ยายคิดถึงหนู (หมายถึงผม) ยายอยากหอมแก้มอยากคุยด้วย อยากแกล้ง แต่ยายก็คงไม่มีโอกาสแล้ว”
ผมขอโทษคุณแม่แล้วก็ร้องไห้เลยตอนนั้น ถามว่าผมกลัวมั้ย ตอบเลยว่าไม่ครับ แต่ถ้าย้อนกลับไปได้ผมอยากจะไปบ้านคุณยายให้บ่อยกว่านี้
หลังจากคุณยายท่านเสียไป คุณตาที่อยู่ก็ไม่เป็นอันกินอันนอน เรียกง่ายๆว่าตรมใจอ่ะครับ แล้วคุณตาก็เสียชีวิตตามคุณยายไปอีกคนในระยเวลาเพียง 3 เดือนหลังจากคุณยายตาย พอทราบข่าวก็รีบไปทันทีเลยครับ ศพยังไม่ได้เคลื่อนย้าย ทุกคนรอแม่ผมอยู่ แม่ผมเข้าไปดูศพคุณตาแล้วก็ร้องไห้เสียงดังมากๆ ผมไม่ได้เข้าไปดูหรอกครับ เพราะว่ายังเด็กก้โดนกันไว้ตลอด คุณน้าบอกว่า คุณตานอนเสียชีวิตผมเตียงเหมือนคนนอนหลับ แต่ในมือถือรูปคุณยายสมัยยังสาวไว้อยู่ด้วย !!!! โอ้ยยยยตายๆๆๆๆ ผมยอมรับเลยครับว่าผมน้ำตาไหลเลย ผมไม่คิดว่าความรักของผุ้ชายคนนี้ที่มีให้มันจะยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แม่ผมดูจะเศร้ากว่าน้าๆคนอื่นๆ เพราะด้วยความที่เป็นคนเดียวที่มาอยู่ กทม เลยรู้สึกผิดอยู่เสมอเพราะต้องห่างจากคุณตาและคุณยา แม่ผมเลยนอนห้องคุณตาคุณยายตลอดเวลาที่ทำเรื่องงานศพเลยครับ
ส่วนผมกับพ่อและน้องชายนอนห้องตัวเอง ส่วนศพไม่ได้ตั้งที่วัดนะครับ ศพตั้งสวดที่บ้านแล้วถึงเอาไปเผาที่วัด ศพก็ตั้งอยู่ที่โถ่งของเรือนใหญ่นั่นแหละครับ มีน้าคอยผลัดเปลี่ยนกันนอนเฝ้า คืนวันสวดวันสุดท้ายในขณะที่ผมและคนอื่นๆนั่งฟังสวดกันอยู่ ไอ้ตัวเล็กของผม ก็สิ่งซนไปทั่วด้วยความเป็นเด็กแหละครับยังไม่ประสีประสา นั่นมันพอทำใบรรยากาศอันน่าโศกเศร้าลดลงได้บ้าง แล้วจู่ๆ ไอ้ตัวเล็กก็หยุดวิ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า
“คุณตาไปไหนมา น้องดิสหาคุณตาไปทั่วเลย” พวกผมและน้าๆก็หันไปมอง คุณแม่ผมก็เดินไปอุ้มไอ้ตัวเล็กมานั่งบนตัก แล้วก็พูดกับน้องว่า
“คุณตาไม่อยู่แล้วลูก” ทุกคนก็ยังไม่เอะใจอะไร คิดว่าเจ้าดิสมันคงคิดถึงคุณตาแล้ว เพราะคุณตาชอบเล่นกับน้องดิสมากๆเวลาพวกเรามาหา
“นี่ไงๆ ไม่อยู่ที่ไหน คุณตาเอาว่าวมาให้หนู ยืนอยู่อยู่ตรงประตูเนี่ย” แล้วไอ้ตัวเล็กก็กระโดดลงลงจากตักคุณแม่วิ่งไปที่ประตู ทำท่าทางเหมือนรับของจากใครสักคนมาอย่างนั้นแหละ ตอนนั้นผมขนลุกไปเลยครับ ส่วนแม่ผมก็ร้องไห้เลย น้าๆคนอื่นๆก็อึ้งกันไปหมด น้องผมก็คุยกับคุณตาต่อ
“คุณตาจะไปไหนครับ วันนี้มีทำบุญ ทำไมคุณตาไม่อยู่ด้วย” ไอ้ตัวเล็กมันก้ไม่รู้ว่านี่คืองานศพคุณตา แต่ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าตอนนั้นคุณตาตอบน้องไปว่าอะไร
“คุณตาไปแล้วให้จะทำว่าวให้น้องดิสเล่น”
“คุณตาอุ้มหน่อย”
บทสนทนาระหว่างไอ้ตัวเล็กกับคุณตาตรงนั้น มันชัดเจนจนทำให้คนทั้งงานขนลุก น้าผมต้องเดินไปเคาะโลงบอกคุณตาว่า อย่าให้หลานมันเข้าใจผิดเลยเดี๋ยวหลานมันจะรอ
“คุณตาไปไหนๆๆๆๆๆ น้องดิสไปด้วยๆ” แล้วน้องผมก็ทำท่าจะวิ่งลงเรือนไป แม่ผมต้องวิ่งไปอุ้มน้องไว้ แล้วน้องก็ร้องไห้ไม่ยอมหยุด จะไปหาคุณตาอย่างเดียวเลย แม่ก็เลยบอกว่าคุณตาต้องไปแล้วลูก
“คุณตาบอกว่าคุณตาจะไม่กลับมาแล้ว” นี่คือสิ่งที่น้องผมยอมพูดเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ผมรุ้ได้ว่าคุณตาพูดอะไรกับน้องผมตอนนั้น
ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหลานรักแกเนอะแกก็อยากเจอ อยากกอดอยากหอมเป็นครั้งสุดท้ายแหละ พอเสร็จสิ้นงานศพคุณตาก็ไม่มีใครได้เจอคุณตาหรือฝันถึงอีกเลย
หลังจากงานศพคุณตาคุณยายได้ไม่นาน บรรดาน้าๆก็ตั้งใจจะทำ “พิธีเสนเรือน” ตามความเชื่อของคุณตา ทุกปี พิธีกรรมนี้คือเอาหมูที่เลี้ยงไว้ครับ มาฆ่าแล้ว “เซ่นผี” ผมก็ไม่รุ้รายละเอียดอะไรมากหรอกครับ แต่จำได้ว่าลูกหลานทุกคนมนตระกูลต้องมาให้ครบ ตามความเข้าใจของผมคือการไหว้บรรพบุรุษ นะผมคิดเอา
ทุกคนใส่ชุดสีดำๆ ผมก้ไม่รุ้อีกล่ะว่าเรียกว่าอะไร เหมือนเครื่องแต่งกายของเผ่าอะไรสักอย่าง แล้วก็ก็มีรำๆตามประเพณีของชาวลาวเค้ามั้งครับผมก้ไม่แน่ใจไม่ได้ถามรายละเอียดเลยแต่สิ่งหนึ่งที่จำได้จนถึงทุกวันนี้เลยก็คือ ตอนฆ่าหมูครับ หมูตัวใหญ่ๆ ถูกมัดขาเอาไม้หามแล้วก็ฆ่า เสียงร้องของหมูดังระงมอู่หลายนาทีกว่ามันจะสิ้นใจ จากความทรมาณ แล้วทางผู้ใหญ่ก็แร่มันเอาไปเซ่นผีครับ โดยเอาใส่ในถาดหรืออะไรอะไรสักอย่างผมก้เรียกไม่ถูก แล้วก็ไปไหว้ที่มุมห้องครับ ซึ่งห้องที่คุณว่างไว้ก้เพื่อนพิธีกรรมนี้แหละครับ ส่วนที่เหลือก็กินกันในหมูเครือญาติ ผมจำได้ว่าเวลาแม่บอกต้องไปพิธีเสนเรือนผมนี้กลัวตลอดเลย ไม่รุ้ทำไม แต่ก็ทำได้ไม่กี่ครั้งหรอกครับ

นี่คือชุดสำดำที่ผมบอกครับ ขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เนต


พิธีเสนเรือน เซ่นผี ที่ไหว้กันตรงมุมห้องครับ ก็จะประมาณนี้ และก็ตอนฆ่าหมูครับ ขอบคุณรูปจากอินเตอร์เนต

ตอนฆ่าหมูเเพื่อทำพิธีเสนเรือนครับ ขอบคุณคลิปจากยูทูป

ตอนไหว้ตรงมุมห้องครับ ประมาณนี้เลยครับ ขอบคุณคลิปจากยูทูป
จนผ่านมาได้ 12 ปี น้าๆผมก็ย้ายออกจากบ้านคุณตาคุณยายกันไปทีละคนสองคนจนตอนนี้บ้านคุณยายไม่มีใครอยู่แล้วครับ แม่ผมก็กลับไปบูรณะบ้านที่ใกล้จะพังแหล่ไม่พังแหล่ จนสามารถอยู่ได้ดังเดิม อย่างว่าแหละครับ ตอนนี้ครอบครัวผมกลายเป็นคนดูแลบ้านคุณยายแต่เพียงผู้เดียวเลยครับ ส่วนไร่องุ่นก็เลิกทำปล่อยโล่งๆไว้แบบนั้นเลย
ผ่านมา 12 ปีผมก็นึกอะไรไม่รู้ ตอนนั้นผมอายุ 21 วัยคะนองแหละครับ ก็ขอคุณแม่ไปบ้านคุณยายกับเพื่อนๆ โดยไปกันเองไม่มีผุ้ใหญ่ไปด้วย เพราะผมได้เล่าให้เพื่อนผมฟังว่า บ้านคุณยายผมเหมือนบ้านทรงไทยในละครที่แบบมีโถ่งตรงกลาง มันดูเท่ห์ดีนะ แม่ผมก็อนุญาตให้ไปได้ พอไปถึงผมกับเพื่อน อีก 6 คน ก็แบ่งห้องกัน คนละห้อง ตอนนี้ทุกห้องมีแอร์หมดแล้วครับ เพิ่งมาติดทีหลัง แต่ห้องน้ำยังต้องเดินออกมาเข้าด้านนอกอยู่ดี พวกผมก็วัยรุ่นอ่ะครับ เอาชุดไทยมาใส่เล่นกันถ่ายรูปกันตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร ผมเองก้ไม่คิดอะไร ก็บ้านคุณยายผมเองผมเลยไม่ได้คิดมากอะไร อีกอย่างคุณยายก็ใจดีแล้วรักผมมากด้วยแล้วท่านก้เสียไปนานแล้ว
พอตกดึก คืนที่หนึ่ง พวกเราก็ก๊งเหล้ากันอยู่ตรงโถ่งเรือนใหญ่ครับ ก็ด้วยความคึกคะนองอีกนั่นแหละ ไอ้เป๊ก เพื่อนผมก็บอกว่าบรรยากาศแบบนี้น่าเล่าเรื่องผีว่ะ พวกเราก้เลยเล่าเรื่องผีกัน แต่ก็ไม่มีเรื่องใครน่ากลัวเลยสักคน จนถึงตาผมเล่า ผมก้ไม่รู้จะเล่าอะไร เพราะผมก้ไม่เคยเจอผีก็เลยเล่าเรื่องคุณตาคุณยายให้ฟังวะเลย ไหนๆก็มาที่บ้านท่านละ
ผมเล่าให้เพื่อนฟัง แล้วก็ให้พวกมันเดินมาที่ชานเรือนมองไปยังเรือนแขกที่อยู่ไกลออกไปอีกหน่อย มีเพียงแสงไฟสลัวๆตามทางเดินที่ส่องสว่าง และผมก็บอกว่ายายกูตายที่นั่นแหละ แล้วก็เล่าเรื่องคุณตาว่าตายบนเรือนใหญ่ ไอ้เอก เพื่อนผมก็ถามทันทีเลย “ตายตรงไหนวะ” ผมก็ชี้ไปที่ห้องของคุณตา โชคดีที่ไม่มีใครจองที่จะนอนห้องนั้น อาจจะเพราะห้องนั้นไม่ได้ทำความสะอาดหรือเก็บกวดเลยหลังจากที่ท่านเสียไป
"บ้านคุณตาคุณยาย, พิธีเสนเรือนเซ่นผี และเหตุการณ์แปลกๆ" ที่ทำให้คนไม่เชื่อเรื่องผีต้องเชื่ออย่างไม่มีเหตุผล
เรื่องมันมีอยู่ว่า.................
คุณยายกับคุณตาผมเป้นคู่รักที่รักกันมากๆ คุณยายเป็นคนจีนแท้ๆ ย้ายรกรากมาอยู่เมืองไทยสมัยไหนไม่รุ้เหมือนกัน ด้วยความหลงเสน่ห์บ้านแบบไทยๆสมัยนั้น ก็สร้างบ้านเรือนไทยใต้ถุนสูงหลังใหญ่ไว้ จนพบรักกับคุณตาที่เป็นคนลาว สุดท้ายทั้งคู่ก็แต่งงานแล้วครองรักกันโดยคุณตาย้ายมาอยู่กับคุณยาย ท่านมีลูกทั้งหมด 12 คน แม่ของผมเป็นลูกคนโตครับ พอแม่ผมแต่งงงานกับพ่อก็มีผม คุณยายคุณตาก็เห่อผมเอามาก เรียกได้ว่าเป็นหลานรักเลย
บ้านคุณยายที่สร้างเนื้อที่กว้างมากครับ หลายไร่อยุ่เหมือนกัน แต่ผมไม่แน่ใจว่ากี่ไร่ ในบริเวณบ้านคุณยายมีไร่องุ่น ที่คุณยายทำไว้เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ไร่องุ่นใหญ่มากครับ แล้วคุณยายก็ปลูกต้นมะขามไว้หลายต้น จนมันใหญ่บังบ้านไปหมด พูดง่ายๆ ถ้ามีคนอยู่บนเรือน มองจากข้างนอกเข้ามาก็แทบจะไม่เห็นเลยล่ะครับ ถ้าไม่สังเกตดีดี อ้อแล้วก็คุณตาเลี้ยงหมูไว้ด้วยครับ หลายตัวเชียว ไม่ได้เลี้ยงเพราะจะขายนะครับ แต่เอาไว้ทำพิธี “เสนเรือน” (เดี๋ยวจะกล่าวถึง)
บ้านคุณยายใต้ถุงสูง ขึ้นบันได้บ้านมาเปิดประตูจะเจอโถ่งใหญ่ไว้ทานข้าว นั่งเล่น พูดคุยกัน รอบๆโถ่งก็จะแบ่งเป็นห้องๆ แบ่งไว้ให้ลูกๆคุณยายอยู่ และเว้นห้องนึงเอาไว้ให้ผีบ้านผีเรือนอยู่ตามความเชื่อของคุณตา ถ้าเทียบตอนปัจจุบันตอนนี้บ้านหลังนี้ก็อายุราวๆร้อยกว่าปีแล้วล่ะครับ
ครอบครัวผมมาอยู่กรุงเทพหลังจากคุณแม่แต่งงานแล้วครับ ผมก้เกิดกรุงเทพเนี่ยแหละ จะได้กลับไปบ้านคุณยายที่ก็ปีละครั้งสองครั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความรักของคุณยายที่มีในตัวผมลดน้อยลงไปเลยจริง - -‘ คุณยายผมเป็นเบาหวาน และเสียชีวิตลง ทางบ้านได้ทราบข่าวก็รีบไปทันที คุณยายเสียชีวิตที่เรือนแขกอีกเรือนที่น้าๆของผมสร้างเอาไว้เวลามีแขกไปใครมาก็จะได้ไม่ต้องไปวุ่นวายบนเรือนใหญ่รบกวนคุณตาคุณยาย ระหว่างเรือนแขกและเรือนใหญ่ก็มีไร่องุ่นเนี่ยละครับคั่นกลาง สวยเลยทีเดียว บรรยายกาศดีมากๆ จากที่น้าผมเล่านะครับ คือคุณยายแกจะเข้าไปทำความสะอาดเรือนแขกเป็นประจำของแกอยู่แล้ว ทุกๆวันหรือสองวัน เพื่อให้พร้อมเสมอเวลามีลูกหลานหรือแขกไปใครมาจะได้เข้าอยู่ได้เลย แล้วอยู่ๆวันนั้นแกก็ไปตั้งแต่เช้า จนค่ำมึดดึกดื่นก็ยังไม่กลับ น้าเลยสงสัย เลยเดินตามไปดู ก็เห็นคุณยายนอนเสียชีวิตอยู่ที่โถ่งรับรองบนเรือนแขกแล้ว
วันนั้นถ้าจำไม่ผิดประมาณ สามทุ่มกว่าได้ ผมไปถึงที่บ้านคุณยาย แม่ผมน้าๆของผมร้องไห้กันระงมเลย ต่างโทษตัวเองว่าไปล่อยให้คุณยายเข้าไปทำทั้งๆที่ก็แก่แล้ว แต่ก็อย่างว่าแหละครับ คนแก่ อยู่เฉยๆท่านคงเบื่อเลยอยากทำนู้ทำนี่บ้าง ผมอยู่ที่บ้านคุณยายจนวันเผา แล้วจึงกลับกรุงเทพ เหตุการณ์แรกที่ทำให้ครอบครัวผมขนลุกเลยคือ.....
พอถึงบ้าน เพื่อนบ้านผมเดินมาหาแล้วถามว่า
“ไปไหนกันมา สองสามวันมานี้มีคนมาหา มายืนรออยู่หน้าประตูบ้านทุกวันเลยนะ ถามอะไรก็ไม่ตอบ” พอแม่ผมถามถึงลักษณะของคนคนนั้น ถึงกลับเป็นลมล้มพับเลยครับ ใช่ครับ นั่นมันคือลักษณะของคุณยายผม ผมหยิกสั้นหงอกทั้งหัว ตัวผอมๆ ใส่ผ้าถุงกับเสื้อคอกระเช้าสีเหลือง และนั่นมันคือชุดที่คุณยายใส่ตอนท่านเสียครับ ตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรสักเท่าไหร่ ครอบครัวเราก็เข้าบ้านแล้วอาบน้ำนอนกัน เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็ถามคุณแม่ว่า คุณแม่ดีขึ้นรึยัง??? คุณแม่ไม่ตอบอะไร ในขณะที่กินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา แม่ผมก็พูดขึ้นมาว่า
“ยายมาหานะ แม่มั่นใจ” แม่ผมพูดเหมือนคนกำลังจะร้องไห้
“แม่รู้ได้ไงว่าเป็นคุณยาย” ผมก็ถามออกไปโพล่งด้วยความเป็นเด็ก
“คุณยายมาหาแม่ในความฝันเมื่อคืน บอกว่าเป็นแกเอง” ตอนนี้แม่ร้องไห้เลยครับ ผมก็อึ้งสิ ทำอะไรไม่ถูกกินข้าวไม่ลงเลย คุณแม่ก็ปาดน้ำตาแล้วพูดต่อว่า “คุณยายบอกว่าคุณยายคิดถึงในบรรดาลูกๆแม่ไปหาแกน้อยสุด”
คือไม่ใช่แม่ผมไม่รักคุณยายนะครับ แต่เป็นเพราะผมเนี่ยแหละ ตอนนั้นเด็กๆอะครับ ผมไม่ชอบไปหาคุณยาย เพราะคุณยายชอบให้นั่งคุยด้วย เพราะด้วยความเป็นหลานชายคนแรกและเป็นหลานรักแหละมั้งครับ แต่ผมก็ไม่ชอบ มันน่าเบื่อ แม่ผมเลยไม่ไปเพราะผมคนเดียวเลยจริงๆ แม่ผมก็พูดต่อว่า
“ยายบอกว่า ยายคิดถึงหนู (หมายถึงผม) ยายอยากหอมแก้มอยากคุยด้วย อยากแกล้ง แต่ยายก็คงไม่มีโอกาสแล้ว”
ผมขอโทษคุณแม่แล้วก็ร้องไห้เลยตอนนั้น ถามว่าผมกลัวมั้ย ตอบเลยว่าไม่ครับ แต่ถ้าย้อนกลับไปได้ผมอยากจะไปบ้านคุณยายให้บ่อยกว่านี้
หลังจากคุณยายท่านเสียไป คุณตาที่อยู่ก็ไม่เป็นอันกินอันนอน เรียกง่ายๆว่าตรมใจอ่ะครับ แล้วคุณตาก็เสียชีวิตตามคุณยายไปอีกคนในระยเวลาเพียง 3 เดือนหลังจากคุณยายตาย พอทราบข่าวก็รีบไปทันทีเลยครับ ศพยังไม่ได้เคลื่อนย้าย ทุกคนรอแม่ผมอยู่ แม่ผมเข้าไปดูศพคุณตาแล้วก็ร้องไห้เสียงดังมากๆ ผมไม่ได้เข้าไปดูหรอกครับ เพราะว่ายังเด็กก้โดนกันไว้ตลอด คุณน้าบอกว่า คุณตานอนเสียชีวิตผมเตียงเหมือนคนนอนหลับ แต่ในมือถือรูปคุณยายสมัยยังสาวไว้อยู่ด้วย !!!! โอ้ยยยยตายๆๆๆๆ ผมยอมรับเลยครับว่าผมน้ำตาไหลเลย ผมไม่คิดว่าความรักของผุ้ชายคนนี้ที่มีให้มันจะยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แม่ผมดูจะเศร้ากว่าน้าๆคนอื่นๆ เพราะด้วยความที่เป็นคนเดียวที่มาอยู่ กทม เลยรู้สึกผิดอยู่เสมอเพราะต้องห่างจากคุณตาและคุณยา แม่ผมเลยนอนห้องคุณตาคุณยายตลอดเวลาที่ทำเรื่องงานศพเลยครับ
ส่วนผมกับพ่อและน้องชายนอนห้องตัวเอง ส่วนศพไม่ได้ตั้งที่วัดนะครับ ศพตั้งสวดที่บ้านแล้วถึงเอาไปเผาที่วัด ศพก็ตั้งอยู่ที่โถ่งของเรือนใหญ่นั่นแหละครับ มีน้าคอยผลัดเปลี่ยนกันนอนเฝ้า คืนวันสวดวันสุดท้ายในขณะที่ผมและคนอื่นๆนั่งฟังสวดกันอยู่ ไอ้ตัวเล็กของผม ก็สิ่งซนไปทั่วด้วยความเป็นเด็กแหละครับยังไม่ประสีประสา นั่นมันพอทำใบรรยากาศอันน่าโศกเศร้าลดลงได้บ้าง แล้วจู่ๆ ไอ้ตัวเล็กก็หยุดวิ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า
“คุณตาไปไหนมา น้องดิสหาคุณตาไปทั่วเลย” พวกผมและน้าๆก็หันไปมอง คุณแม่ผมก็เดินไปอุ้มไอ้ตัวเล็กมานั่งบนตัก แล้วก็พูดกับน้องว่า
“คุณตาไม่อยู่แล้วลูก” ทุกคนก็ยังไม่เอะใจอะไร คิดว่าเจ้าดิสมันคงคิดถึงคุณตาแล้ว เพราะคุณตาชอบเล่นกับน้องดิสมากๆเวลาพวกเรามาหา
“นี่ไงๆ ไม่อยู่ที่ไหน คุณตาเอาว่าวมาให้หนู ยืนอยู่อยู่ตรงประตูเนี่ย” แล้วไอ้ตัวเล็กก็กระโดดลงลงจากตักคุณแม่วิ่งไปที่ประตู ทำท่าทางเหมือนรับของจากใครสักคนมาอย่างนั้นแหละ ตอนนั้นผมขนลุกไปเลยครับ ส่วนแม่ผมก็ร้องไห้เลย น้าๆคนอื่นๆก็อึ้งกันไปหมด น้องผมก็คุยกับคุณตาต่อ
“คุณตาจะไปไหนครับ วันนี้มีทำบุญ ทำไมคุณตาไม่อยู่ด้วย” ไอ้ตัวเล็กมันก้ไม่รู้ว่านี่คืองานศพคุณตา แต่ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าตอนนั้นคุณตาตอบน้องไปว่าอะไร
“คุณตาไปแล้วให้จะทำว่าวให้น้องดิสเล่น”
“คุณตาอุ้มหน่อย”
บทสนทนาระหว่างไอ้ตัวเล็กกับคุณตาตรงนั้น มันชัดเจนจนทำให้คนทั้งงานขนลุก น้าผมต้องเดินไปเคาะโลงบอกคุณตาว่า อย่าให้หลานมันเข้าใจผิดเลยเดี๋ยวหลานมันจะรอ
“คุณตาไปไหนๆๆๆๆๆ น้องดิสไปด้วยๆ” แล้วน้องผมก็ทำท่าจะวิ่งลงเรือนไป แม่ผมต้องวิ่งไปอุ้มน้องไว้ แล้วน้องก็ร้องไห้ไม่ยอมหยุด จะไปหาคุณตาอย่างเดียวเลย แม่ก็เลยบอกว่าคุณตาต้องไปแล้วลูก
“คุณตาบอกว่าคุณตาจะไม่กลับมาแล้ว” นี่คือสิ่งที่น้องผมยอมพูดเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ผมรุ้ได้ว่าคุณตาพูดอะไรกับน้องผมตอนนั้น
ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหลานรักแกเนอะแกก็อยากเจอ อยากกอดอยากหอมเป็นครั้งสุดท้ายแหละ พอเสร็จสิ้นงานศพคุณตาก็ไม่มีใครได้เจอคุณตาหรือฝันถึงอีกเลย
หลังจากงานศพคุณตาคุณยายได้ไม่นาน บรรดาน้าๆก็ตั้งใจจะทำ “พิธีเสนเรือน” ตามความเชื่อของคุณตา ทุกปี พิธีกรรมนี้คือเอาหมูที่เลี้ยงไว้ครับ มาฆ่าแล้ว “เซ่นผี” ผมก็ไม่รุ้รายละเอียดอะไรมากหรอกครับ แต่จำได้ว่าลูกหลานทุกคนมนตระกูลต้องมาให้ครบ ตามความเข้าใจของผมคือการไหว้บรรพบุรุษ นะผมคิดเอา
ทุกคนใส่ชุดสีดำๆ ผมก้ไม่รุ้อีกล่ะว่าเรียกว่าอะไร เหมือนเครื่องแต่งกายของเผ่าอะไรสักอย่าง แล้วก็ก็มีรำๆตามประเพณีของชาวลาวเค้ามั้งครับผมก้ไม่แน่ใจไม่ได้ถามรายละเอียดเลยแต่สิ่งหนึ่งที่จำได้จนถึงทุกวันนี้เลยก็คือ ตอนฆ่าหมูครับ หมูตัวใหญ่ๆ ถูกมัดขาเอาไม้หามแล้วก็ฆ่า เสียงร้องของหมูดังระงมอู่หลายนาทีกว่ามันจะสิ้นใจ จากความทรมาณ แล้วทางผู้ใหญ่ก็แร่มันเอาไปเซ่นผีครับ โดยเอาใส่ในถาดหรืออะไรอะไรสักอย่างผมก้เรียกไม่ถูก แล้วก็ไปไหว้ที่มุมห้องครับ ซึ่งห้องที่คุณว่างไว้ก้เพื่อนพิธีกรรมนี้แหละครับ ส่วนที่เหลือก็กินกันในหมูเครือญาติ ผมจำได้ว่าเวลาแม่บอกต้องไปพิธีเสนเรือนผมนี้กลัวตลอดเลย ไม่รุ้ทำไม แต่ก็ทำได้ไม่กี่ครั้งหรอกครับ
นี่คือชุดสำดำที่ผมบอกครับ ขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เนต
พิธีเสนเรือน เซ่นผี ที่ไหว้กันตรงมุมห้องครับ ก็จะประมาณนี้ และก็ตอนฆ่าหมูครับ ขอบคุณรูปจากอินเตอร์เนต
จนผ่านมาได้ 12 ปี น้าๆผมก็ย้ายออกจากบ้านคุณตาคุณยายกันไปทีละคนสองคนจนตอนนี้บ้านคุณยายไม่มีใครอยู่แล้วครับ แม่ผมก็กลับไปบูรณะบ้านที่ใกล้จะพังแหล่ไม่พังแหล่ จนสามารถอยู่ได้ดังเดิม อย่างว่าแหละครับ ตอนนี้ครอบครัวผมกลายเป็นคนดูแลบ้านคุณยายแต่เพียงผู้เดียวเลยครับ ส่วนไร่องุ่นก็เลิกทำปล่อยโล่งๆไว้แบบนั้นเลย
ผ่านมา 12 ปีผมก็นึกอะไรไม่รู้ ตอนนั้นผมอายุ 21 วัยคะนองแหละครับ ก็ขอคุณแม่ไปบ้านคุณยายกับเพื่อนๆ โดยไปกันเองไม่มีผุ้ใหญ่ไปด้วย เพราะผมได้เล่าให้เพื่อนผมฟังว่า บ้านคุณยายผมเหมือนบ้านทรงไทยในละครที่แบบมีโถ่งตรงกลาง มันดูเท่ห์ดีนะ แม่ผมก็อนุญาตให้ไปได้ พอไปถึงผมกับเพื่อน อีก 6 คน ก็แบ่งห้องกัน คนละห้อง ตอนนี้ทุกห้องมีแอร์หมดแล้วครับ เพิ่งมาติดทีหลัง แต่ห้องน้ำยังต้องเดินออกมาเข้าด้านนอกอยู่ดี พวกผมก็วัยรุ่นอ่ะครับ เอาชุดไทยมาใส่เล่นกันถ่ายรูปกันตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร ผมเองก้ไม่คิดอะไร ก็บ้านคุณยายผมเองผมเลยไม่ได้คิดมากอะไร อีกอย่างคุณยายก็ใจดีแล้วรักผมมากด้วยแล้วท่านก้เสียไปนานแล้ว
พอตกดึก คืนที่หนึ่ง พวกเราก็ก๊งเหล้ากันอยู่ตรงโถ่งเรือนใหญ่ครับ ก็ด้วยความคึกคะนองอีกนั่นแหละ ไอ้เป๊ก เพื่อนผมก็บอกว่าบรรยากาศแบบนี้น่าเล่าเรื่องผีว่ะ พวกเราก้เลยเล่าเรื่องผีกัน แต่ก็ไม่มีเรื่องใครน่ากลัวเลยสักคน จนถึงตาผมเล่า ผมก้ไม่รู้จะเล่าอะไร เพราะผมก้ไม่เคยเจอผีก็เลยเล่าเรื่องคุณตาคุณยายให้ฟังวะเลย ไหนๆก็มาที่บ้านท่านละ
ผมเล่าให้เพื่อนฟัง แล้วก็ให้พวกมันเดินมาที่ชานเรือนมองไปยังเรือนแขกที่อยู่ไกลออกไปอีกหน่อย มีเพียงแสงไฟสลัวๆตามทางเดินที่ส่องสว่าง และผมก็บอกว่ายายกูตายที่นั่นแหละ แล้วก็เล่าเรื่องคุณตาว่าตายบนเรือนใหญ่ ไอ้เอก เพื่อนผมก็ถามทันทีเลย “ตายตรงไหนวะ” ผมก็ชี้ไปที่ห้องของคุณตา โชคดีที่ไม่มีใครจองที่จะนอนห้องนั้น อาจจะเพราะห้องนั้นไม่ได้ทำความสะอาดหรือเก็บกวดเลยหลังจากที่ท่านเสียไป