ฮีโร่ที่เลือนหาย (The Lost Hero)

ผมเป็นแฟนหนัง Superhero หลายเรื่อง ไล่ตั้งแต่ Captain of America, Ironman, Spiderman, the Avangers, etc. และยังติดตามอยู่สม่ำเสมอ ซึ่งนอกจากฉาก action ที่มันส์สะใจ ตัวพระนางที่มีเสน่ห์ บทสนทนาที่ยียวนแต่มีสไตล์ หรือความอยากรู้ว่าพระเอกจะเอาชนะจอมวายร้ายได้อย่างไร สิ่งที่ผมชอบที่สุดคือหนังได้นำเสนอฮีโร่เหล่านี้ในแบบที่เป็นคนจริงๆ คนที่มีปมในจิตใจที่ต้อง handle มีอารมณ์ความรู้สึก มีเสียใจ ท้อใจ และที่สำคัญมีชีวิตที่นอกเหนือจากการเป็น hero ที่ต้องรับผิดชอบ (Spiderman สื่อได้ชัดมาก)

ความน่าสนใจของหนังจึงอยู่ที่การจัดการกับความขัดแย้งภายในใจตัวเอง (internal conflict) ของตัวละครที่แท้จริงแล้วก็เป็นคนธรรมดาที่มีหน้าที่เป็นฮีโร่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง ยิ่งถ้าเป็นฮีโร่แบบลับๆ บอกใครไม่ได้อย่าง Spiderman นี่คงสุดๆ เวลาเป็นคนธรรมดาก็ต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ พอเกิดเรื่องก็ต้องแวปไปช่วย คงเหนื่อยน่าดู

เมื่อมาดูชีวิตตั้งแต่จำความได้ผมเชื่อว่าเราทุกคนล้วนถูกปลูกฝังอย่างเข้มข้นในเรื่องความดี ความชั่ว ทั้งจากพ่อแม่ โรงเรียน สังคม เราต้องเป็นเด็กดี โตขึ้นไปต้องเป็นคนดี เพื่อช่วยพัฒนาชาติ พัฒนาสังคม ความดีและคนดีในบริบทของสังคมที่สอนกันมานั้นหมายถึงการต้องเป็นคนที่เสียสละ (sacrifice) สละความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อจะได้เข้าถึงจิตวิญญาณ (spiritual) สัจจะธรรมของชีวิตซึ่งสำคัญกว่าลาภยศ วัตถุเงินทองใดๆ คนดีไม่ควรจะรวยเพราะคนรวยคือคนไม่มีจิตวิญญาณ สังคมต้องการฮีโร่ จึงมี campaign สร้างคนในแนวฮีโร่ผู้พิทักษ์ ถือคฑาแห่งความหวังสาดส่องรัศมีขจัดความชั่วร้ายให้สิ้นซาก สายอาชีพที่ถูกคาดหวังจากสังคมเป็นพิเศษได้แก่ แพทย์ พยาบาล ครู ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ เป็นต้น เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับความสุขทุกข์ของสังคม และถูกมองว่าเป็นงานที่เป็น spiritual

สังคมให้สถานะ "พิเศษ" แก่อาชีพเหล่านี้ว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติเป็นที่น่าเคารพนับถือ แน่นอนสถานะพิเศษนี้ไม่ได้ได้มาฟรีๆ แต่มากับความคาดหวังที่มากเป็น "พิเศษ" คือ ต้องเสียสละ ต้องช่วยแก้ปัญหาได้ ต้องทำได้ สังคมไม่ได้มองคนเหล่านี้เป็นคนธรรมดาที่มีชีวิตเหมือนคนทั่วๆไป

จุดเกิดของความบ้าคลั่งจึงเกิดขึ้น ขอยกตัวอย่างประสบการณ์ของภรรยาสมัยไปใช้ทุนที่โรงพยาบาลอำเภอขนาดกลาง (30 เตียง) หลายวันมีคนไข้หลักร้อยโดยเฉพาะช่วงเทศกาล ลองคิดเล่นๆ สมมุติวันนึงมีคนไข้ร้อยคน หมอจะมีเวลาคุยกับคนไข้ต่อคนประมาณ 14 นาที (คิดจาก 24 ชั่วโมงเต็ม ยังไม่หักเวลานอน เวลากินข้าวหรือเบรกอะไรทั้งสิ้น) เวลาขนาดนี้จะหวังประสิทธิภาพอะไรได้ขนาดไหน บางครั้งไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลยจนถึงบ่ายสาม หรือไม่ได้เข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำ บ่อยครั้งที่เดินดูคนไข้ทั้งคืนไม่ได้นอน หรือไม่สบายแต่ก็ไม่อยากหยุดงานเพราะคนไข้ก็จะต้องทบยอดต่อคิวกันไป อาชีพอื่นเช่นครู สมัยผมเรียนมัธยมห้องนึงก็ 50 คน อาจารย์คนนึงสอนกี่ห้อง แค่ตรวจการบ้านก็หงิกแล้ว ทหาร ตำรวจ อัตราส่วนต่อประชากรเท่าไหร่ ทำกันเหนื่อยขนาดนี้สุดท้ายทำไม่ดีก็โดนอีก

คนเราถึงจะมีอุดมการณ์ยังไง ทำหนักไปสักพักสังขาร กำลังใจมันไม่ได้ดีเหมือนเดิม ไหนมีครอบครัวต้องดูแล รายได้ก็ต้องหาเพิ่ม อีกทั้งทำไปก็ตายเดี่ยว ไม่มีอะไรดีขึ้น แถมไหนๆ ก็โดนด่าอยู่แล้วมันจะต่างอะไรกัน หมอก็ไปเรียนเฉพาะทาง เปิดคลินิค ทำงานในเมืองใหญ่ๆ ครูก็สอนพิเศษกันไป แน่นอนโดนด่าตามคาด เป็นฮีโร่ที่เลือนหาย (the lost hero)

เรื่องนี้ถ้าจะคิดกันให้ดีไม่ใช่ความผิดใคร คนเราทุกคนย่อมอยากช่วยสังคมอย่างเต็มที่ มันอยู่ในจิตสำนึก แต่ในขณะเดียวกันก็อยากมีชีวิตที่ดีตามศักยภาพสูงสุดของตน เราจึงควรมาช่วยกันคิดว่าต้นสายปลายเหตุมันอยู่ตรงไหน? มันอยู่ที่ระบบหรือเปล่า? ถ้าเช่นนั้นเราจะทำอย่างไรให้ระบบมันดีขึ้น? การเพิ่มจำนวนบุคลากรมันแก้ปัญหาได้จริงหรือเปล่า? เหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเราควรช่วยกันคิด การโทษที่ตัวบุคคลเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดแต่ไม่ได้นำพาอะไรเลย ถึงเวลาที่อย่างน้อยสังคมควรเข้าใจฮีโร่เหล่านี้บ้าง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่