เรื่องสยองขวัญในวัยเด็ก

กระทู้สนทนา
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม ขออนุญาตแท็กนะครับ ผมไม่แน่ใจว่าควรแท็กห้องใดบ้าง แนะนำกันได้นะครับ ขออนุญาตที่ใช้คำบางคำผิดไปนะครับ เพราะบางคำสะกดไม่ถูกจริงๆ และบางคำเขียนง่ายกว่าอ่านง่ายกว่านะครับ

เรื่องที่ผมจะนำมาเล่านี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากเฟสบุ๊ค ผมบังเอิญไปเห็นกระทู้ที่เค้าแชร์กันในเฟสบุ๊ค "เรื่องเล่าเรื่องที่น่ากลัวของแต่ละคน"
เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาขอเริ่มเลยนะครับ

เริ่มต้น
ผมคิดว่าคนส่วนมาก ถูกปลูกฝังความคิดมาจากผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ผมก็เป็นหนึ่งในเด็กที่โดนปลูกฝังเหมือนกัน นั่นคือ "เรื่องผี" ญาติผู้ใหญ่ผมแทบทุกคนจะบอกผมว่าผีนั้นน่ากลัว ถ้าเป็นเด็กไม่ดีผีจะมาเอาตัวไป จากนั้นก็ทำให้ผมกลายเป็นคนกลัวผีไปเลยครับ

ย้อนกลับไปสมัยผมเป็นเด็ก ตอนนั้นน่าจะประมาณ ม.2 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่สนุกที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นช่วงที่ได้สนุกไปกับกลุ่มเพื่อนได้อย่างเต็มที่ ผมไม่ค่อยชอบเข้ากลุ่มกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันสักเท่าไหร่ ชอบไปเข้ากลุ่มกับพี่ชายที่แก่กว่า 1 ปีมากกว่า เวลาไปไหนกันก็จะไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มพวกผมจะมีกันอยู่ 9 คน คือมีผมคนเดียวที่เรียนอยู่ ม.2 ส่วนที่เหลือจะอยู่ ม.3  ทุกๆเย็นหลังเลิกเรียน พวกเราจะมารวมตัวกันหน้าร้านเกม เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่กลุ่มผมติดเกมกันมาก เวลาไปเที่ยวที่ไหนก็แล้วแต่ จะนัดกันมาเจอที่หน้าเกมก่อนเสมอ ขอบอกเลยว่าช่วงนี้เรื่องผีไม่มีอยู่ในสมอง ใครหลอกผีหลอกอะไรบอกเลยว่า ตอนนั้นไม่กลัวเลย จนมีอยู่วันหนึ่ง หลังเลิกเรียน เพื่อนคนนึงในกลุ่มเป็นคนที่ไม่กลัวอะไรเลย และเป็นคนชอบท้าทาย เปิดเดอะช็อคให้คนในกลุ่มฟัง และในเดอะช็อคได้เล่าถึงบ้านร้างหลังหนึ่งที่เฮี้ยนมาก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของพวกเานัก มีคนไปลองดีแล้วเจอกันทุกคน เพื่อนผมคนนี้อยากเจอเลยชวนเพื่อนทั้งหมดไปสำรวจบ้านร้างกัน และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

บ้านร้าง
ตกกลางคืนของวันนั้น พวกเรานัดกันมาเจอที่เดิม หน้าร้านเกมตอนสี่ทุ่มตรง แน่นอนครับคนที่มาถึงคนแรกไม่ใช่ใครอื่น เค้าคือคนที่อยากเจอ (ผมจะใช้นามสมมติว่าชื่อ แบงค์ ละกัน เพราะเริ่มมีบทบาทเยอะ) และผมก็มาถึงคนสุดท้ายพร้อมกับพี่ชายผม ยอมรับเลยว่าตอนนั้น ไม่ได้กลัวแต่ก็มีความเชื่ออยู่และไม่อยากไปลบหลู่ด้วย ในใจคิดเลยว่าไม่อยากไป ถ้าไปแล้วเจอจริงๆจะทำยังไง แต่ด้วยความมี่ว่าเพื่อนกันมันต้องถึงไหนถึงกัน เลยต้องจำใจไป
เราเดินทางกันด้วยจักยานยนต์ ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่มี อาศัยนั่งไปกับเพื่อนเอา ผมขอแม่หลายครั้งแล้วแต่แม่บอกว่าอายุถึงทำใบขับขี่ก่อนแล้วจะซื้อให้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบัตรประชาชนเลย ของผมตอนนั้นต้องทำตอนอายุครบ 15 ปี บริบูรณ์  มาต่อ พวกเราเดินทางกันมาจะถึงบ้านร้างแล้ว ทางเข้าซอยขอบอกเลยว่า วังเวงมาก เสาไฟฟ้าไม่มีเลยสักต้น ไฟไม่มีเลยซักดวง มีแต่ไฟของรถที่ขับกันมาเท่านั้น อากาศตอนนั้นรู้สึกได้เลยว่าผิดปกติตั้งแต่หน้าทางเข้าซอยจนถึงหน้าบ้านร้าง มันเย็นแปลกๆ แบบไม่ใช่หน้าหนาวแท้ๆ แต่เย็นมาก พวกเรามาถึงหน้าบ้านร้างและยืนรวมตัวกันอยู่ เอาอุปกรณ์ที่เตรียมออกมานั่นคือ ไฟฉายนั่นเอง ซึ่งคนมี 9 คน แต่มีไฟฉายแค่ 5 กระบอก เลยจับคู่กันไป แน่นอนผมจับคู่กับพี่ชายผมอยู่แล้ว ทีนี้เราแบ่งกุญแจรถกันให้มีกันคู่ละคัน ซึ่งรถที่เอามามี 6 คัน คู่ผม ผมเป็นคนถือกุญแจ และเราได้ตกลงกันไว้แล้วว่า ถ้าใครเห็นอะไรเจออะไรให้ตะโกนดังๆหาเพื่อนอีกกลุ่มนึง ถ้ายังไม่มีใครมาแล้วรู้สึกไม่ไหวแล้ว ให้ออกมาแล้วขับรถกลับไปเจอกันที่หน้าร้านเกมเลย พวกเราค่อยๆ เข้าไปในบ้านซึ่งเป็นบ้านไม้เก่าๆสองชั้น มีรั้วไม้สูงไม่ถึงเอวทำให้มองเห็นตัวบ้านชัด ประตูหน้าต่างบ้านปิดทุกบาน แค่เดินผ่านรั้วบ้านก็ได้กลิ่นเหม็นเน่า เหม็นมากเหม็นยิ่งกว่ากลิ่นหนูตายในบ้านสามสี่วันอีก แต่พวกเราก็ไม่สนใจ เดินเข้าไปต่อและมาหยุดที่หน้าประตูบ้าน แบงค์กำลังจะเปิดประตูบ้านจู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบ แบบขนลุกเลย ผมเริ่มใจไม่ดีละ อยากกลับแล้ว กำลังจะเอ่ยปากบอกเพื่อนขอกลับก่อน แต่ไม่ทันแล้วเสียงประตูเปิดดังออกมา มันเป็นเสียงประตูไม้เก่าใกล้พังดังเอี๊ยดๆ ทุกคนคงนึกภาพออก แต่เปิดออกมาเท่านั้นแหละทั้งลมทั้งกลิ่นมาเต็ม กลิ่นนี่เหม็นเน่าเหม็นสาปแรงยิ่งกว่าตรงรั้วบ้าน ลมที่พัดโชยออกมาเย็นจะเยือก แบบเอาพัดลมเป่าน้ำแข็งใส่เราเลยก็ว่าได้ จากที่ขนลุกอยู่แล้ว คราวนี้ผมนี่สั่นไปพักเลย ผมนี่จิตตกเลย แบงค์เดินนำเข้าไปก่อนคนเดียว พวกเราที่เหลือค่อยๆเดินตามกันเข้าไป ส่องไฟซ้ายขวาไปทั่วๆห้อง ฝุ่นนี่จับเป็นก้อน มีคราบสีดำๆ เป็นรอยอยู่ทั่วห้อง พื้นบ้านเป็นพื้นไม้ ก้าวแต่ละทีจะมีเสียงดังตลอด มองขึ้นไปบนเพดาน ฝ้าเพดานไม่มีเห็นเป็นพื้นไม้ของชั้นสอง พวกผมเดินสำรวจกันอยู่ชั้นหนึ่ง ส่วนแบงค์นั้นนำเดียวขึ้นไปชั้นสอง พวกเราแยกย้ายกันดูไปคนละห้อง มีห้องเยอะพอสมควร ผมเดินไปตรงที่ห้องตรงใต้บันไดบ้าน ห้องนั้นถูกล็อคด้วยกุญแจขนาดใหญ่ ตรงขอบประตูด้านบนมีผ้ายันต์สีแดงแปะไว้ เมื่อผมเห็นผ้ายันผมเลยเดินหนีไปทางอื่น ผมเห็นเพื่อนอีกกลุ่มนึง กำลังเดินดูห้องข้างๆ อยู่จึงจะเดินไปหา แต่กำลังจะถึงเพื่อนละจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเปิดปิดเองดัง ปัง! พวกผมสะดุ้งกันเลยทีเดียว และหันไปมองหน้ากันเอง ระหว่างที่ตกใจอยู่ แบงค์ที่อยู่ที่ชั้นสองนั้นก็ตะโกนให้พวกเราขึ้นไป เหมือนเจออะไรบางอย่าง พวกเรารีบวิ่งกันขึ้นไปเพราะกลัวว่าเพื่อนจะเป็นอันตราย แต่สิ่งที่เห็นคือ แบงค์ยืนอยู่หน้าประตูห้องหนึ่ง มีกุญแจโซ่คล้องไว้เยอะมาก มีแผ่นยันต์ผ้ายันต์แปะไว้เป็นสิบ พวกเรายืนจ้องกันสักพักนึง เพื่อนผมบังเอิญส่องไฟไปเห็น แผ่นกระดาษยันต์ใบหนึ่งขาดครึ่ง จึงพูดขึ้นมาว่า "เฮ้ย ยันต์อันนี้มันขาดครึ่งนี่หว่า" ทุกคนเริ่มสีหน้าไม่ดีละ แบงค์เลยพูดขึ้นว่า "วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า กลับกันเถอะ" พวกเรากำลังเดินลงไปข้างล่าง ผมก็มองไปรอบตัวด้วยความกลัว มองหาเพื่อนๆทุกคนว่าอยู่กันครบรึป่าว แต่มันกลับไม่ครบ มีเพื่อนหายไปสองคน ด้วยความกลัวผมเลยตะโกนเรียกเพื่อนทั้งสองคนที่หายไป และเพื่อนได้ตะโกนกลับมาว่าอยู่ข้างล่าง เพราะจึงลงไป ระหว่างทางลงนั้นผมลงมาเป็นคนแรก และเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากนี้ทั้งหมด มันติดตามาก คือทุกคนเดินลงกันมาหมดแล้วเหลือแบงค์คนสุดท้าย ระหว่างทางลงอยู่ๆ ไม้กันหักลงมา แบงค์พยายามจะหาที่เกาะแต่ดันพลาด หล่นลงมา ฝุ่นนี่ฟุ้งเต็มไปหมด พอฝุ่นเริ่มจาง พวกเราก็จะเข้าไปช่วยพยุง ผมเดินเข้าไปก่อนกำลังจะถึงตัวแบงค์แล้ว แต่มันก็มีสิ่งที่ทำให้ผมต้องหยุดชงัก เมื่อผมเห็นสิ่งที่อยู่ในมือเพื่อนผม ยังจำได้ไหมที่ผมบอกว่า มีห้องนึงมันอยู่ที่ใต้บันได และมีผ้ายันปิดอยู่ นั่นแหละคือสิ่งที่อยู่ในมือเพื่อนผม มันคือผ้ายันต์สีแดงที่มันคว้าพลาดนั่นเอง ผมหันไปมองตรงประตูและไม่เห็นผ้ายันต์ปิดอยู่ ผมจึงมั่นใจว่าใช่แน่ ผมจึงตะโกนบอกเพื่อนให้รีบช่วยแบงค์พร้อมดึงผ้ายันต์ที่อยู่ในมือแบงค์โยนทิ้งไป และตะโกนสั้นๆดังๆว่า "วิ่ง" พวกเราพากันวิ่งออกมา ผมเหลือบตาไปดูประตูที่มีกุญแจล็อค เห็นมันสั่นเหมือนมีอะไรกะแทกออกมา พวกเราวิ่งจนจะพ้นประตูบ้านแล้ว ประตูบานที่ล็อคก็เปิดออก หน้าต่างบ้านทุกบาน เปิด-ปิด แบบรัวๆ ไม่ขาดสาย พอออกมาจากบ้านได้ประตูบ้านก็ปิดสนิท หน้าต่างบ้านก็ปิด ไม่เปิด พวกเราตั้งสติได้จึงรีบขับรถออกมาโดยไม่ได้ไหว้ขอขมากันเลยสักคน มีแต่ผมคนเดียวที่หันหลังกลับไปไหว้ก่อน และเหมือนผมจะคิดไปเอง ผมเห็นควันสีดำลอยอยู่รอบๆบ้าน จึงรีบหันหลังกลับมา พวกเราขับรถกลับมาถึงหน้าร้านเกม ตอนนั้นเป็นเวลา ตี1 พวกเราคุยกันเรื่องไปเรียนพรุ่งนี้และนัดมาคุยกันตอนพักเที่ยง จะคุยเรื่องที่ไปบ้านร้างืนนี้ ผมจึงขอดูแผลแบงค์ก่อนกลับ แบงค์เป็นแผลจากที่ตกบันไดนิดหน่อย แค่แผลถลอกจึงคิดว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน พอกลับมาถึงบ้าน ผมปิดไฟนอนไม่ลง เปิดไฟนอนทั้งคืนเลยครับ รุ่งเช้ามา พวกเราไปเรียน และได้มาคุยตอนพักเที่ยง ปรากฏว่าเพื่อนเราไม่มาเรียนสองคน นั่นคือสองคนที่ไม่ได้ขึ้นไปชั้นสองกับพวกเรา พวกเราที่เหลือจึงตกลงกันว่าหลังเลิกเรียนจะไปหาที่บ้าน พอเลิกเรียน ผมตรงไปที่บ้านเพื่อนคนนั้น เห็นเพื่อนสบายดี ดูภายนอกผิวเผินไม่มีอะไร แต่สังเกตุดีดีที่ตาของเพื่อนมีสิ่งผิดปกติอยู่ คือตาบวมและขอบตาคล้ำมาก ผมนั่งคุยกับเพื่อน เพื่อนคุยเป็นปกติดี แต่ไม่เอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืนนี้เลย และที่สำคัญ เพื่อนดูลุกลี้ลุกลน อยู่ไม่สุข มีอาการสั่นเป็นบางช่วง ผมจึงถามว่าหนาวหรอ เพื่อนตอบว่าไม่หนาว ก็เฉยๆนี่ ผมจึงถามไปอีกว่าแล้วจะสั่นทำไม เพื่อนตอบ สั่นหรอ ไม่รู้ มันสั่นเอง จากนั้นพวกเพื่อนๆ ที่เหลือก็ทยอยกันมา ระหว่างที่เพื่อนคุยกัน ผมจึงเดินไปคุยกับแม่เพื่อน ถามว่า เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แม่เพื่อนตอบว่า เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว ตั้งแต่แม่ตื่นมาเจอ เห็นนั่งขดตัว ตัวสั่นและบ่นพึมพำอยู่คนเดียว แม่เลยไม่ได้คิดอะไร คิดว่าคงเล่นเกมหนักไปมั้ง ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้น แต่สิ่งที่ทำให้ผมไม่คิดแบบนั้นคือ อาการสั่นที่ดูผิดปกติไป ผมจะจับตัวเพื่อดูว่าตัวร้อนมีไข้รึป่าว ก็ไม่ให้ถูกตัวด้วย ผมจึงออกจากบ้านเพื่อนมาก่อน และไปหาเพื่อนอีกคนที่ไม่ไปเรียน ปรากฏว่าเพื่อนอีกคนมีอาการที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงคือ นอนตาค้าง ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ผมจึงคิดว่ามันแปลกๆละ จึงกลับไปหากลุ่มเพื่อนๆ เพื่อเล่าอาการของอีกคนให้ฟัง พวกเราจึงจะตกลงกันจะไปวัด ไปหาพระ แต่พอพวกเราพูดถึงเรื่องวัด เพื่อนที่มีอาการสั่นเป็นบางครั้ง กลับสั่นตลอดเวลา และสั่นหนักกว่าเดิม พวกเราจึงช่วยกันจับและมัด พาไปวัดตอนนั้นเลย แค่เข้าเขตวัดเท่านั้นแหละดิ้นจะเป็นจะตาย ตะโกนบอกไม่เข้า ไม่ไป จะพาไปไหน ไม่มีใครตอบอะไร จนเข้ามาหาหลวงพ่อให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้ แค่โดนน้ำเท่านั้น ร้องโหยหวนเหมือนคนโดนน้ำร้อนลวกเลย ร้องไปได้สักพักก็สลบไปเลย หลวงพ่อบอกว่าให้นอนไปซักพัก พร้อมถามว่าเมื่อคืนเพื่อนไปทำอะไรเค้า เค้าถึงมาทำร้ายแบบนี้ ผมจึงตอบไปว่า ไม่ทราบครับ ตอนนั้นเราไม่ได้อยู่ด้วยกันเลยไม่รู้ว่าทำอะไร คงต้องถามเจ้าตัวแล้วละครับ หลวงพ่อก็บอกว่า อาการแบบนี้พอจะรู้ละและยังถามต่อว่า อีกคนนึงละ อยู่ไหน ไปพามาเร็วก่อนที่จะสายไปกว่านี้ พวกผมจึงไปพามาให้หลวงพ่อ หลวงพ่อจัดการรดน้ำมนต์ ไม่มีเสียงร้อง ไม่อาการอะไรแสดงผลออกมาเลย หลวงพ่อพูดว่า คนนี้อาการหนัก จึงเอาสายศิลป์ ไปผูกไว้รอบตัว พร้อมสวดมนต์ สวดไปได้สักพักเริ่มมีอาการตอบสนอง แรกๆก็บิดไปบิดมา สักพักเริ่มดิ้นพร้อมกับร้องเสียงหลงเลย จากนั้นก็สลบไปเลย พอเสร็จพิธี หลวงพ่อบอก อย่าไปเล่นแบบนี้อีกนะ หลวงพ่อจะไม่บอกนะว่าจะไปทำอะไรมา ไปถามเจ้าตัวกันเอง ขึ้นอยู่ว่าจะตอบหรือไม่ตอบ และที่สำคัญถ้าเค้าไปม่ตอบก็อย่าไปบังคับเค้านะ จากนั้นพวกผมจึงลาหลวงพ่อแล้วกลับบ้าน พาเพื่อนไปส่งที่บ้าน วันรุ่งขึ้นมาเรียน เจอกันแต่ไม่พูดถึงเรื่องบ้านร้างเลย ไม่พูดถึงเรื่องที่ไปทำไม่ดีไว้เลย พอถามก็จะเงียบ ถามอีกทีก็เดินหนีจนไม่ถามกันเลย ผ่านไปได้อาทิตย์นึง ตอนเย็นของวันนั้น เรามารวมกันที่หน้าร้านเกมที่เดิม ผมได้กลิ่นแปลกๆ จึงหาต้นตอของกลิ่นนั้น บังเอิญผมเหลือบไปเห็นแผลตรงข้อศอกและขาของแบงค์ ที่เป็นรอยถลอกวันนั้น วันนี้มันไม่ใช่แค่ถลอกแล้ว นอกจากแผลจะยังไม่หายแล้ว ยังรู้สึกว่าแผลเริ่มเน่าอีก เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเลยถามว่า ไปเกามันหรือป่าว เพื่อนไม่ได้เกาแถมรักษาดูแลด้วย แต่ทำไมเป็นแบบนี้ไม่รู้ ผมจึงสงสัยว่าจะเป็นเหมือนเพื่อนทั้งสองคน จึงพากันไปหาหลวงพ่ออีกรอบนึง หลวงพ่อให้ดื่มน้ำมนต์ แล้วบอกว่าสวดมนต์ก่อนนอนด้วยนะ เป็นเวลา 5 คืนติดต่อกันห้ามขาดนะ ผ่านมา 5 วันแผลเริ่มดูดีขึ้น เริ่มตกสเก็ดแล้ว และพวกเราก็ไม่ไปบ้านร้างอีกเลย แล้วพวกเราก็ผ่านไป 1 ปี คราวนี้เหลือผมคนเดียวที่ อยู่ ม.3 ส่วนที่เหลือแยกย้ายกันไปเรียนที่อื่นกันหมด แต่เรายังมาเจอกันเหมือนเดิม และผมก็ได้รถจักรยานยนต์แล้ว ยังมีต่อ

เรื่องต่อมา มันมาจากวัด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่