มีคำถามว่า เราจะศึกษาและปฏิบัติธรรมไปทำไม ในเมื่อเราก็มีนิพพานชั่วคราวกันอยู่แล้ว?

ถ้าจิตมันร้อน (ทุกข์) เมื่อไร มันก็ไม่นิพพานเมื่อนั้น

ถ้าจิตมันเย็นเมื่อไร มันก็นิพพานเมื่อนั้น

นิพพานมันก็มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวันของเรา แต่มีเพียงชั่วครั้งชั่วคราวตามธรรมชาติของมัน และไม่เป็นไปตามที่เราอยากจะให้มี (คือเราควบคุมไม่ได้)

ถ้าไม่มีนิพพานมาหล่อเลี้ยงจิตใจเอาไว้ เราก็จะบ้าตายกันไปหมดแล้วเพราะมีแต่ความทุกข์อยู่ตลอดทั้งวัน

เราจึงควรรู้จักพระคุณของนิพพาน ที่ได้ช่วยหล่อเลี้ยงจิตของเราเอาไว้ให้ได้พักผ่อนอยู่เสมอๆในชีวิตประจำวัน

ปัญหามันอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรเราจึงจะมีนิพพานให้มากขึ้น บ่อยขึ้น เย็นมากขึ้น ตามที่เราปรารถนา (คือควบคุมได้)

ยิ่งเวลาที่ร่างกายของเราแก่ เจ็บ กำลังจะตาย หรือเมื่อเราต้องพลัดพรากจากคนรักหรือสิ่งที่รัก หรือเมื่อกำลังผิดหวัง เป็นต้น จิตใจของเรามันก็จะเร่าร้อนหรือเศร้าโศก เสียใจ คับแค้นใจ ไม่สบายใจ ที่เรียกว่า เป็นทุกข์ ซึ่งเราก็อยากจะนิพพาน (ไม่มีทุกข์) ในเวลานี้ แต่มันทำไม่ได้ นี่จึงเป็นปัญหาใหญ่หลวงที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาก็เพื่อมาสอนมนุษย์ให้รู้จักวิธีแก้ปัญหาใหญ่หลวงที่สุดนี้เอง คือมาสอนมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาจากความยึดถือว่ามีตนเองแก่ เจ็บ ตาย พลัดพราก ผิดหวัง เป็นต้นนี้ โดยใช้ปัญญา ศีล สมาธิ มาทำงานร่วมกัน โดยมีจุดสูงสุดอยู่ที่ พ้นทุกข์อย่างถาวร แต่ถ้ายังไม่ถึงจุดสูงสุด ก็เอาจุดรองๆลงมา คือพ้นได้ชั่วครั้งชั่วคราวตามที่เราปรารถนา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่