เรื่องสั้น
สรรสาระ
จากคอลัมน์ เสียงผู้อ่าน ในวารสาร สรรสาระ
ถูกหรือผิด
จากคำถามข้อหนึ่งในเรื่อง “คุณซื่อสัตย์แค่ไหน” (เม.ย.๔๗) ที่ว่า เมื่อออกจากห้างสรรพสินค้า คุณพบว่าพนักงานทอนเงินให้เกิน คุณจะกลับไปคืนเงินนั้นหรือไม่
เรื่องที่ผมพบก็คือ ผมซื้อรองเท้าแตะคู่หนึ่ง ทีแรกคนขายบอกราคา ๖๙ บาท ผมถามว่าลดได้เท่าไหร่ เขาบอกว่า ๖๕ บาท ผมว่า ๖๐ บาทไม่ได้หรือ คนขายไม่ตอบ
ผมลองสวมดูและเห็นว่าพอดีจึงให้คนขายเอาใส่ถุง แล้วส่งธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาทให้ เขาทอนเงินมา ๔๐ บาท ผมถามอีกครั้งว่าคิดราคาเท่าไหร่ คนขายตอบว่า
“ คุณลุงต่อ ๖๐ บาท ผมก็ทอนให้ ๔๐ บาท ถูกไหมครับ “
ผมไม่ได้พูดอะไร แต่เก็บเงิน ๔๐ บาทใส่กระเป๋าแล้วเดินออกจากร้าน คุณว่าผมทำอย่างนี้ถูกหรือผิด
พ.สมานคุรุกรรม กรุงเทพ
ผมอยากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ซึ่งคล้ายคำถามในเรื่อง “ คุณซื่อสัตย์แค่ไหน “ ที่ว่าถ้าคุณเจอกระเป๋าสตางค์ตกอยู่ข้างถนนมีเงิน ๒๐๐๐ บาท พร้อมที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าของ คุณจะส่งคืนให้เจ้าของหรือไม่
วันหนึ่งผมไปดูภาพยนต์รอบบ่าย เมื่อกลับถึงบ้านก็รู้สึกตัวว่า กระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในกระเป๋างกางเกงด้านหลังหายไป ไม่รู้ว่าเลื่อนออกมาตอนเอนตัวพิงเก้าอี้ในโรงภาพยนตร์ หรือหล่นหายระหว่างขึ้นรถเมล์กลับบ้าน เพราะควักเศษสตางค์ให้เป็นค่ารถ ไม่ได้หยิบเงินออกจากกระเป๋าสตางค์
สัปดาห์ต่อมา ผมได้รับกระเป๋าสตางค์คืนมาในถุงกระดาษสีน้ำตาล ไม่มีจ่าหน้า บุรุษไปรษณีย์เป็นผู้นำมาส่งให้ บอกว่าพบถุงใบนี้อยู่ในตู้ไปรษณีย์ในเขตที่ผมอยู่ เขาส่งจดหมายกับเอกสารให้ผมเป็นประจำอยู่แล้ว จึงนำถุงมาส่งให้ด้วยความกรุณาเป็นส่วนตัว ผมได้กระเป๋าและเอกสารต่าง ๆ ในนั้นคืนทั้งหมด ยกเว้นเงินสด ๘๐๐ บาท
(ลงชื่อจริง) กรุงเทพ
กรกฎาคม ๒๕๔๗
หวยช่วยชาติ
ผมได้อ่านเรื่อง หวยช่วยชาติ ในสรรสาระฉบับ พ.ย.๔๗ แล้วก็นำเอามาคิดว่า ลอตเตอรี่ในปัจจุบันพิมพ์ออกวางขายหลายชุด ชุดหนึ่งมีเลข ๖ ตัว จึงมีจำนวนหนึ่งล้านฉบับ แต่ตามกติกาสลากจะถูกรางวัลตั้งแต่ที่ ๑ ถึง เลขท้าย ๒ ตัว เป็นจำนวน ๑๔,๑๖๘ ฉบับเท่านั้น จึงมีฉบับที่ไม่ถูก จำนวน ๙๘๕,๘๓๒ ฉบับ คิดเป็นร้อยละ ๑.๔๓๗๑๖๑๗ หรือมีโอกาสถูกรางวัลใดรางวัลหนึ่งประมาณ ๑.๔๔ % เท่านั้น
ส่วนราคาสลากฉบับละ ๔๐ บาท งวดหนึ่งจะเป็นเงิน ๔๐ ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นเงินรางวัลทั้งสิ้น ๒๓ ล้านบาท เหลือเข้ากองสลากงวดละ ๑๗ ล้านบาท เงินจำนวนนี้จึงนับได้ว่าเป็นภาษีชนิดเดียว ที่ทุกคนเต็มใจเสีย.
(ลงชื่อจริง) กรุงเทพ ฯ
มกราคม ๒๕๔๘
มีสลึงพึงบรรจบ
ผมอ่านเรื่อง เหรียญสลึงก็มีค่า (ธ.ค.๔๗) แล้วก็อยากจะเล่าประสบการณ์ของผมให้ฟังบ้าง
ครั้งหนึ่งเมื่อรถเมล์ยังเก็บค่าโดยสาร ๓.๕๐ บาท ผมให้เหรียญห้าบาทกับเหรียญสองสลึง ด้วยหวังว่ากระเป๋ารถเมล์จะทอนมาเหรียญบาทสองเหรียญ แต่เขากลับทอนให้ผม ด้วยเหรียญ๕๐ สตางค์และสลึงล้วน ๆ
และอีกครั้งหนึ่งผมรวบรวมเหรียญสลึงและ ๕๐ สตางค์ ที่ได้รับทอนจากกระเป๋ารถเมล์สายหนึ่ง แล้วไปขึ้นรถเมล์อีกสายหนึ่ง โดยกำเหรียญเหล่านั้นไว้ เพื่อจะชำระค่าโดยสาร ๓.๕๐ บาท เมื่อผมแบมือให้กระเป๋าหยิบเศษสตางค์ไปเป็นค่าโดยสาร เขามองดูมือและเงยขึ้นดูหน้าผม จากนั้นก็เดินเลยไปเก็บเงินคนอื่น ผมจึงไม่เสียค่าโดยสารในเที่ยวนั้น
พอมาสมัยนี้รถเมล์เก็บค่าโดยสารขั้นต่ำเป็นสี่บาทแล้ว ค่าของเงิน ๕๐ และ ๒๕ สตางค์ จะปรากฏอยู่ก็แต่เพียงในบัญชีของธนาคาร เท่านั้น
(ลงชื่อจริง) กรุงเทพ ฯ
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
วางในบล็อก
Create Date : 19 ธันวาคม 2552
สรรสาระ ๓๐ พ.ค.๕๘
สรรสาระ
จากคอลัมน์ เสียงผู้อ่าน ในวารสาร สรรสาระ
ถูกหรือผิด
จากคำถามข้อหนึ่งในเรื่อง “คุณซื่อสัตย์แค่ไหน” (เม.ย.๔๗) ที่ว่า เมื่อออกจากห้างสรรพสินค้า คุณพบว่าพนักงานทอนเงินให้เกิน คุณจะกลับไปคืนเงินนั้นหรือไม่
เรื่องที่ผมพบก็คือ ผมซื้อรองเท้าแตะคู่หนึ่ง ทีแรกคนขายบอกราคา ๖๙ บาท ผมถามว่าลดได้เท่าไหร่ เขาบอกว่า ๖๕ บาท ผมว่า ๖๐ บาทไม่ได้หรือ คนขายไม่ตอบ
ผมลองสวมดูและเห็นว่าพอดีจึงให้คนขายเอาใส่ถุง แล้วส่งธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาทให้ เขาทอนเงินมา ๔๐ บาท ผมถามอีกครั้งว่าคิดราคาเท่าไหร่ คนขายตอบว่า
“ คุณลุงต่อ ๖๐ บาท ผมก็ทอนให้ ๔๐ บาท ถูกไหมครับ “
ผมไม่ได้พูดอะไร แต่เก็บเงิน ๔๐ บาทใส่กระเป๋าแล้วเดินออกจากร้าน คุณว่าผมทำอย่างนี้ถูกหรือผิด
พ.สมานคุรุกรรม กรุงเทพ
ผมอยากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ซึ่งคล้ายคำถามในเรื่อง “ คุณซื่อสัตย์แค่ไหน “ ที่ว่าถ้าคุณเจอกระเป๋าสตางค์ตกอยู่ข้างถนนมีเงิน ๒๐๐๐ บาท พร้อมที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าของ คุณจะส่งคืนให้เจ้าของหรือไม่
วันหนึ่งผมไปดูภาพยนต์รอบบ่าย เมื่อกลับถึงบ้านก็รู้สึกตัวว่า กระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในกระเป๋างกางเกงด้านหลังหายไป ไม่รู้ว่าเลื่อนออกมาตอนเอนตัวพิงเก้าอี้ในโรงภาพยนตร์ หรือหล่นหายระหว่างขึ้นรถเมล์กลับบ้าน เพราะควักเศษสตางค์ให้เป็นค่ารถ ไม่ได้หยิบเงินออกจากกระเป๋าสตางค์
สัปดาห์ต่อมา ผมได้รับกระเป๋าสตางค์คืนมาในถุงกระดาษสีน้ำตาล ไม่มีจ่าหน้า บุรุษไปรษณีย์เป็นผู้นำมาส่งให้ บอกว่าพบถุงใบนี้อยู่ในตู้ไปรษณีย์ในเขตที่ผมอยู่ เขาส่งจดหมายกับเอกสารให้ผมเป็นประจำอยู่แล้ว จึงนำถุงมาส่งให้ด้วยความกรุณาเป็นส่วนตัว ผมได้กระเป๋าและเอกสารต่าง ๆ ในนั้นคืนทั้งหมด ยกเว้นเงินสด ๘๐๐ บาท
(ลงชื่อจริง) กรุงเทพ
กรกฎาคม ๒๕๔๗
หวยช่วยชาติ
ผมได้อ่านเรื่อง หวยช่วยชาติ ในสรรสาระฉบับ พ.ย.๔๗ แล้วก็นำเอามาคิดว่า ลอตเตอรี่ในปัจจุบันพิมพ์ออกวางขายหลายชุด ชุดหนึ่งมีเลข ๖ ตัว จึงมีจำนวนหนึ่งล้านฉบับ แต่ตามกติกาสลากจะถูกรางวัลตั้งแต่ที่ ๑ ถึง เลขท้าย ๒ ตัว เป็นจำนวน ๑๔,๑๖๘ ฉบับเท่านั้น จึงมีฉบับที่ไม่ถูก จำนวน ๙๘๕,๘๓๒ ฉบับ คิดเป็นร้อยละ ๑.๔๓๗๑๖๑๗ หรือมีโอกาสถูกรางวัลใดรางวัลหนึ่งประมาณ ๑.๔๔ % เท่านั้น
ส่วนราคาสลากฉบับละ ๔๐ บาท งวดหนึ่งจะเป็นเงิน ๔๐ ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นเงินรางวัลทั้งสิ้น ๒๓ ล้านบาท เหลือเข้ากองสลากงวดละ ๑๗ ล้านบาท เงินจำนวนนี้จึงนับได้ว่าเป็นภาษีชนิดเดียว ที่ทุกคนเต็มใจเสีย.
(ลงชื่อจริง) กรุงเทพ ฯ
มกราคม ๒๕๔๘
มีสลึงพึงบรรจบ
ผมอ่านเรื่อง เหรียญสลึงก็มีค่า (ธ.ค.๔๗) แล้วก็อยากจะเล่าประสบการณ์ของผมให้ฟังบ้าง
ครั้งหนึ่งเมื่อรถเมล์ยังเก็บค่าโดยสาร ๓.๕๐ บาท ผมให้เหรียญห้าบาทกับเหรียญสองสลึง ด้วยหวังว่ากระเป๋ารถเมล์จะทอนมาเหรียญบาทสองเหรียญ แต่เขากลับทอนให้ผม ด้วยเหรียญ๕๐ สตางค์และสลึงล้วน ๆ
และอีกครั้งหนึ่งผมรวบรวมเหรียญสลึงและ ๕๐ สตางค์ ที่ได้รับทอนจากกระเป๋ารถเมล์สายหนึ่ง แล้วไปขึ้นรถเมล์อีกสายหนึ่ง โดยกำเหรียญเหล่านั้นไว้ เพื่อจะชำระค่าโดยสาร ๓.๕๐ บาท เมื่อผมแบมือให้กระเป๋าหยิบเศษสตางค์ไปเป็นค่าโดยสาร เขามองดูมือและเงยขึ้นดูหน้าผม จากนั้นก็เดินเลยไปเก็บเงินคนอื่น ผมจึงไม่เสียค่าโดยสารในเที่ยวนั้น
พอมาสมัยนี้รถเมล์เก็บค่าโดยสารขั้นต่ำเป็นสี่บาทแล้ว ค่าของเงิน ๕๐ และ ๒๕ สตางค์ จะปรากฏอยู่ก็แต่เพียงในบัญชีของธนาคาร เท่านั้น
(ลงชื่อจริง) กรุงเทพ ฯ
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
วางในบล็อก
Create Date : 19 ธันวาคม 2552