ตอนแรกครับ
http://pantip.com/topic/33623076
เว้นนานไปนิดครับช่วงนี้งานยุ่งมากๆ มีเวลาแล้วก็เลยมีรีวิวต่อครับ
หลังจากการผจญภัยมา 5 วัน ก็เข้าสู่วันที่ 6 ที่จะต้องปั่นจากโยโกฮาม่าเข้าโตเกียวโดยไม่มี Google map ช่วยแล้วครับ
Day5 : การเดินทางแบบไม่มีตัวช่วยจากโยโกฮาม่าสู่โตเกียว
ตื่นเช้ามาวันนี้ลองเปิด Pocket WiFi ดู อาการยังไม่ดีขึ้น เหมือนจะใช้ไม่ได้ เลยลองออกไปหาร้านแถวๆนั้นให้ช่วยดูให้ เผื่อว่าจะเคลม หรือช่วยให้กลับมาใช้ได้ซึ่งใกล้ๆนั้นมีถนนที่เป็นแหล่ง Shopping อยู่ เนื่องจากร้านอุปกรณ์มือถือเปิด 11 โมง เราเลยเดินเล่นรอ พอ 11 โมงพนักงานร้านก็มาเปิดร้าน ปรากฏว่าเปิดประตูไม่ได้ เห็นเขาพยายามโทรเพื่อหาคนมาเปิด กว่าจะเปิดได้ก็เที่ยงกว่าๆ ลองเรา Pocket WiFi ไปให้เขาดู คุยไปคุยมาสรุปเขาทอะไรไม่ได้ เราต้องติดต่อบริษัทที่เช่าเอง รู้สึกว่าไม่น่าเสียเวลารอเลย ถ้าหากทางออกเดินทางแต่เช้า ป่านนี้น่าจะเกือบถึงโตเกียวแล้ว
จากนั้นเราก็กลับไปที่โรงแรม พยายามใช้ WiFi โรงแรมเพื่อส่งเมล์ไปยัง Japan Wireless แล้วก็เปิด google map เพื่อหาทางไปยังที่พักคืนนี้โดยที่เมื่อเลือกเส้นทางแล้วหลังจากเราออกเดินทางจะเปลี่ยนไม่ได้แล้วเพราะไม่มี ineternet ให้ใช้ ต้องไปแบบกึ่งๆ offline เอา
เราได้ลองไปติดต่อพนักงานโรงแรมเพื่อขอแผนที่ที่จะไปโตเกียว และแจ้งว่าเราจะปั่นไป ซึ่งเขาก็พยายามหาดูให้แต่ไม่มี มีแต่แผนที่ของโยโกฮาม่าเท่านั้น แล้วก็บอกให้เรารอก่อน เขาจะพยายามลองติดต่อที่อื่นๆเพื่อขอแผนที่ดูให้ ตรงนี้ทำให้ผมรู้สึกเลยครับ ว่าเขาพยายามที่จะช่วยเราแบบชนิดไม่ถึงที่สุดไม่เลิกจริงๆ
ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมแผนที่ 2-3 ชุด ซึ่งแยกเป็นของ โยกฮามา และ โตเกียว แล้วก็พยายามธิบายว่า ให้ใช้วิ่งตรงไป แล้วเลี้ยวซ้ายมุงเข้าถนนหมายเลข 15 ซึ่งน่าจะเหมะกับการปั่นจักรยานมากกว่าถนนหมายเลข 1 ซึ่งเป็นถนนใหญ่กว่า พร้อมทั้งเตือนเราว่าให้ระวังรถยนต์ด้วย บางทีก็ขับไม่สุภาพ อาจจมาเฉี่ยวเราได้ (เขาใช้คำว่า Rough ซึ่งตอนหลังผมพบว่าขนาดไม่สุภาพของเขาเนี่ย ดีกว่าบ้านเราหลายเท่านักครับ 55)
อีกคำถามคือเราสามารถปั่นจักรยานบนถนนหลวงได้ไหม คำตอบคือ Absolutely.

แผนที่เขาดูสีสรรสวยงาม

อันนี้ให้มาเป็นเล่มเลยครับ
เราก็ได้แต่ขอบคุณและเริ่มออกเดินทางเพื่อจะได้ถึงโตเกียวไม่มืดเกินไปนัก ระยะทางก็ประมาณ 40 กม. ได้ ระหว่าทางไปบังเอิญไปเจอถนนเล็กๆ Kannai Sakura-dori ที่เต็มไปด้วยต้นซากุระกำลังบานสะพรั่งเหมือนอุโมงค์ซากุระ เลยเข้าไปถ่ายรูปซะหน่อย

ถนนปั่นสบาย

แถวนี้ต้นซะกุระยังบานอยู่เยอะเลย

เส้นทางสวยงามมาก

ซากุระบานตลอดถนนเลย
จากนั้นก็เริ่มออกเดินทางต่อไปโดนมุ่งหน้าตามถนนหมายเลข 15 ซึ่งถนนถือว่าใหญ่มา ช่วงนี้เริ่มปั่นบนนถนนเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากเริ่มชินกับถนนที่นะแระ 55 เรียกว่าไปเกรียนที่ถนนญี่ปุ่นซะหน่อย

ตามถนนหมายเลข 15 อย่างเดียว

บางช่วงก็ต้องเข็นขึ้นสะพานบางช่วงเราก็ต้องเข็นข้ามถนน ทางขึ้นเขาดีมั่กๆ

ชมวิวไปเรื่อยๆครับ

ระหว่างทางก็แวะกินโน่นนี่ไปเรื่อย
การเดินทางงานกว่าที่คิดใว้เยอะครับ ตามถนนใหญ่ไปได้เลย ไม่ต้องคิดมาก
พอช่วงชานเมืองโตเกียวก็เริ่มมีทางเท้ากว้างๆและมีเลนจักรยานอยู่ จะรอช้าอยู่ใย รีบเขาไปปั่นซิคร้าบบ

ทางจักรยานเขากว้างดีจัง

มีสัญลักษณ์ระบุใว้ชัดเจน ไม่มีมอไซมาเนียนใช้ทาง ปั่นสบายๆ

คนใช้จักรยานเดินทางกันเยอะมาก

ทางเท้า + ทางจักรยานเขากว้างกว่าถนนให้รถยนต์วิ่งเสียอีก

ระหว่างทางเจอเด็กญี่ปุ่นชั้นอนุบาลแบกกระเป๋า น่ารักมากๆ

ข้อเสียของการปั่นจักรยานในโตเกียวคือ เนิน+สะพานเยอะมากๆ

สีแดงทางเท้า สีเทาทางจักรยาน

ทางใครทางมัน อิอิ

คนใช้จักรยานเยอะจริงๆครับ เข้าตัวเมืองคนเริ่มเยอะ จักรยานกับคนเดินที่ ครึ่งต่อครึ่ง

หันกลับไปพระอาทิตย์กำลังตกดินสวยมาก เลยถ่านรูปซะหน่อย (ออกมาไม่ค่อยสวยเหมือนที่ได้เห็นเลย T_T)

ในที่สุดดด เราก็มาถึงฝั่งตรงข้ามที่พักของเรา เรียกได้ว่าทำเวลาได้ดีกว่าที่คิดใว้พอสมควรเลย
และแล้วก็กลับมาถึงปากซอยทางเข้า House Ikebukuro จัดการเช็คอิน แล้วก็ต่อ WiFi ของบ้านพัก และเนื่องจาก Pokcket WiFi เริ่มมีไอน้ำขึ้นที่หน้าจอด้านในเลยตัดสินใจไปหาซื้อ Silica Gel เพื่อมาดูดความชื้นออก
แล้วท้องก็เริ่มเรียกร้องหาอาการ เลยลองใช้ Four Square หาดูว่ากินอะไรดี ไปจบลงที่ร้านทงคัทสึร้านนึง เราจึงออกเดินทางไป Big Camera ที่ Big Camera ที่นี่ใหญ่มาก เป็นตึกขนาด 5 ห้องแถว มี 5 ชั้น มีขายอุปกรณ์อีเล็กโทรนิคเยอะมาก ประกาศของทางร้าน ซึ่งตอนแรกฟังๆก็เป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วก็ประกาศเป็นภาอังกฤษ ที่สะดุดคือ อันสุดท้ายเป็นภาษาไทย!!! โอว นี่ชั้นอยู่ประเทศไทยหรือเปล่าเนี่ย 55
หลังจากซื้อ Silica Gel แล้วก็ไปหม่ำข้าวที่ร้านทงคัทสึซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ Big Camera พอดี สิ่งนึงที่ผมทึ่งคือ ประกาศของทางร้านนั้น นอกจากมีภาษาญี่ปุ่นและอังกกฤษแล้ว ยังมีภาษาไทยอีกด้วย เรียกว่าคนไทยได้ยึดหัวหาดญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

ทงคัทสึร้านนี้ อร่อยมาก อร่อยกว่าบ้านเราเยอะเลย

กรอบอร่อยมากๆครับใครมาแถวนี้แนะนำเลยอยู่ซอยตรงข้าม Big Camera
จากนั้นก็เดินทางกลับไปพักผ่อนเพื่อพร้อมสำหรับการเดินทางไปเที่ยวในวันถัดไปครับ

ที่นอนเป็นเบาะหนาๆกับผ้าห่มนุ่มๆ

การเดินทางวันนี้รวม 41 กม. ได้ ถือว่าไม่ได้ไกลมากสบายๆครับ
Day7 : Doraemon Museun & Ghibli Museum
วันนี้สถานที่เที่ยวที่เราจะไปมี Doraemon Museun และ Ghibli Museum โดยเราได้ทำการจองตั๋วเข้าใว้แล้วจากเมืองไทย ความลำบากคือต้องจองตั๋วบนหน้าเว็บแล้วไปรับตั๋วที่เครื่อง Loppi ใน minimart ภายในวันที่กำหนดซึ่งคิวค่อนข้างเต็มยาว หากมาจองตอนอยู่ญี่ปุ่นจะไม่มีรอบ แต่โชคดีที่มีเพื่อนมาเที่ยวญี่ปุ่นก่อนเรา 2 อาทิตย์ เลยฝากเพื่อนไปรับซึ่งทุทักทุเลนาดู เพราะต้องพิมพ์ชื่อเราเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วย เพื่อนก็ให้พนักงานช่วยแต่กว่าจะสะกดชื่อเราและออกตั๋วได้ได้ เล่นเอากินเวลาเป็นชั่วโมง สรุปก็ได้ตั๋ว Doraemon Museun รอบ 10 โมง และ Ghibli Museum รอบบ่าย 2 โมง โดยที่หากเราพลาดเวลาที่ระบุก็จะไม่สามารถเข้าได้เลย เราจึงต้องทำเวลาพอสมควร
เนื่องจาก Pocket WiFi ยังคงใช้ไม่ได้ ไอ้ครั้นจะพึ่งแผนที่อย่างเดียวก็คงจะไปไม่ถึงผมจึงได้ตัดสินใจโหลด App Offline Map Tokyo ราคา 5$ มาใช้เพื่อให้สามารถนำทางเราไปถึงที่หมายได้
ข้อดี
1. สามารถใช้งานแบบ Offline ได้
2. สามารถ Save พิกัดสถานที่ที่จะไปใว้ได้
3. สามารถเลือก “การเดินทางด้วยจักรยาน”ได้ (อันนี้ดีมากๆๆ มันช่วยพาเราเลาะไปตามทางที่เป็นซอยรถน้อย ปั่นง่ายมากๆ)
ข้อเสีย
1. การ search ของ app นี้ต้องใช้ภาษาญี่ปุ่น เราจึงต้อง search บน Google Map (ใช้ WiFi โรงแรม) เพื่อดูตำแหน่ง และไปไล่หาใน App Offine Tokyo map เพื่อ Save อีกที

แอพตัวนี้ครับ

หน้าตาตอนใช้งาน
เมื่อได้ตัวนำทางแล้ว เราก็เริ่มออกเดินทางไปยัง Doraemon Museum (จริงๆชื่อ museum คือ fujiko f fujio museum นะครับ ถ้าหาด้วย Doraemon Museum จะไม่เจอ) ตั้งแต่ 8 โมงซึ่งกะว่าระยะทาง 17 กม. ปั่นฟรุ้งฟริ้งไปก็น่าจะทัน
เมื่อมาถึงเราก็จูงจักรยานไปจอดที่ด้านหลังซีงเขามีที่จอดจักรยานให้ มีคุณแม่ปั่นพาคุณลูกซ้อนท้ายมาเที่ยวกันเยอะเหมือนกัน

ระหว่างทางไปเจอนักปั่นเยอะเลย

มาเจอรถไฟด้วย ที่นี่พอสัญญาณที่กั้นรถไฟดัง ทั้งคน จักรยาน รถยนต์ หยุดทันที ทั้งที่ไม้กันยังไม่ขยับลงมากั้นด้วยซ้ำ ระเบียบวินัยดีมากๆ

พอข้ามสะพานข้ามแม่น้ำนี่ก็จะเขาสู่ถนนที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แล้วครับ

วิ่งตามถนนนี้ไปเรื่อยๆเราก็จะเจอพิพิธภัณฑ์อยู่ทางซ้ายมือ

ในที่สุดเราก็มาถึงแล้ว ทันเวลา 10 โมงพอดีเลย

มีป้ายสวยงามบอกทางไปที่จอดจักรยาน

แล้วเราก็จอดติดรั้วพร้อมล๊อคใว้กับรั้ว คนอื่นไม่ล๊อค แต่เราล๊อค 55

แถวเข้าชมยาวใช้ได้ แต่ก็ไม่นานนะ
ตรงกำแพงจะมีโมเดลของการ์ตูนเรื่องต่างโชว์ใว้
เดี๋ยวมาต่อครับ
[CR] รีวิวสั้นๆขนจักรยานพับไปปั่นที่ญี่ปุ่น จากภูเขาไฟฟูจิสู่โตเกียว 10 วัน 9 คืน ตอนที่ 2 (ตอนจบ)
เว้นนานไปนิดครับช่วงนี้งานยุ่งมากๆ มีเวลาแล้วก็เลยมีรีวิวต่อครับ
หลังจากการผจญภัยมา 5 วัน ก็เข้าสู่วันที่ 6 ที่จะต้องปั่นจากโยโกฮาม่าเข้าโตเกียวโดยไม่มี Google map ช่วยแล้วครับ
Day5 : การเดินทางแบบไม่มีตัวช่วยจากโยโกฮาม่าสู่โตเกียว
ตื่นเช้ามาวันนี้ลองเปิด Pocket WiFi ดู อาการยังไม่ดีขึ้น เหมือนจะใช้ไม่ได้ เลยลองออกไปหาร้านแถวๆนั้นให้ช่วยดูให้ เผื่อว่าจะเคลม หรือช่วยให้กลับมาใช้ได้ซึ่งใกล้ๆนั้นมีถนนที่เป็นแหล่ง Shopping อยู่ เนื่องจากร้านอุปกรณ์มือถือเปิด 11 โมง เราเลยเดินเล่นรอ พอ 11 โมงพนักงานร้านก็มาเปิดร้าน ปรากฏว่าเปิดประตูไม่ได้ เห็นเขาพยายามโทรเพื่อหาคนมาเปิด กว่าจะเปิดได้ก็เที่ยงกว่าๆ ลองเรา Pocket WiFi ไปให้เขาดู คุยไปคุยมาสรุปเขาทอะไรไม่ได้ เราต้องติดต่อบริษัทที่เช่าเอง รู้สึกว่าไม่น่าเสียเวลารอเลย ถ้าหากทางออกเดินทางแต่เช้า ป่านนี้น่าจะเกือบถึงโตเกียวแล้ว
จากนั้นเราก็กลับไปที่โรงแรม พยายามใช้ WiFi โรงแรมเพื่อส่งเมล์ไปยัง Japan Wireless แล้วก็เปิด google map เพื่อหาทางไปยังที่พักคืนนี้โดยที่เมื่อเลือกเส้นทางแล้วหลังจากเราออกเดินทางจะเปลี่ยนไม่ได้แล้วเพราะไม่มี ineternet ให้ใช้ ต้องไปแบบกึ่งๆ offline เอา
เราได้ลองไปติดต่อพนักงานโรงแรมเพื่อขอแผนที่ที่จะไปโตเกียว และแจ้งว่าเราจะปั่นไป ซึ่งเขาก็พยายามหาดูให้แต่ไม่มี มีแต่แผนที่ของโยโกฮาม่าเท่านั้น แล้วก็บอกให้เรารอก่อน เขาจะพยายามลองติดต่อที่อื่นๆเพื่อขอแผนที่ดูให้ ตรงนี้ทำให้ผมรู้สึกเลยครับ ว่าเขาพยายามที่จะช่วยเราแบบชนิดไม่ถึงที่สุดไม่เลิกจริงๆ
ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมแผนที่ 2-3 ชุด ซึ่งแยกเป็นของ โยกฮามา และ โตเกียว แล้วก็พยายามธิบายว่า ให้ใช้วิ่งตรงไป แล้วเลี้ยวซ้ายมุงเข้าถนนหมายเลข 15 ซึ่งน่าจะเหมะกับการปั่นจักรยานมากกว่าถนนหมายเลข 1 ซึ่งเป็นถนนใหญ่กว่า พร้อมทั้งเตือนเราว่าให้ระวังรถยนต์ด้วย บางทีก็ขับไม่สุภาพ อาจจมาเฉี่ยวเราได้ (เขาใช้คำว่า Rough ซึ่งตอนหลังผมพบว่าขนาดไม่สุภาพของเขาเนี่ย ดีกว่าบ้านเราหลายเท่านักครับ 55)
อีกคำถามคือเราสามารถปั่นจักรยานบนถนนหลวงได้ไหม คำตอบคือ Absolutely.
แผนที่เขาดูสีสรรสวยงาม
อันนี้ให้มาเป็นเล่มเลยครับ
เราก็ได้แต่ขอบคุณและเริ่มออกเดินทางเพื่อจะได้ถึงโตเกียวไม่มืดเกินไปนัก ระยะทางก็ประมาณ 40 กม. ได้ ระหว่าทางไปบังเอิญไปเจอถนนเล็กๆ Kannai Sakura-dori ที่เต็มไปด้วยต้นซากุระกำลังบานสะพรั่งเหมือนอุโมงค์ซากุระ เลยเข้าไปถ่ายรูปซะหน่อย
ถนนปั่นสบาย
แถวนี้ต้นซะกุระยังบานอยู่เยอะเลย
เส้นทางสวยงามมาก
ซากุระบานตลอดถนนเลย
จากนั้นก็เริ่มออกเดินทางต่อไปโดนมุ่งหน้าตามถนนหมายเลข 15 ซึ่งถนนถือว่าใหญ่มา ช่วงนี้เริ่มปั่นบนนถนนเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากเริ่มชินกับถนนที่นะแระ 55 เรียกว่าไปเกรียนที่ถนนญี่ปุ่นซะหน่อย
ตามถนนหมายเลข 15 อย่างเดียว
บางช่วงก็ต้องเข็นขึ้นสะพานบางช่วงเราก็ต้องเข็นข้ามถนน ทางขึ้นเขาดีมั่กๆ
ชมวิวไปเรื่อยๆครับ
ระหว่างทางก็แวะกินโน่นนี่ไปเรื่อย
การเดินทางงานกว่าที่คิดใว้เยอะครับ ตามถนนใหญ่ไปได้เลย ไม่ต้องคิดมาก
พอช่วงชานเมืองโตเกียวก็เริ่มมีทางเท้ากว้างๆและมีเลนจักรยานอยู่ จะรอช้าอยู่ใย รีบเขาไปปั่นซิคร้าบบ
ทางจักรยานเขากว้างดีจัง
มีสัญลักษณ์ระบุใว้ชัดเจน ไม่มีมอไซมาเนียนใช้ทาง ปั่นสบายๆ
คนใช้จักรยานเดินทางกันเยอะมาก
ทางเท้า + ทางจักรยานเขากว้างกว่าถนนให้รถยนต์วิ่งเสียอีก
ระหว่างทางเจอเด็กญี่ปุ่นชั้นอนุบาลแบกกระเป๋า น่ารักมากๆ
ข้อเสียของการปั่นจักรยานในโตเกียวคือ เนิน+สะพานเยอะมากๆ
สีแดงทางเท้า สีเทาทางจักรยาน
ทางใครทางมัน อิอิ
คนใช้จักรยานเยอะจริงๆครับ เข้าตัวเมืองคนเริ่มเยอะ จักรยานกับคนเดินที่ ครึ่งต่อครึ่ง
หันกลับไปพระอาทิตย์กำลังตกดินสวยมาก เลยถ่านรูปซะหน่อย (ออกมาไม่ค่อยสวยเหมือนที่ได้เห็นเลย T_T)
ในที่สุดดด เราก็มาถึงฝั่งตรงข้ามที่พักของเรา เรียกได้ว่าทำเวลาได้ดีกว่าที่คิดใว้พอสมควรเลย
และแล้วก็กลับมาถึงปากซอยทางเข้า House Ikebukuro จัดการเช็คอิน แล้วก็ต่อ WiFi ของบ้านพัก และเนื่องจาก Pokcket WiFi เริ่มมีไอน้ำขึ้นที่หน้าจอด้านในเลยตัดสินใจไปหาซื้อ Silica Gel เพื่อมาดูดความชื้นออก
แล้วท้องก็เริ่มเรียกร้องหาอาการ เลยลองใช้ Four Square หาดูว่ากินอะไรดี ไปจบลงที่ร้านทงคัทสึร้านนึง เราจึงออกเดินทางไป Big Camera ที่ Big Camera ที่นี่ใหญ่มาก เป็นตึกขนาด 5 ห้องแถว มี 5 ชั้น มีขายอุปกรณ์อีเล็กโทรนิคเยอะมาก ประกาศของทางร้าน ซึ่งตอนแรกฟังๆก็เป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วก็ประกาศเป็นภาอังกฤษ ที่สะดุดคือ อันสุดท้ายเป็นภาษาไทย!!! โอว นี่ชั้นอยู่ประเทศไทยหรือเปล่าเนี่ย 55
หลังจากซื้อ Silica Gel แล้วก็ไปหม่ำข้าวที่ร้านทงคัทสึซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ Big Camera พอดี สิ่งนึงที่ผมทึ่งคือ ประกาศของทางร้านนั้น นอกจากมีภาษาญี่ปุ่นและอังกกฤษแล้ว ยังมีภาษาไทยอีกด้วย เรียกว่าคนไทยได้ยึดหัวหาดญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ
ทงคัทสึร้านนี้ อร่อยมาก อร่อยกว่าบ้านเราเยอะเลย
กรอบอร่อยมากๆครับใครมาแถวนี้แนะนำเลยอยู่ซอยตรงข้าม Big Camera
จากนั้นก็เดินทางกลับไปพักผ่อนเพื่อพร้อมสำหรับการเดินทางไปเที่ยวในวันถัดไปครับ
ที่นอนเป็นเบาะหนาๆกับผ้าห่มนุ่มๆ
การเดินทางวันนี้รวม 41 กม. ได้ ถือว่าไม่ได้ไกลมากสบายๆครับ
Day7 : Doraemon Museun & Ghibli Museum
วันนี้สถานที่เที่ยวที่เราจะไปมี Doraemon Museun และ Ghibli Museum โดยเราได้ทำการจองตั๋วเข้าใว้แล้วจากเมืองไทย ความลำบากคือต้องจองตั๋วบนหน้าเว็บแล้วไปรับตั๋วที่เครื่อง Loppi ใน minimart ภายในวันที่กำหนดซึ่งคิวค่อนข้างเต็มยาว หากมาจองตอนอยู่ญี่ปุ่นจะไม่มีรอบ แต่โชคดีที่มีเพื่อนมาเที่ยวญี่ปุ่นก่อนเรา 2 อาทิตย์ เลยฝากเพื่อนไปรับซึ่งทุทักทุเลนาดู เพราะต้องพิมพ์ชื่อเราเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วย เพื่อนก็ให้พนักงานช่วยแต่กว่าจะสะกดชื่อเราและออกตั๋วได้ได้ เล่นเอากินเวลาเป็นชั่วโมง สรุปก็ได้ตั๋ว Doraemon Museun รอบ 10 โมง และ Ghibli Museum รอบบ่าย 2 โมง โดยที่หากเราพลาดเวลาที่ระบุก็จะไม่สามารถเข้าได้เลย เราจึงต้องทำเวลาพอสมควร
เนื่องจาก Pocket WiFi ยังคงใช้ไม่ได้ ไอ้ครั้นจะพึ่งแผนที่อย่างเดียวก็คงจะไปไม่ถึงผมจึงได้ตัดสินใจโหลด App Offline Map Tokyo ราคา 5$ มาใช้เพื่อให้สามารถนำทางเราไปถึงที่หมายได้
ข้อดี
1. สามารถใช้งานแบบ Offline ได้
2. สามารถ Save พิกัดสถานที่ที่จะไปใว้ได้
3. สามารถเลือก “การเดินทางด้วยจักรยาน”ได้ (อันนี้ดีมากๆๆ มันช่วยพาเราเลาะไปตามทางที่เป็นซอยรถน้อย ปั่นง่ายมากๆ)
ข้อเสีย
1. การ search ของ app นี้ต้องใช้ภาษาญี่ปุ่น เราจึงต้อง search บน Google Map (ใช้ WiFi โรงแรม) เพื่อดูตำแหน่ง และไปไล่หาใน App Offine Tokyo map เพื่อ Save อีกที
แอพตัวนี้ครับ
หน้าตาตอนใช้งาน
เมื่อได้ตัวนำทางแล้ว เราก็เริ่มออกเดินทางไปยัง Doraemon Museum (จริงๆชื่อ museum คือ fujiko f fujio museum นะครับ ถ้าหาด้วย Doraemon Museum จะไม่เจอ) ตั้งแต่ 8 โมงซึ่งกะว่าระยะทาง 17 กม. ปั่นฟรุ้งฟริ้งไปก็น่าจะทัน
เมื่อมาถึงเราก็จูงจักรยานไปจอดที่ด้านหลังซีงเขามีที่จอดจักรยานให้ มีคุณแม่ปั่นพาคุณลูกซ้อนท้ายมาเที่ยวกันเยอะเหมือนกัน
ระหว่างทางไปเจอนักปั่นเยอะเลย
มาเจอรถไฟด้วย ที่นี่พอสัญญาณที่กั้นรถไฟดัง ทั้งคน จักรยาน รถยนต์ หยุดทันที ทั้งที่ไม้กันยังไม่ขยับลงมากั้นด้วยซ้ำ ระเบียบวินัยดีมากๆ
พอข้ามสะพานข้ามแม่น้ำนี่ก็จะเขาสู่ถนนที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แล้วครับ
วิ่งตามถนนนี้ไปเรื่อยๆเราก็จะเจอพิพิธภัณฑ์อยู่ทางซ้ายมือ
ในที่สุดเราก็มาถึงแล้ว ทันเวลา 10 โมงพอดีเลย
มีป้ายสวยงามบอกทางไปที่จอดจักรยาน
แล้วเราก็จอดติดรั้วพร้อมล๊อคใว้กับรั้ว คนอื่นไม่ล๊อค แต่เราล๊อค 55
แถวเข้าชมยาวใช้ได้ แต่ก็ไม่นานนะ
ตรงกำแพงจะมีโมเดลของการ์ตูนเรื่องต่างโชว์ใว้
เดี๋ยวมาต่อครับ