เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผมมีโอกาสแจมเดินทางกับเพื่อนๆ ร่วมเดินทางที่แสนจะคฤโหด ในครั้งนี้ เพื่อไปตามหา ชาวป่า ซาไก
เราเดินทางจากหาดใหญ่ จุดหมายปลายทางคือ บนผืนป่าในชุมชน ต.ทุ่งนารี อ.ป่าบอน จ.พัทลุง พื้นที่เทือกเขาบรรทัด โดยมียายแท้ๆของเพื่อนในกลุ่มนี่เระครับเป็นคนนำทาง บนความสูง ภูเขาสามลูกใช้เวลา เกือบสองชั่วโมง อย่างโหดในการเดินทางข้ามห้วย ปีนเขา สุดท้ายเจอกับชาวป่าที่คนเมืองเรียกว่า เงาะป่าซาไก
ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ริมเขา ไม่มีไฟฟ้า แต่จะใช้โซลาเซล เป็นป่าชุมชน ที่บ้านหลังสุดท้ายคือบ้านของยายเอื้อน รุยันต์ นำทางเราและเป็นสื่อกลาง
กับชาวป่าซาไก และเป็นหมู่บ้านอนุรักษ์เผ่าซาไกอีกด้วย
....................................
เริ่มเดินทางกันต่อเลยดีกว่าครับ สู้ไม่สู้ สู้ไม่สู้ ... ^^ สู้โว้ยยยยยยยยยย
9.00 น. เดินทางขึ้นเขากันเต๊อะเพื่อนๆ เราเดินทางขี้นเขา บนความสูง ภูเขาสามลูกใช้เวลา เกือบสองชั่วโมง อย่างโหดในการเดินทางข้ามห้วย ปีนเขา โฉมหน้า ยายเอื้อน รุยันต์ นำทางเราและเป็นสื่อกลางกับชาวป่า ถามแกว่า ยายเดินเขาสามลูกเหนื่อยมั้ย แกบอก จิ๊บ
ระหว่างทางเราพบกับลำธาร เห้ยยยย นี่มันลำธารในฝันเลยย น้ำใสมากๆๆๆ เย็น ยายบอกว่า น้ำนี่กินได้เลยน่ะ เพราะธรรมชาติจริงๆ พวกเราเลยไม่พลาดที่จะใช้มือจวักน้ำ ชื่นใจจจจจ จุงเบย
เดินต่อแถวตามทาง ยายบอกว่า ซาไกบอกให้ยายไปหาถ้าจะไปหาเขาได้ ให้ดูสัญลักษณ์ไม้ที่โดนตัดเป็นทาง เพื่อไปเจอกับพวกเขา พวกเราเดินต่อไปเรื่อยๆ จนจะสุดเขาลูกที่หนึ่ง คืออารมณ์แบบว่า เห้ย เมื่อไหร่จะถึงว่ะเนี่ย เหนื่อย แต่ในใจก็อยากจะเห็นซาไกตัวเป็นๆสักครั้ง อยากรู้ว่าเขาอยู่กันยังไง คือนึกภาพเลยว่า เขาต้องนุ่งใบไม้ กินอะไรกัน นอนกันยังไง บลาๆๆๆๆๆ
แต่แล้วเราก็ต้องหยุดการเดิน และตกใจเมื่อเห็นภาพของผมเดินทางขึ้นสู่เขาลูกที่สองนั้นคือกลางป่าจริงๆตลอดทางที่ผ่านมา แต่เมื่อมาจุดนี้ กลับกลายเป็นสวนยางพาราเต็มพื้นที่ นี่เระเป็นปัญหารุกที่เข้ามาในเขตป่าด้วยนายทุนและคนมีสีอยู่เบื้องหลัง

รอยเลื่อยไม้ยังใหม่ ไม่เกิน สามวันก่อนที่พวกเราจะมาสำรวจ
ในเมื่อปัจจุบันนี้ป่าซึ่งเป็นบ้านของชาวป่าซาไกกำลังหมดไปด้วยการรุกล้ำเข้ามาตัดไม้ป่าหมด สัตว์ป่าหมด ผมถามพวกเขาว่า เดี่ยวนี้สัตว์มีมากอีกหรือป่าว คำตอบที่ห้วนๆด้วยสำเนียงที่ไม่คุ้นชินสักเท่าไร่ คือ หม้าย(ไม่)มีแล้ว แม้แต่หัวมันที่เคยมีมาก แต่ตอนนี้หายากเต็มที ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆอาจจะส่งผลกระทบกับชาวป่าที่ต้องหลบซ่อน เพราะกลัวคนมาทำร้าย
และแล้ว เราก็เจอกับสิ่งนี้ แถ้น แถ๊นนนน แถ้นนนนนนนนนน...

เหมือนจะดีใจเราเจอแล้วทับเก่า (ที่พัก) แต่ยายนำทางบอกว่าเขาย้ายไปแล้ว ซวย แล้วตู แล้วพวกเขาไปอยู่ไหนกันเนี่ย

ยายขึ้นเขาสามลูกพร้อมเรา แต่พวกผ้มมมม คลานขึ้นเขาาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว นับไม่ถ้วน ยายบอก เดี่ยวก็รู้ ใจเย็นๆ ลูกเอ้ยยยยย อยู่สักพัก ยายเห็นอะไรบางอย่าง เห็นอะไรเหรอ ไม้ไผ่ ห๊ะ ไม้ไผ่ นี่คือโค้ชลับดีๆนี่เอง ยายบอก มันหันลูกศรไปทางข้างบน แสดงว่า .... คือโผ้ม กับ เพื่อน ต้องขี้นเขาอีกแล้วล่ะครับท่านนนนนน มัวรออะไรอยู่ล่ะ รีบไปสิพวกเอ็ง ... ครับบ ผมมม TT
หลงป่า ครับ หาทับชาวป่าซาไกไม่เจอ ยายบอกว่ายายก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า พวกชาวป่า เขาบอกให้ยายเดินตามทางไม้หัก ซึ่งผมเพิ่งรู้น่ะเนี่ยว่า ตามทางที่ยายนำมา เราเดินตามทางได้หักที่เขาทำไว้
ตล๊อดดด
ในที่สุดเราก็ได้ยินเสียงเด็กร้อง คิดในใจ เด็กร้อง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เห้ยยยย เรามาถึงแล้วววว ครับบบบบ.....////

ครอบครัว เมื่อเหนื่อยกับการขึ้นเขา สิ่งที่ทำให้พวกเราหายเหนื่อยได้ คือการเห็นรอยยิ้มของพวกเขา ครั้งแรกที่เราไปพบเจอ พวกเขาอยู่ด้วยกันในที่พัก เรียกว่าทับ มีสมาชิกด้วยกัน 8 คน หญิง 2 คน และ ชาย 7 คน หนึ่งในนั้นคือ เจ้าไผ่ ลูกชายของตุ้ม ที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงสิบห้าวันเท่านั้น ตัวแดงเหมือนลูกหนูเลย ไม่มีใครอยากจะเลือกเกิดขึ้นในสภาพแบบนี้หลอก แต่นี่อาจเป็นเพราะผีป่าเขา หรือ เป็นเพราะดวงที่ผูกพันธ์ที่ทำให้ เจ้าไผ่ เกิดมาอยู่ในครอบครัวของ ชาวป่า

หม่ำนมแม่ มนุษย์ทุกคนรักลูก ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้อยู่ท่ามกลางความเจริญ ไม่รู้จักคนอื่นเลย ชีวิตอยู่ในป่า เกิดในป่า ตายในป่า
แต่นี่คือความสุขของเขา ที่ไม่เคยเบียดเบียนใครเลยในโลกนี้
สมาชิกที่เกิดใหม่ท่ามกลางป่าใหญ่ คนล่าสุดที่มีหน้าที่อยู่กับป่าเป็นดัชนีชี้วัดว่า ฝืนป่าแห่งนี้จะมีมนุษย์คนนึง ที่เขาต้องเรียนรู้และสืบทอด สายเลือดของชาวป่าต่อไป ซึ่งถ้าคนเมืองมาเห็นถึงกับว่าเสียดายที่เด็กที่เกิดใหม่นั้นไม่ได้รับสวัสดิการใดๆเลยในสังคม แต่นั่นเป็นเพียงแค่ความคิดของคนเมืองเองที่อยากได้ อยากมี แต่พวกเขาดำรงเผ่าพันธุ์ มาเป็นร้อยเป็นพันปี เกิดในป่ามีพ่อเป็นคนทำคลอดตัดสายสะดือด้วยไม้ไผ่ เกิดในทับที่อยู่และมีญาติๆต่างให้กำลังใจ อยู่ก็อยู่ในป่า หากินได้มาวันนี้หมดวันนี้ พรุ่งนี้หากินใหม่ ตายก็ตายในป่า พวกเขายังอยู่ได้ พวกเขาไม่รู้อายุ ไม่รู้วันเวลา มีแต่นับนิ้วมือนิ้วเท้า แลหวัน(ดูดวงตะวัน) ว่าวันนี้ผ่านพ้นไปพวกเขามีวิถีชีวิตด้วยการแบ่งปัน มีความซื่อสัตย์ ไม่พูดอ้อมค้อม เพราะเค้าไม่มีวัฒนธรรมเหมือนดังคนเมือง แต่สิ่งที่ผมได้เห็นและสำผัสได้นั้น คือความจริงใจ ที่นับวันคนเมืองต่างก็ไม่มี หรือ มีน้อยเต็มทีในปัจจุบัน

น้องไผ่ อายุ 15 วัน ลืมตาดูโลก ท่ามกลางพ่อกับแม่ และญาติ กลางป่าเขา ที่พวกเขาเรียกว่า บ้าน ผมเข้าไปผมรู้ตัวดีเลยว่า เรายังมีเพื่อนมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในโลกนี้เพียงแต่พวกเขา ไม่ขอที่จะเรียกร้องสิทธิ์ใดๆ เกิดขึ้นมาลืมตาดูโลกแล้ว เด็กเกิดมามิใช่เพียง เขามาเกิดเท่านั้น แต่คงเป็นเพราะเจ้าป่า เจ้าเขา เลือกให้เขามาเกิด เกิดเป็นลูกชาวป่า ยังดีกว่าลูกชาวเมือง ที่ต่างแก่งแย่ง อยากได้อยากมี ถ้าเขาพูดได้เขาคงพูดว่า ดีแล้วที่ฉันเกิดมาแล้วไม่เสียชาติเกิด..
ที่อยู่ของพวกเขา เรียกว่า ทับ ทำด้วยไม้และใบไม้มามุงเป็นเพิงหมาแหงน ไว้กันแดดกันฝน และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ กองไฟ ที่ไว้คอยกันสัตว์และให้ความอบอุ่นกับพวกเขาทั้งครอบครัว โฉมหน้า หัวหน้าทับ อยู่ใต้ทับของเขา คนนี้ชื่อว่าเฒ่าพาส เป็นหัวหน้าทับ
พวกเขากินสัตว์ป่า ลิง ค่าง กระรอก หัวมัน รากไม้ที่เอามาเป็นยาสมุนไพร น้ำจากลำธาร และเถาวัลย์ แต่นั่นมันก็หายากเหลือเกิน บางทีก็หาของป่าไปแลกข้าวสาร ไปแลกไข่ไก่ แลกปลา กับคนข้างล่าง แต่เราก็หันไปเห็น ฮั่นนนนแน่ๆๆๆ เฒ่าพล จัดวงสวิง เอ้ยย จัดท่าเป่าลูกดอกให้เราดู โคตรแม่น ลูกดอกอาบยาพิษ จากยางไม้ ไว้ล่าสัตว์ครับ
ได้เวลาเราก็กลับลงมาจากเขา แล้วเดินทางกลับอีกเส้นทาง บอกเลยว่า ขาขึ้นเหนื่อยแค่ไหน ขาลง เหนื่อยกว่าเยอะ ทางชัน มืด เห้ยยย มืด เหรอ บ่ายโมงกว่านี้น่ะ มืด ดูสิมืดยังไง

กลางป่าดิบชื้น ภาพนี้ถ่ายโดยไม่ได้ปรับแต่งใดๆ ถ่าย เวลา 13.00 จะเห็นว่า บรรยากาศปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่จนไม่ค่อยเห็นแสงอาทิตย์
แต่ขาลงเร็วหน่อย เราเลยแวะล้างหน้า ล้างมือที่ลำธารสายเดียวกันตอนขาขึ้น สดชื่นเยอะเลย
ลงมาถึงบ้านยาย เราก็นึกถึงเลยว่าการปรับตัวโดยมีชุมชนที่คอยหนุนให้ชาวป่ายังคงอยู่ในพื้นที่เดิมไม่ต้องย้ายข้ามจังหวัดตามแนวเขา คือตาเม่น และยายเอื้อน รุยันต์ ที่คอยปกป้องผืนป่าและชาวป่ากลุ่มสุดท้ายที่อยู่ในเขตนี้ ยายเล่าว่า เขาไม่ได้เป็นคนเถื่อนอย่างที่คนอื่นคิด แต่เขามีวัฒนธรรมอย่างนี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ท่านรักชาวป่า เหมือนลูกหลานคนหนึ่งในบ้านแต่ในด้านที่แตกต่างกันคือ สถานะทางสังคม การได้รับสวัสดิการทางสังคมที่ไม่ได้มาถึง แต่ชาวป่าก็ไม่ได้เรียกร้องสิทธิ์ใดๆแถมมีแต่จะดีใจอีกด้วยที่เขาได้อยู่ในสถานะของเขา วิถีชีวิตที่เรียบง่ายอยู่กับป่า กินกับป่าแต่สิ่งที่พวกเขาอยากได้มากกว่าอื่นใดคงเป็นการใช้จิตสำนึกของคนเมืองมากกว่าในการเข้ามาอนุรักษ์ป่า หยุดการเป็นประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าส่วนรวมเพื่อที่จะได้เห็นชนชาวป่าที่จะอยู่คู่กับผืนป่าในชุมชน ต.ทุ่งนารี อ.ป่าบอน จ.พัทลุง ชาวป่าจะได้อยู่กับป่าที่พวกเขาควรจะอยู่และเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ ด้านมนุษยวิทยา และ เห็นอัตลักษณ์ หรือนี่เป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของฝืนป่าอีกต่อไป
และนี่คือชาวป่าซาไก แท้ๆที่จังหวัดพัทลุง ที่ยังเป็นชาวป่า ดั้งเดิม ไม่เหมือนกัน สตูล หรือที่ อื่นๆ ที่กลายเป็นคนเมือง กันหมดแล้ว
รีวิวนี้เป็นกระทู้แรกที่ผมได้เขียน ฝากเป็นกำลังใจให้ด้วยน่ะครับ
ฝากพูดคุยกันน่ะ facebook : ไปเที่ยวกับไกด์เท็น
เมื่อผมขึ้นเขาสามลูก ตามหาเงาะป่าซาไก ไม่เสียชาติเกิดแล้วที่ได้เห็นซาไกตัวเป็นๆ
เราเดินทางจากหาดใหญ่ จุดหมายปลายทางคือ บนผืนป่าในชุมชน ต.ทุ่งนารี อ.ป่าบอน จ.พัทลุง พื้นที่เทือกเขาบรรทัด โดยมียายแท้ๆของเพื่อนในกลุ่มนี่เระครับเป็นคนนำทาง บนความสูง ภูเขาสามลูกใช้เวลา เกือบสองชั่วโมง อย่างโหดในการเดินทางข้ามห้วย ปีนเขา สุดท้ายเจอกับชาวป่าที่คนเมืองเรียกว่า เงาะป่าซาไก
ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ริมเขา ไม่มีไฟฟ้า แต่จะใช้โซลาเซล เป็นป่าชุมชน ที่บ้านหลังสุดท้ายคือบ้านของยายเอื้อน รุยันต์ นำทางเราและเป็นสื่อกลาง
กับชาวป่าซาไก และเป็นหมู่บ้านอนุรักษ์เผ่าซาไกอีกด้วย
....................................
เริ่มเดินทางกันต่อเลยดีกว่าครับ สู้ไม่สู้ สู้ไม่สู้ ... ^^ สู้โว้ยยยยยยยยยย
9.00 น. เดินทางขึ้นเขากันเต๊อะเพื่อนๆ เราเดินทางขี้นเขา บนความสูง ภูเขาสามลูกใช้เวลา เกือบสองชั่วโมง อย่างโหดในการเดินทางข้ามห้วย ปีนเขา โฉมหน้า ยายเอื้อน รุยันต์ นำทางเราและเป็นสื่อกลางกับชาวป่า ถามแกว่า ยายเดินเขาสามลูกเหนื่อยมั้ย แกบอก จิ๊บ
ระหว่างทางเราพบกับลำธาร เห้ยยยย นี่มันลำธารในฝันเลยย น้ำใสมากๆๆๆ เย็น ยายบอกว่า น้ำนี่กินได้เลยน่ะ เพราะธรรมชาติจริงๆ พวกเราเลยไม่พลาดที่จะใช้มือจวักน้ำ ชื่นใจจจจจ จุงเบย
เดินต่อแถวตามทาง ยายบอกว่า ซาไกบอกให้ยายไปหาถ้าจะไปหาเขาได้ ให้ดูสัญลักษณ์ไม้ที่โดนตัดเป็นทาง เพื่อไปเจอกับพวกเขา พวกเราเดินต่อไปเรื่อยๆ จนจะสุดเขาลูกที่หนึ่ง คืออารมณ์แบบว่า เห้ย เมื่อไหร่จะถึงว่ะเนี่ย เหนื่อย แต่ในใจก็อยากจะเห็นซาไกตัวเป็นๆสักครั้ง อยากรู้ว่าเขาอยู่กันยังไง คือนึกภาพเลยว่า เขาต้องนุ่งใบไม้ กินอะไรกัน นอนกันยังไง บลาๆๆๆๆๆ
แต่แล้วเราก็ต้องหยุดการเดิน และตกใจเมื่อเห็นภาพของผมเดินทางขึ้นสู่เขาลูกที่สองนั้นคือกลางป่าจริงๆตลอดทางที่ผ่านมา แต่เมื่อมาจุดนี้ กลับกลายเป็นสวนยางพาราเต็มพื้นที่ นี่เระเป็นปัญหารุกที่เข้ามาในเขตป่าด้วยนายทุนและคนมีสีอยู่เบื้องหลัง
รอยเลื่อยไม้ยังใหม่ ไม่เกิน สามวันก่อนที่พวกเราจะมาสำรวจ
ในเมื่อปัจจุบันนี้ป่าซึ่งเป็นบ้านของชาวป่าซาไกกำลังหมดไปด้วยการรุกล้ำเข้ามาตัดไม้ป่าหมด สัตว์ป่าหมด ผมถามพวกเขาว่า เดี่ยวนี้สัตว์มีมากอีกหรือป่าว คำตอบที่ห้วนๆด้วยสำเนียงที่ไม่คุ้นชินสักเท่าไร่ คือ หม้าย(ไม่)มีแล้ว แม้แต่หัวมันที่เคยมีมาก แต่ตอนนี้หายากเต็มที ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆอาจจะส่งผลกระทบกับชาวป่าที่ต้องหลบซ่อน เพราะกลัวคนมาทำร้าย
และแล้ว เราก็เจอกับสิ่งนี้ แถ้น แถ๊นนนน แถ้นนนนนนนนนน...
เหมือนจะดีใจเราเจอแล้วทับเก่า (ที่พัก) แต่ยายนำทางบอกว่าเขาย้ายไปแล้ว ซวย แล้วตู แล้วพวกเขาไปอยู่ไหนกันเนี่ย
ยายขึ้นเขาสามลูกพร้อมเรา แต่พวกผ้มมมม คลานขึ้นเขาาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว นับไม่ถ้วน ยายบอก เดี่ยวก็รู้ ใจเย็นๆ ลูกเอ้ยยยยย อยู่สักพัก ยายเห็นอะไรบางอย่าง เห็นอะไรเหรอ ไม้ไผ่ ห๊ะ ไม้ไผ่ นี่คือโค้ชลับดีๆนี่เอง ยายบอก มันหันลูกศรไปทางข้างบน แสดงว่า .... คือโผ้ม กับ เพื่อน ต้องขี้นเขาอีกแล้วล่ะครับท่านนนนนน มัวรออะไรอยู่ล่ะ รีบไปสิพวกเอ็ง ... ครับบ ผมมม TT
หลงป่า ครับ หาทับชาวป่าซาไกไม่เจอ ยายบอกว่ายายก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า พวกชาวป่า เขาบอกให้ยายเดินตามทางไม้หัก ซึ่งผมเพิ่งรู้น่ะเนี่ยว่า ตามทางที่ยายนำมา เราเดินตามทางได้หักที่เขาทำไว้
ตล๊อดดด
ในที่สุดเราก็ได้ยินเสียงเด็กร้อง คิดในใจ เด็กร้อง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เห้ยยยย เรามาถึงแล้วววว ครับบบบบ.....////
ครอบครัว เมื่อเหนื่อยกับการขึ้นเขา สิ่งที่ทำให้พวกเราหายเหนื่อยได้ คือการเห็นรอยยิ้มของพวกเขา ครั้งแรกที่เราไปพบเจอ พวกเขาอยู่ด้วยกันในที่พัก เรียกว่าทับ มีสมาชิกด้วยกัน 8 คน หญิง 2 คน และ ชาย 7 คน หนึ่งในนั้นคือ เจ้าไผ่ ลูกชายของตุ้ม ที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงสิบห้าวันเท่านั้น ตัวแดงเหมือนลูกหนูเลย ไม่มีใครอยากจะเลือกเกิดขึ้นในสภาพแบบนี้หลอก แต่นี่อาจเป็นเพราะผีป่าเขา หรือ เป็นเพราะดวงที่ผูกพันธ์ที่ทำให้ เจ้าไผ่ เกิดมาอยู่ในครอบครัวของ ชาวป่า
หม่ำนมแม่ มนุษย์ทุกคนรักลูก ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้อยู่ท่ามกลางความเจริญ ไม่รู้จักคนอื่นเลย ชีวิตอยู่ในป่า เกิดในป่า ตายในป่า
แต่นี่คือความสุขของเขา ที่ไม่เคยเบียดเบียนใครเลยในโลกนี้
สมาชิกที่เกิดใหม่ท่ามกลางป่าใหญ่ คนล่าสุดที่มีหน้าที่อยู่กับป่าเป็นดัชนีชี้วัดว่า ฝืนป่าแห่งนี้จะมีมนุษย์คนนึง ที่เขาต้องเรียนรู้และสืบทอด สายเลือดของชาวป่าต่อไป ซึ่งถ้าคนเมืองมาเห็นถึงกับว่าเสียดายที่เด็กที่เกิดใหม่นั้นไม่ได้รับสวัสดิการใดๆเลยในสังคม แต่นั่นเป็นเพียงแค่ความคิดของคนเมืองเองที่อยากได้ อยากมี แต่พวกเขาดำรงเผ่าพันธุ์ มาเป็นร้อยเป็นพันปี เกิดในป่ามีพ่อเป็นคนทำคลอดตัดสายสะดือด้วยไม้ไผ่ เกิดในทับที่อยู่และมีญาติๆต่างให้กำลังใจ อยู่ก็อยู่ในป่า หากินได้มาวันนี้หมดวันนี้ พรุ่งนี้หากินใหม่ ตายก็ตายในป่า พวกเขายังอยู่ได้ พวกเขาไม่รู้อายุ ไม่รู้วันเวลา มีแต่นับนิ้วมือนิ้วเท้า แลหวัน(ดูดวงตะวัน) ว่าวันนี้ผ่านพ้นไปพวกเขามีวิถีชีวิตด้วยการแบ่งปัน มีความซื่อสัตย์ ไม่พูดอ้อมค้อม เพราะเค้าไม่มีวัฒนธรรมเหมือนดังคนเมือง แต่สิ่งที่ผมได้เห็นและสำผัสได้นั้น คือความจริงใจ ที่นับวันคนเมืองต่างก็ไม่มี หรือ มีน้อยเต็มทีในปัจจุบัน
น้องไผ่ อายุ 15 วัน ลืมตาดูโลก ท่ามกลางพ่อกับแม่ และญาติ กลางป่าเขา ที่พวกเขาเรียกว่า บ้าน ผมเข้าไปผมรู้ตัวดีเลยว่า เรายังมีเพื่อนมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในโลกนี้เพียงแต่พวกเขา ไม่ขอที่จะเรียกร้องสิทธิ์ใดๆ เกิดขึ้นมาลืมตาดูโลกแล้ว เด็กเกิดมามิใช่เพียง เขามาเกิดเท่านั้น แต่คงเป็นเพราะเจ้าป่า เจ้าเขา เลือกให้เขามาเกิด เกิดเป็นลูกชาวป่า ยังดีกว่าลูกชาวเมือง ที่ต่างแก่งแย่ง อยากได้อยากมี ถ้าเขาพูดได้เขาคงพูดว่า ดีแล้วที่ฉันเกิดมาแล้วไม่เสียชาติเกิด..
ที่อยู่ของพวกเขา เรียกว่า ทับ ทำด้วยไม้และใบไม้มามุงเป็นเพิงหมาแหงน ไว้กันแดดกันฝน และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ กองไฟ ที่ไว้คอยกันสัตว์และให้ความอบอุ่นกับพวกเขาทั้งครอบครัว โฉมหน้า หัวหน้าทับ อยู่ใต้ทับของเขา คนนี้ชื่อว่าเฒ่าพาส เป็นหัวหน้าทับ
พวกเขากินสัตว์ป่า ลิง ค่าง กระรอก หัวมัน รากไม้ที่เอามาเป็นยาสมุนไพร น้ำจากลำธาร และเถาวัลย์ แต่นั่นมันก็หายากเหลือเกิน บางทีก็หาของป่าไปแลกข้าวสาร ไปแลกไข่ไก่ แลกปลา กับคนข้างล่าง แต่เราก็หันไปเห็น ฮั่นนนนแน่ๆๆๆ เฒ่าพล จัดวงสวิง เอ้ยย จัดท่าเป่าลูกดอกให้เราดู โคตรแม่น ลูกดอกอาบยาพิษ จากยางไม้ ไว้ล่าสัตว์ครับ
ได้เวลาเราก็กลับลงมาจากเขา แล้วเดินทางกลับอีกเส้นทาง บอกเลยว่า ขาขึ้นเหนื่อยแค่ไหน ขาลง เหนื่อยกว่าเยอะ ทางชัน มืด เห้ยยย มืด เหรอ บ่ายโมงกว่านี้น่ะ มืด ดูสิมืดยังไง
กลางป่าดิบชื้น ภาพนี้ถ่ายโดยไม่ได้ปรับแต่งใดๆ ถ่าย เวลา 13.00 จะเห็นว่า บรรยากาศปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่จนไม่ค่อยเห็นแสงอาทิตย์
แต่ขาลงเร็วหน่อย เราเลยแวะล้างหน้า ล้างมือที่ลำธารสายเดียวกันตอนขาขึ้น สดชื่นเยอะเลย
ลงมาถึงบ้านยาย เราก็นึกถึงเลยว่าการปรับตัวโดยมีชุมชนที่คอยหนุนให้ชาวป่ายังคงอยู่ในพื้นที่เดิมไม่ต้องย้ายข้ามจังหวัดตามแนวเขา คือตาเม่น และยายเอื้อน รุยันต์ ที่คอยปกป้องผืนป่าและชาวป่ากลุ่มสุดท้ายที่อยู่ในเขตนี้ ยายเล่าว่า เขาไม่ได้เป็นคนเถื่อนอย่างที่คนอื่นคิด แต่เขามีวัฒนธรรมอย่างนี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ท่านรักชาวป่า เหมือนลูกหลานคนหนึ่งในบ้านแต่ในด้านที่แตกต่างกันคือ สถานะทางสังคม การได้รับสวัสดิการทางสังคมที่ไม่ได้มาถึง แต่ชาวป่าก็ไม่ได้เรียกร้องสิทธิ์ใดๆแถมมีแต่จะดีใจอีกด้วยที่เขาได้อยู่ในสถานะของเขา วิถีชีวิตที่เรียบง่ายอยู่กับป่า กินกับป่าแต่สิ่งที่พวกเขาอยากได้มากกว่าอื่นใดคงเป็นการใช้จิตสำนึกของคนเมืองมากกว่าในการเข้ามาอนุรักษ์ป่า หยุดการเป็นประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าส่วนรวมเพื่อที่จะได้เห็นชนชาวป่าที่จะอยู่คู่กับผืนป่าในชุมชน ต.ทุ่งนารี อ.ป่าบอน จ.พัทลุง ชาวป่าจะได้อยู่กับป่าที่พวกเขาควรจะอยู่และเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ ด้านมนุษยวิทยา และ เห็นอัตลักษณ์ หรือนี่เป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของฝืนป่าอีกต่อไป
และนี่คือชาวป่าซาไก แท้ๆที่จังหวัดพัทลุง ที่ยังเป็นชาวป่า ดั้งเดิม ไม่เหมือนกัน สตูล หรือที่ อื่นๆ ที่กลายเป็นคนเมือง กันหมดแล้ว
รีวิวนี้เป็นกระทู้แรกที่ผมได้เขียน ฝากเป็นกำลังใจให้ด้วยน่ะครับ
ฝากพูดคุยกันน่ะ facebook : ไปเที่ยวกับไกด์เท็น