JJNY : รายงานพิเศษ : ข้อเสนอครม.- ปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญ

กระทู้คำถาม
รายงานพิเศษ : ข้อเสนอครม.-ปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญ

คณะรัฐมนตรีทำความคิดเห็นและคำขอแก้ไขเพิ่มเติม ร่างรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 36 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ยื่นต่อกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งสิ้น 117 ประเด็น มีเนื้อหาที่สำคัญ ดังนี้

หมวด 2 ประชาชน

ครม.เห็น ว่าหลักคิดการใช้คำว่า "พลเมือง" "ปวงชนชาวไทย" "ประชาชน" "บุคคล" "ราษฎร" แยกจากกัน ยากต่อความเข้าใจ และชวนสงสัยว่าคนไทยมีสัญชาติไทยจะมีสถานะเป็นอะไรตามรัฐธรรมนูญ และสถานะแต่ละอย่างก่อให้เกิดสิทธิต่างกัน และนิติบุคคลซึ่งปกติมีสิทธิเสรีภาพเช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา ถือเป็นพลเมืองหรือไม่ มีสิทธิพลเมืองหรือไม่

หลักการจัดประเภทบุคคลเป็นของใหม่ขัดต่อความเคยชิน ทั้งอาจก่อปัญหาในการตีความ โดยเฉพาะเมื่อนำไปใช้กับกฎหมายลำดับรองจึงเสนอให้ทบทวน


มาตรา 74 มาตรฐานทางจริยธรรมของผู้นำการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ

โดย ระบุให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรมที่สมัชชาคุณธรรม แห่งชาติกำหนดขึ้นหรือให้ความเห็นชอบ โดยให้มีกลไกบังคับให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรม และกำหนดขั้นตอนการลงโทษตามความร้ายแรง

พร้อมกำหนดว่าการ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. หรือส.ว. ซึ่งกระทำผิดร้ายแรงให้นำไปสู่การถอดถอนหรือการตัดสิทธิทางการเมืองตามมาตรา 253 โดยให้สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติส่งเรื่องให้ กกต.

ครม.เสนอ ตัดทิ้งทั้งมาตรา โดยมีเหตุผลว่าสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นใหม่และไม่มี ความจำเป็น จะนำไปสู่ความขัดแย้งได้ง่าย ควรให้องค์กรตรวจสอบอื่นที่มีอยู่ดำเนินการ


มาตรา 75 ข้อบังคับของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและผู้นำอื่นในภาครัฐ

กรรมาธิการ ยกร่างฯ กำหนดไว้ละเอียดยิบ อาทิ ให้แยกเรื่องส่วนตัวออกจากตำแหน่งหน้าที่ ยึดประโยชน์ส่วนรวม รับฟังความคิดเห็นของประชาชน ไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพรรคหรือกลุ่มการเมืองที่ สังกัด ไม่ละเมิดหลักสำคัญทางศีลธรรม ศาสนา และประเพณี ใช้วาจาไม่สุภาพ ฯลฯ

เสนอตัดทิ้งทั้งมาตรา ด้วยเหตุผลถ้อยคำในมาตรานี้ยังไม่ชัดเจนและอาจถกเถียงกันได้ เช่น ศีลธรรม หลักศาสนา หมายถึงอะไร จึงอาจเป็นมูลฐานนำไปกล่าวฟ้องร้อง หรือ กลั่นแกล้งกันได้โดยง่าย

โดยเฉพาะข้อห้ามกระทำการในวรรคสุด ท้าย เช่น การใช้วาจาไม่สุภาพ การละเมิดประเพณีหรือการชี้นำให้เลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่หน่วยงานของรัฐจำเป็นต้องหาทางออกให้แก่รัฐแต่ถูกกล่าว หาว่า "เลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมาย" จนนำไปสู่การฟ้องร้อง จึงควรนำไปบัญญัติไว้ในประมวลจริยธรรมตามมาตรา 74 หรือในหลักปฏิบัติอื่น



มาตรา 76 ข้อบังคับเกี่ยวกับพรรคการเมือง

ครม.เสนอ ตัดทิ้งวรรคสุดท้ายที่ให้นำข้อกำหนดทั้งหมดเกี่ยวกับพรรคการเมืองมาใช้กับ กลุ่มการเมือง โดยมีเหตุผลว่าการให้มีกลุ่มการเมืองและให้มีฐานะอย่างเดียวกับพรรคการเมือง น่าจะได้ประโยชน์ไม่คุ้มเสีย

ในทางตรงกันข้ามการเมืองอาจ สับสนอลหม่านมากขึ้น พรรคการเมืองอาจตั้งกลุ่มการเมืองเป็นตัวแทน (nominee) เหมือนมุ้งเล็กที่แยกออกมาจากมุ้งใหญ่ ถ้าจะกำหนดให้ผู้สมัคร ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง (สมัครอิสระ) ก็ยังพอจะสะท้อนหลักความเป็นอิสระและ พอเข้าใจได้ แต่เมื่อไม่ให้สมัครอิสระเสียแล้วกลุ่มการเมืองก็ไม่ต่างจากพรรคการเมือง



มาตรา 102 กรณีรัฐธรรมนูญบัญญัติให้ตราพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ. หรือกฎ

แต่ ผู้มีหน้าที่เสนอ พิจารณาไม่ดำเนินการภายในเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนด ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ส.ส.หรือส.ว. ผู้มีหน้าที่เสนอหรือพิจารณา หรือกระทำการนั้น ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ให้ผู้เสียหายฟ้องรัฐให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายได้

ครม.ให้ ตัดทิ้งทั้งมาตรา ด้วยเหตุผลว่าแม้มาตรานี้จะมีประโยชน์ในเชิงบังคับให้ผู้เกี่ยวข้องต้องเร่ง ดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แต่ต่อไปจะเป็นสาเหตุให้ยกขึ้นฟ้องร้องกันมาก ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินคดีทางการเมือง (ถอดถอน) คดีอาญา หรือคดีแพ่ง

บาง ครั้งการไม่อาจดำเนินการตามรัฐธรรมนูญได้เป็นเพราะข้อจำกัดบางอย่าง เช่น เรียกประชุมรัฐสภาไม่ได้ภายในกำหนด เลือกนายกฯ ไม่ทันตามกำหนด เป็นต้น (หากคิดว่าจำเป็นต้องมีการลงโทษก็ควรลงโทษเฉพาะฝ่ายการเมืองคือคณะรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภา ส่วนข้าราชการประจำหรือหัวหน้าหน่วยงานต้องรับผิดทางวินัยและอยู่ในอำนาจ บังคับบัญชาและการลงโทษจากฝ่ายการเมืองอยู่แล้ว)



มาตรา 103 สภาผู้แทนราษฎร

ประกอบ ด้วยสมาชิกไม่น้อยกว่า 450 คน ไม่เกิน 470 คน มาจากการเลือกตั้งแบบ แบ่งเขตเลือกตั้ง 250 คน เลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อไม่น้อยกว่า 200 คน แต่ไม่เกิน 220 คน

ครม.เห็นว่า การกำหนดให้มีส.ส.เขต (250 คน) และบัญชีรายชื่อ (200-220 คน) จำนวนใกล้เคียงกัน และให้ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นระบบภาค (6 ภาค) ส.ส. 2 ประเภทนี้ไม่มีความแตกต่างกันเพราะใช้พื้นที่หลักเหมือนกัน ทำให้กลายเป็นส.ส.แบบแบ่งเขตจังหวัดและแบบแบ่งภาค

ยิ่งการ ที่มาตรา 112 กำหนดให้การส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อในภาคใดต้องส่งผู้สมัครแบบแบ่งเขต เลือกตั้งในภาคนั้นไม่น้อยกว่าผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อด้วย และมาตรา 105 เปิดโอกาสให้ระบุว่าต้องการให้ผู้ใดที่มีชื่อในบัญชีนั้น 1 คนได้รับเลือกเป็นส.ส. เท่ากับว่า ผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อต้องหาเสียงในจังหวัดและในภาคเหมือนผู้สมัครแบบแบ่ง เขต

ระบบบัญชีรายชื่อใช้มาตั้งแต่พ.ศ.2540 ประชาชนคุ้นเคยและมีความเข้าใจว่าการกำหนดให้ส.ส.บัญชีรายชื่อมีน้อยกว่าแบบ เขต และใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง โดยมีบัญชีเดียว เพื่อให้พรรคการเมืองสามารถเลือกสรรบุคคลจากบัญชีรายชื่อไปดำรงตำแหน่งทาง การเมือง เมื่อต้องพ้นจากความเป็นส.ส.ก็ยังสามารถเลื่อนผู้อยู่ในลำดับถัดมาขึ้นไป เป็นส.ส.แทนได้โดยไม่ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ประชาชนเข้าใจว่าส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจะไปทำหน้าที่รัฐบาล ส่วนส.ส.เขต ไปทำหน้าที่นิติบัญญัติ

คณะ กรรมาธิการจึงควรทบทวนหลักคิดในเรื่องนี้ว่าเจตนารมณ์ของการมีส.ส.บัญชีราย ชื่อประสงค์อย่างไร และควรใช้ระบบเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ 2550 จะเหมาะสมกว่าหรือไม่ ส่วนวิธีคิดคะแนนจะคำนวณแบบใดเป็นอีกกรณีหนึ่งซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ อยู่แล้ว

ส่วนกลุ่มการเมือง การให้มีกลุ่มการเมืองและมีฐานะเดียวกับพรรคการเมืองได้ไม่คุ้มเสีย



มาตรา 109 บุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง

จากที่กำหนด (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งโดยคำพิพากษา

ครม.ตัด คำว่า "โดยคำพิพากษา" เนื่องจากยังมีกรณีผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐ ธรรมนูญ (ไม่ใช่คำพิพากษา) ด้วยเหตุนี้ รัฐธรรมนูญในอดีตจึงใช้คำกลางๆ เพียงว่า "อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง"



มาตรา 111 บุคคลต้องห้ามลงสมัครส.ส.

ครม.มี ข้อสังเกต (9) ห้ามข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ หรือข้าราชการการเมืองสมัครส.ส. แสดงว่าห้ามรัฐมนตรีและข้าราชการการเมืองทุกประเภทสมัครรับเลือกตั้ง ข้อนี้ สอดคล้องมาตรา 184 ที่ว่าเมื่อยุบสภาแล้วคณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะและจะปฏิบัติ หน้าที่ระหว่างการเลือกตั้งมิได้ แต่โดยที่เห็นชอบหลักการมาตรา 184 จึงเห็นควรให้แก้มาตรา 111(9) ให้ข้าราชการการเมืองสมัครเลือกตั้งได้ เพื่อให้สอดคล้องกัน

(14) ที่ระบุ "อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามมาตรา 254" ควรตรวจสอบว่าข้อห้ามนี้อยู่ในมาตรา 254 หรือไม่ เพราะถูกนำไปอ้างถึงอีกหลายแห่ง แต่มาตรา 254 ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้

(15) ที่ระบุ "เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งหรือถูกตัดสิทธิในการดำรงตำแหน่งทางการเมืองใน การดำรงตำแหน่งอื่น" ครม.เห็นว่าอาจเกิดปัญหาการตีความได้โดยเฉพาะการเทียบเคียงเพื่อตัดโอกาสผู้ เคยถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ จนมีผลให้ ไม่อาจดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือตัดสิทธิในการดำรงตำแหน่งที่มิใช่ตำแหน่งทางการเมือง จึงต่อท้ายว่า "ตามรัฐธรรมนูญนี้"



มาตรา 117 การเลือกตั้ง

กรรมาธิการ ยกร่างฯ ระบุเมื่ออายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง พระมหากษัตริย์จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งใหม่เป็นการทั่วไป ซึ่งกกต.ต้องกำหนดวันเลือกตั้งภายใน 45 วัน นับแต่วันที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุด และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

ครม.เพิ่ม เติมว่า กรณีที่มีเหตุใดๆ ทำให้การเลือกตั้งไม่สามารถกระทำในวันเดียวกันได้ตามวรรคหนึ่งให้ กกต.ประกาศงดการเลือกตั้งตามพระราชกฤษฎีกา แล้วให้กกต.กำหนดวันเลือกตั้งขึ้นใหม่ และให้นายกฯเสนอพระราชกฤษฎีกาตามที่กกต.เสนอ โดยไม่กระทบกระเทือนกิจการที่กกต.ดำเนินการไปก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งนี้ ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว.

ซึ่งเสนอแก้ไขตามที่กกต.เสนอมาเพื่อแก้ข้อขัดข้องที่เคยเกิดขึ้นแล้ว



มาตรา 121 ที่มาส.ว.

ครม.เห็น ว่า การให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองผู้สมัครส.ว.ในจังหวัดจำนวน 10 คน เพื่อคัดเลือกผู้สมัครให้เหลือจังหวัดละไม่เกิน 10 คน ในทางปฏิบัติจังหวัดที่มีผู้สมัครเกิน 10 คน มีไม่มากนัก กระบวนการจึงอาจยืดยาวโดยไม่จำเป็น เมื่อจะให้มีการเลือกตั้งอยู่แล้วควรให้ ผู้สมัครทุกคนไปสู่การเลือกตั้งโดยตรง จึงควรแก้ไข



มาตรา 147 การเสนอร่างพ.ร.บ.

ครม.เสนอ ตัด (3) ที่กำหนดให้ ส.ว.ไม่น้อยกว่า 40 คนสามารถยื่นได้ โดยมีเหตุผลว่า การให้ส.ว.ไม่น้อยกว่า 40 คน เสนอร่างพ.ร.บ.ได้ไม่น่าจะเกิดประโยชน์ทั้งกลับจะเป็นการเพิ่มภาระงาน เพราะในที่สุดถ้าผ่านวุฒิสภาแล้วสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบหรือยับยั้งไว้การ พิจารณาของวุฒิสภาก็เสียเปล่า



มาตรา 159 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ

ครม.ตัด (2) พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะรัฐมนตรี เพราะเห็นว่าไม่จำเป็น



มาตรา 171 การดำรงตำแหน่งของนายกฯ

ในวรรคสามที่ระบุ นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่า 2 วาระมิได้

ครม.แก้ จาก "2 วาระ" เป็น "แปดปี" เนื่องจากเคยมีการอภิปรายในการร่างรัฐธรรมนูญเสมอมาว่านายกรัฐมนตรีไม่มี วาระ รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 171 จึงบัญญัติว่าไม่เกินกว่าแปดปี

ครั้น จะถือว่าอนุโลมตามวาระสภาเพราะนายกฯ ต้องเป็น ส.ส.แต่ร่างรัฐธรรมนูญนี้ ก็ยอมให้มีนายกฯ ที่สภาเห็นชอบให้ผู้มิได้เป็น ส.ส.ดำรงตำแหน่งได้ การใช้คำว่า "วาระ" จึงก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ หากจะยึดโยงกับวาระหรืออายุของสภาก็ควรระบุให้ชัดเจน



มาตรา 174 คณะรัฐมนตรี

ที่ ระบุก่อนนายกฯ นำชื่อรัฐมนตรีกราบบังคมทูลเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง ต้องนำรายชื่อส่งให้วุฒิสภาดำเนินการตามมาตรา 130 วรรคสอง

ครม.ตัด ทิ้งทั้งมาตรา เห็นว่าการนำรายชื่อรัฐมนตรีให้วุฒิสภาตรวจสอบโดยมิได้มีมติว่าเห็นชอบหรือ ไม่ จะทำให้กระบวนการแต่งตั้งรัฐมนตรีหรือปรับครม.ล่าช้า และไม่เป็นความลับ ซึ่งเป็นปัญหาทางการเมืองในสังคมไทยได้ ยิ่งถ้าอยู่นอกสมัยประชุมแม้ดำเนินการได้แต่ก็ล่าช้าออกไปอีก

และ ถ้าวุฒิสภาตรวจสอบว่ารัฐมนตรีคนใดไม่เหมาะสม แต่นายกฯ ยังยืนยันแต่งตั้ง เท่ากับผลักภาระแก่พระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะทรงแต่งตั้งตามที่เสนอหรือไม่


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่